เอกสารสำคัญที่ก่อให้เกิดอาเซียนคืออะไร

๓. ปฏิญญากำหนดให้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นเขตแห่งสันติภาพ เสรีภาพ และความเป็นกลาง (Zone of Peace,Freedom and Neutrality หรือ ZOPFAN) เป็นการแสดงเจตนารมณ์ของอาเซียน ให้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นภูมิภาคที่ปลอดการแทรกแซงจากภายนอก เพื่อเป็นหลักประกันต่อสันติภาพและความมั่นคงของภูมิภาคและเสนอให้อาเซียนขยายความร่วมมือให้ครอบคลุมทุกๆ ด้าน อันจะนำมาซึ่งความแข็งแกร่ง ความเป็นปึกแผ่นและความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างประเทศสมาชิก ได้ประกาศลงนามโดยรัฐมนตรีต่างประเทศของรัฐสมาชิกอาเซียน ซึ่งในขณะนั้นประกอบด้วยประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์และประเทศไทย เมื่อวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๑๙๗๑ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย

๔. การประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก หรือ ASEAN Regional Forum (ARF) จัดขึ้นเพื่อเป็นเวทีสำหรับปรึกษาหารือ (Consultative forum) โดยมีวัตถุประสงค์ที่มุ่งส่งเสริมสันติภาพโดยการเสริมสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ ความร่วมมือ และความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน ประเทศอาเซียนกับคู่เจรจา และประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกในเรื่องที่เกี่ยวกับการเมืองและความมั่นคง โดยมีทั้งผู้แทนฝ่ายการทูตและการทหารเข้าร่วมการประชุมการหารือด้านการเมืองและความมั่นคงในกรอบ ARF ได้กำหนดพัฒนาการของกระบวนการ ARF เป็น ๓ ขั้นตอน ได้แก่
  ขั้นตอนที่ ๑ ส่งเสริมการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจกัน (Confidence Building)
  ขั้นตอนที่ ๒ การพัฒนาการทูตเชิงป้องกัน (Preventive Diplomacy)
  ขั้นตอนที่ ๓ การแก้ไขความขัดแย้ง (Conflict Resolution)
  การประชุมระดับรัฐมนตรี ARF ครั้งแรกจัดขึ้นที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๓๗ ปัจจุบัน ประเทศที่เป็นสมาชิกการประชุมว่าด้วยการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมี ๒๗ ประเทศ ประกอบด้วย ประเทศสมาชิกอาเซียนทั้ง ๑๐ ประเทศ คือ ไทย บรูไน กัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย พม่า ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และเวียดนาม ประเทศคู่เจรจาของอาเซียน ประเทศ ผู้สังเกตการณ์ของอาเซียน และประเทศอื่นในภูมิภาค อันได้แก่ ออสเตรเลีย บังคลาเทศ แคนาดา จีน อินเดีย ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี(เกาหลีเหนือ) มองโกเลียนิวซีแลนด์ ปากีสถาน ปาปัวนิวกินี รัสเซีย ติมอร์-เลสเต ศรีลังกา สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป

๕. ASEAN Troika ผู้ประสานงานเฉพาะกิจในการประชุมสุดยอดอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ ในวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๔๒ ณ กรุงมะนิลา ผู้นำของประเทศสมาชิกอาเซียนได้เห็นชอบในการจัดตั้งกลุ่มผู้ประสานงานเฉพาะกิจในระดับรัฐมนตรี (ASEAN Troika) ซึ่งประกอบด้วยรัฐมนตรีต่างประเทศที่ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการประจำของอาเซียนในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต และจะหมุนเวียนกันไปตามการเป็นประธานการประชุม วัตถุประสงค์ของการจัดตั้งกลุ่มผู้ประสานงานเฉพาะกิจ ASEAN Troika คือ
  ๕.๑ เป็นกลไกให้อาเซียนสามารถร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดในการหารือแก้ไขปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค โดยไม่ก้าวก่ายกิจการภายในของประเทศสมาชิกเป็นการยกระดับความร่วมมือของอาเซียนให้สูงขึ้น และเสริมสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของอาเซียน รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพของการดำเนินงานโดยรวม
  ๕.๒ เพื่อรองรับสถานการณ์ และจะดำเนินการโดยสอดคล้องกับแนวทางปฏิบัติ
  ในสนธิสัญญา และข้อตกลงต่างๆ ของอาเซียน เช่น สนธิสัญญาไมตรีและความร่วมมือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Treaty of Amity and Cooperation หรือ TAC)

๖. กรอบความร่วมมือทางทหาร (ASEAN Defense Ministerial Meeting -ADMM) เพื่อสร้างเครือข่ายและความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างฝ่ายทหารของประเทศสมาชิก ความร่วมมือ ด้านการป้องกันยาเสพติด การต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติและการก่อการร้าย โดยเฉพาะประเด็นหลังนี้อาเซียนได้ลงนามในอนุสัญญาอาเซียนว่าด้วยการต่อต้านการก่อการร้าย ในปี ๒๕๕๐

๗. ความสัมพันธ์กับประเทศนอกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อสร้างความร่วมมือด้านการเมืองความมั่นคงที่สมดุลและสร้างสรรค์ระหว่างกัน โดยผ่านเวทีหารือระหว่างอาเซียนกับประเทศ คู่เจรจา ได้มีการประชุมสุดยอดเอเซียตะวันออก(East Asia Summit – EAS) และกระบวนการอาเซียน+๓

สมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ “อาเซียน” ถือกำเนิดขึ้นในเช้าวันอังคารที่ 8 สิงหาคม 2510 เวลา 10.50 ภายในห้องโถงใหญ่ของพระราชวังสราญรมย์ ที่ทำการของกระทรวงการต่างประเทศ ถูกบันทึกไว้ผ่านภาพการลงนามของผู้นำ 5 ประเทศผู้ก่อตั้งอาเซียน ได้แก่ ประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และประเทศไทย หลังจากนั้นมาเกือบครึ่งศตวรรษ อาเซียนได้กลายเป็นสมาคมระหว่างประเทศที่ผ่านประสบการณ์ในรูปแบบต่าง ๆ ท่ามกลางสถานการณ์ที่ผันผวนในเวทีระหว่างประเทศ อาเซียนได้พลิกผันตัวเองอย่างต่อเนื่อง มีการเติบโต การเรียนรู้ และได้แสดงบทบาทในด้านต่าง ๆ ในทุกยุค ทุกสมัย จนเป็นองค์กรระดับภูมิภาคที่ประสบความสำเร็จ และเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ในระดับสากล

ทุกวันนี้อาเซียนเป็นที่รู้จักเป็นอย่างดีในเวทีโลก แต่น้อยคนที่ทราบว่ากว่าจะมีวันนี้ได้นั้น ผู้ที่อยู่เบื้องหลังในการผลักดันให้เกิดอาเซียนจนเป็นผลสำเร็จนั้น คือประเทศไทย โดยเฉพาะนักการทูตไทย สองท่าน ซึ่งเป็นผู้ได้รับการยอมรับนับถือจาก นักการทูตและผู้นำประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก คือ ฯพณฯ รัฐมนตรีฯ ถนัด คอมันตร์ และ ดร.สมปอง สุจริตกุล

ท่าน ดร. ถนัดฯ เป็นนักการทูตและการต่างประเทศ ผู้ได้รับการยกย่องว่า เป็นผู้มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล และเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดอาเซียน ด้วยคิดริเริ่มของท่าน ที่จะสร้างความร่วมมือในระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเป็นความร่วมมือที่ประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคสามารถควบคุมทิศทางการดำเนินนโยบาย และอนาคตของตนเองได้อย่างแท้จริง เพื่อนำตนเองให้รอดพ้นจากภัยสงครามเย็นระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพโซเวียต การแข่งขันเพื่อช่วงชิงความเป็นหนึ่งในเอเชียระหว่างจีนกับสหภาพโซเวียต และการที่จีนเร่งขยายอิทธิพลด้านการเมืองและการทหารของตนเข้าไปในประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคจนทำให้เกิดการสู้รบในรูปแบบของสงครามกองโจร และการก่อการร้ายในหลายประเทศ รวมทั้งในประเทศไทย

ในวันแห่งประวัติศาสตร์ดังกล่าว โลกได้เป็นสักขีพยานความเห็นร่วมกันของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจาก 5 ชาติ ได้แก่ ฯพณฯ อาดัม มาลิก (Adam Malik Batubara) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอินโดนีเซีย ฯพณฯ ตุน อับดุล ราซัก (Tun Abdul Razak Hussein)  รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาแห่งชาติของมาเลเซีย ฯพณฯ นาร์ซิโซ รามอส (Narciso R. Ramos) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของฟิลิปปินส์, ฯพณฯ เอส ราชารัตนัม (S. Rajaratnam) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสิงคโปร์ และ ฯพณฯ ถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ของไทย เพื่อร่วมลงนามในเอกสารสำคัญฉบับหนึ่ง ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของอาเซียน และก่อนหน้าที่จะเข้าสู่การลงนามเอกสารสำคัญ ที่มีชื่อว่าปฏิญญาอาเซียน (ASEAN Declaration) หรือ ปฏิญญากรุงเทพ (Bangkok Declaration) ฉบับนี้

หลังจากที่ผู้นำผู้เป็นรัฐมนตรีกำกับดูแลนโยบายด้านการต่างประเทศจากมิตรประเทศทั้งสี่ชาติได้เดินทางมาถึงประเทศไทย พวกท่านเหล่านั้นได้รับการต้อนรับจากพันเอก (พิเศษ) ดร. ถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ โดยการเรียนเชิญผู้นำทั้ง 3 ท่าน ยกเว้นรัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซีย เดินทางไปที่บ้านพักรับรองของรัฐบาล ซึ่งตั้งอยู่ที่เขาสามมุข บางแสน ในวันศุกร์ที่ 4 สิงหาคม 2510 โดยการประชุมได้ถูกจัดเตรียมขึ้น 4 วัน โดยแบ่งเป็นการประชุมอย่างไม่เป็นทางการ 2 วันที่บางแสน และการประชุมอย่างเป็นทางการอีก 2 วันที่กรุงเทพ การประชุมที่บางแสนนั้น ได้จัดขึ้นในบ้านพักรับรองที่ไม่ไกลจากที่พักของรัฐมนตรีเหล่านั้น โดยที่ประชุมแห่งนั้นมีชื่อว่า “บ้านแหลมแท่น” ซึ่งเป็นบ้านพักรับรองของสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งอยู่ติดทะเลชายหาดบางแสนอันเงียบสงบ

การประชุมในครั้งนี้เป็นการประชุมภายใต้บรรยากาศของ “Spirit of Bangsaen” หรือ “จิตวิญญาณแห่งบางแสน” ซึ่งอีกไม่กี่วันต่อมา ความเข้าใจร่วมกันที่บ้านแหลมแท่น ได้ถูกนำมาเป็นหลักการ และกรอบการเจรจา เพื่อจัดตั้งสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน และเป็นสาระสำคัญที่นำไปสู่การจัดทำเอกสารปฏิญญากรุงเทพ (Bangkok Declaration) ในเวลาเดียวกัน ในวันเสาร์ที่ 5 และวันอาทิตย์ที่ 6 สิงหาคม 2510  ผู้นำด้านการต่างประเทศจากทั้ง 5 ชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้ร่วมหารือกัน ในบรรยากาศที่เป็นมิตรและสนิทสนม เพื่อสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของความร่วมมือสำหรับภูมิภาค ด้วยการหาข้อตกลงในการสร้างหลักการความร่วมมือระหว่างกัน

สาเหตุหลักที่ทำให้ที่ผ่านมาประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคไม่ประสบความสำเร็จในการสร้างความร่วมมือระหว่างกันในระดับภูมิภาค น่าจะเป็นเพราะการที่ก่อนหน้านี้แต่ละประเทศในภูมิภาคโดยเฉพาะประเทศต่าง ๆ ที่เพิ่งผ่านพ้นจากการเป็นอาณานิคม ยังคงยึดถือหลักการของเอกราช อธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดน ภายใต้ความรู้สึกชาตินิยม ทำให้แต่ละประเทศมองถึงผลประโยชน์ของตนในกรอบที่แคบ และไม่สามารถมองเห็นผลประโยชน์ของชาติในกรอบที่ใหญ่กว่าได้ ดังนั้น ความร่วมมือในระดับภูมิภาคจึงยังไม่สามารถเกิดขึ้นได้

การที่ประเทศไทย โดย ดร.ถนัด คอมันตร์ ใช้ความพยายามในการชี้ให้ผู้นำประเทศเหล่านี้ตระหนักถึง สภาพแวดล้อม และสถานการณ์ที่แท้จริงภายในภูมิภาค ทำให้ผู้นำของประเทศต่าง ๆ เหล่านี้เห็นถึงความสำคัญของความร่วมมือภายในภูมิภาค เพื่อผลประโยชน์ของทุกประเทศร่วมกัน ซึ่งการใช้ความพยายามในการโน้มน้าวความคิดของผู้นำประเทศต่าง ๆ เหล่านี้ ประเทศไทยได้ใช้การทูตแบบไม่เป็นทางการ (informal diplomacy) เป็นหลัก โดยตอกย้ำถึง ความผูกพันที่ประเทศต่าง ๆ รวมทั้งตัวผู้นำประเทศ มีต่อกันมาเป็นเวลายาวนาน ทั้งในด้านภาษา ศาสนา วัฒนธรรม จารีตประเพณี ประวัติศาสตร์ และความเป็นอยู่ของประชาชน จนความไว้เนื้อเชื่อใจบังเกิดขึ้น และผู้นำประเทศต่าง ๆ เริ่มที่จะมีท่าทีที่ผ่อนคลาย และเป็นกันเองต่อกัน ซึ่งต่อมาการทูตแบบไม่เป็นทางการ การทูตแบบ sports shirt diplomacy และการทูตบนสนามกอล์ฟ ในลักษณะนี้ได้กลายเป็นจารีต และจุดเด่นทางการทูตของผู้นำและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของประเทศสมาชิกอาเซียน เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

เรื่องหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงบรรยากาศที่อบอุ่นและเป็นกันเอง ในการประชุมผู้นำจากทั้ง 5 ประเทศ  คือการหารือในขั้นสุดท้ายเรื่องชื่อขององค์กรใหม่ ที่ได้ตกลงร่วมกันจะให้จัดตั้งขึ้น ก่อนที่จะมีการลงนามในปฏิญญากรุงเทพ ในการหารือดังกล่าว ที่ประชุมเห็นพ้องกันว่า นายอาดัม มาลิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอินโดนีเซีย ในฐานะผู้ที่มีความรู้ และประสบการณ์ทางการเมือง และการทูต มาอย่างโชกโชน และในฐานะที่เป็นที่เป็นผู้มีความเป็นเจ้าบทเจ้ากลอน ควรจะได้รับเกียรติ ให้เป็นผู้ตั้งชื่อสมาคมใหม่ ที่จะเกิดขึ้น ภายหลังจากประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของทั้ง 5 ชาติ ก็เข้าสู่พิธีการลงนามในปฏิญญาของประเทศทั้ง 5 ณ วังสราญรมย์ กระทรวงการต่างประเทศ เมื่อเวลา 10.50 น. ของวันอังคารที่ 8 สิงหาคม 2510 เพื่อก่อตั้งสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Association of Southeast Asian Nation)  โดย ปฏิญญากรุงเทพฯ

ประเทศสมาชิกผู้ก่อตั้งสมาคมอาเซียน และประเทศสมาชิกผู้เข้ามาร่วมในภายหลัง ได้พยายามสรรสร้างจิตวิญญาณของปฏิญญากรุงเทพให้แข็งแกร่งขึ้น อย่างต่อเนื่อง ซึ่งในระยะเวลาที่ผ่านมา สมาคมอาเซียนได้ผ่านกระบวนการต่าง ๆ ทั้งที่เป็นทางการ และไม่เป็นทางการ ผ่านความสัมพันธ์ส่วนตัวของผู้นำแต่ละประเทศ ในการสานต่อเจตนารมณ์ในการร่วมกันเป็นประชาคมอาเซียน และมีหลักการทางกฎหมายรองรับ อาทิ สนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Treaty of Amity and Cooperation) ในปี 2519 และต่อมา สนธิสัญญาปลอดอาวุธนิวเคลียร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Treaty on the Southeast Asia Nuclear Weapon-Free Zone – SEANWFZ) หรือสนธิสัญญากรุงเทพฯ ในปี 2538 และแม้ว่า ในระยะแรก ความร่วมมือในด้านเศรษฐกิจ ซึ่งถือเป็นวัตถุประสงค์หลักประการต้นๆ ในการก่อตั้งสมาคมอาเซียน จะไม่ประสบความสำเร็จเท่าไรนัก แต่ความพยายามในการเสริมสร้างความร่วมมือดังกล่าว ก็ถือเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาสมาคมอาเซียนในระยะต่อมา จนเกิดเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community – AEC)

เอกสารที่สำคัญที่ให้เกิดอาเซียนคือข้อใด

กฎบัตรอาเซียน (ASEAN Charter) เปรียบได้กับ "ธรรมนูญของอาเซียน" ซึ่งเป็นร่างสนธิสัญญาที่ประเทศสมาชิกอาเซียนทำร่วมกัน โดยประมวลสิ่งที่ถือเป็นค่านิยม หลักการและแนวปฏิบัติในอดีตของอาเซียนมาประกอบกันเพื่อกำหนดเป็นข้อปฏิบัติอย่างเป็นทางการของประเทศสมาชิก และมีการปรับปรุงแก้ไขและสร้างกลไกใหม่ขึ้น พร้อมกำหนดขอบเขตหน้าที่ความ ...

แนวคิดในการรวมตัวเป็นอาเซียนมีอยู่ในเอกสารใดและมีความสำคัญอย่างไร

กฎบัตรอาเซียน กำหนดขึ้นมาโดยมีเป้าหมายให้อาเซียนเป็นองค์กรที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขับเคลื่อนการรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียน ภายในปี พ.ศ. 2558 ตามที่ผู้นำอาเซียนได้ตกลงกันไว้ ซึ่งกฎบัตรอาเซียนนี้มีผลทำให้องค์กรอาเซียนมีสถานะเป็นนิติบุคคล

ปัจจัยใดที่ทำให้เกิดการก่อตั้งอาเซียน

ประชาคมอาเซียน ก่อตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เริ่มแรกเพื่อสร้างสันติภาพในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อันนำมาซึ่งเสถียรภาพทางการเมือง และความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม และเมื่อการค้าระหว่างประเทศในโลกมีแนวโน้มกีดกันการค้ารุนแรงขึ้น ทำให้อาเซียนได้หันมามุ่งเน้นกระชับและขยายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจการค้า ...

ความสําคัญของอาเซียน มีอะไรบ้าง

(1)ส่งเสริมความร่วมมือและความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม เทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ และการบริหาร (2)ส่งเสริมสันติภาพและความมั่นคงส่วนภูมิภาค (3)เสริมสร้างความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจพัฒนาการทางวัฒนธรรมในภูมิภาค (4)ส่งเสริมให้ประชาชนในอาเซียนมีความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตที่ดี