จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี Show ภาพประกอบของการใช้อินเตอร์เฟอโรมิเตอร์ในช่วงความยาวคลื่นแสงเพื่อตรวจสอบตำแหน่งที่แม่นยำของดาว ได้รับความอนุเคราะห์จาก NASA / JPL-Caltech การวัดตำแหน่งดาว หรือ วิชาวัดตำแหน่งดาว (อังกฤษ: Astrometry) เป็นสาขาวิชาหนึ่งของดาราศาสตร์ เกี่ยวข้องกับการตรวจวัดและการอธิบายตำแหน่งและการเคลื่อนที่ของดวงดาวหรือวัตถุท้องฟ้าอื่นๆ ข้อมูลจากการศึกษาในสาขานี้มีความสำคัญอย่างมากในปัจจุบันสำหรับงานวิจัยด้านจลนศาสตร์และจุดกำเนิดของระบบสุริยะ ตลอดจนดาราจักรทางช้างเผือกของเรา ประวัติ[แก้]ประวัติศาสตร์ของวิชาวัดตำแหน่งดาว เชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์ของบัญชีรายชื่อดาวฤกษ์ ซึ่งทำให้นักดาราศาสตร์สามารถอ้างอิงกับวัตถุในท้องฟ้า เพื่อให้สามารถติดตามความเคลื่อนไหวของวัตถุเหล่านั้นได้ ย้อนหลังไปถึงฮิปปาร์คอสผู้ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงประมาณ 190 BC ได้ใช้บัญชีรายชื่อดาวฤกษ์ของทิโมคาริส และอริสติลลอส รุ่นก่อนหน้าเขาและการค้นพบว่าโลกมีการหมุนควง โปรแกรมช่วยในการศึกษา[แก้]
ดูเพิ่ม[แก้]
ท้องฟ้านั้นกว้างใหญ่กับเวลากลางคืน ยิ่งแถบชนบทที่ไม่ค่อยมีไฟส่องในเวลากลางคืน ทำให้เห็นดวงดาวชัดเจน เราไม่สามารถระบุตำแหน่งที่แน่นอนของดาว เพราะดาวมีเคลื่อนที่เร็วแบบจำเพาะหรือการเคลื่อนที่ของทรงกลมฟ้า ซึ่งมีการทดลองให้เราสามารถทำการทดลองเองได้ เป็นการสังเกตการณ์ดวงดาวบนท้องฟ้าด้วยตาเปล่า เป็นวิธีง่ายๆที่จะสามารถช่วยให้เราได้รู้ว่า แท้จริงแล้วบนท้องฟ้าที่เรามองเห็นนั้นมีดาว(ประมาณ)กี่ดวง โดยบทความของสสวท ซึ่งสามารถนำไปในการทดลองโดยใช้ตาเปล่ากับอุปกรณ์ที่ประดิษฐ์เองได้ง่ายๆ ดังนี้ วัสดุ-อุปกรณ์ 1.กระดาษแข็ง ขนาด25ซม.×25ซม. 2.แผ่นไม้ ขนาด กว้าง4ซม×ยาว60ซม. 3.ไม้บรรทัด 4.กรรไกร 5.ลวดหนีบกระดาษ 6.เทปกาวใส วิธีทำ 1.นำกระดาษแข็งขนาด 25ซม.×25ซม. มาเจาะช่องตรงกลางออกให้มีขนาดประมาณ 15ซม.×15ซม. ช่องว่างที่คล้ายหน้าต่างนี้จะใช้เป็นช่องสำหรับส่องเพื่อนับดาว 2.วัดความยาวจากปลายแผ่นไม้เข้ามาเป็นระยะ 10ซม. แล้วขีดเส้นเพือทำเครื่องหมายตำแหน่งดังกล่าวบนแผ่นไม้ 3.ง้างปลายลวดหนีบกระดาษด้านหนึ่งให้เปิดออก และงอลวดหนีบกระดาษให้เป็นมุมฉาก(90องศา)ใช้เทปใสปิดทับปลายลวดด้านหนึ่งเข้ากับแผ่นไม้ที่ระยะ10ซม. และปิดเทปใสกับปลายลวดอีกด้านหนึ่งเข้ากับกระดาษแข็ง 4.นำอุปกรณ์ที่ประดิษฐ์ได้ไปใช้สังเกตดาว โดยพยายามเลือกบริเวณที่ไม่มีแสงไฟจากถนนหรือบ้านเรือนรบกวน เมื่อปรับสายตาให้ชินกับความมืดแล้วให้ถือปลายไม้ชิดกับดวงตาข้างหนึ่งแล้วสังเกตดาวผ่านช่องหน้าต่างที่เจาะไว้ นับดวงดาวที่สังเกตได้ภายในช่องหน้าต่าง บันทึกไว้ 5.เลือกบริเวณที่จะนับดาวบริเวณอื่นอีก2แห่ง ทำเช่นเดียวกับข้อ4.แล้วบันทึกจำนวนดาวที่สังเกตได้ ซึ่งท่านจะได้ข้อมูลจำนวนดาวรวมทั้งหมด3บริเวณ 6.นำค่าของจำนวนดาวที่บันทึกได้ทั้ง3แห่งมาหาค่าเฉลี่ย แล้วนำค่าเฉลี่ยมาคูณด้วย 70 ก็จะได้จำนวนของดวงดาวโดยประมาณที่เราสามารถมองเห็นบนท้องฟ้ายามค่ำคืน ตัวเลข70 มาจากไหน พื้นที่ทั้งหมดบนท้องฟ้ารอบตัวเรามีลักษณะเป็นทรงกลม เมื่อเราใช้อุปกรณ์สำหรับส่องเพื่อนับดาว นั่นหมายถึงเราส่องดูแค่ส่วนหนึ่งของทรงกลมเท่านั้น ถ้าให้ความยาวของแผ่นไม้เป็นรัศมี(R)ของทรงกลมที่เราจะสามารถมองเห็นดาวบนท้องฟ้าได้ทั้งหมด ดังนั้น พื้นที่ผิวทรงกลม=4πr^2 = 4×50×50 =31429 ตารางเซนติเมตร พื้นที่ของช่องหน้าต่างที่เราใช้ส่องดาว=15×15=225ตาราเซนติเมตร ดังนั้น ต้องใช้อุปกรณ์ส่องดาวจำนวนประมาณ = 140อัน จึงจะส่องดาวได้เต็มพื้นที่ผิวทรงกลม แต่เราสามารถมองเห็นท้องฟ้าได้เพียงครึ่งวงกลม(อีกครึ่งนึงอยู่ใต้เท้าไม่สามารถมองเห็นได้) ดังนั้น จึงต้องใช้อุปกรณ์ส่องดาวจำนวน =70อัน จึงจะเห็นดาวทั้งครึ่งทรงกลมได้ ด้วยเหตุผลนี้ เมื่อเราใช้อุปกรณ์ส่องดาวตามที่ประดิษฐ์ได้ จึงต้องนำจำนวนดาวเฉลี่ยมาคูณด้วย70จึงจะเทียบเท่ากับจำนวนดาวบนท้องฟ้า(โดยประมาณ)ที่เรามองเห็นได้ อ้างอิง [1] [2] [3] อ้างอิง[แก้]
หนังสืออ่านเพิ่ม[แก้]
แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]
เครื่องมือที่ช่วยในการสังเกตตำแหน่งดวงดาวท้องฟ้าคืออะไรเราสมมติท้องฟ้ามีจุดจอมฟ้า เส้นขอบฟ้า และระบุมุมทิศ และมุมเงย เพื่อไว้สังเกต กลุ่มดาวที่ปรากฏบนท้องฟ้า และแผนที่ดาวเป็นเครื่องมือที่ช่วย ในการดูดาวโดยผู้สังเกตสามารถใช้มือ ในการประมาณค่าของมุมเงย เมื่อสังเกตดาวในท้องฟ้า การขึ้นและตกของดาว และการใช้แผนที่ดาว (3)
เครื่องมือที่ใช้แสดงตำแหน่งของดาวฤกษ์บนท้องฟ้าคืออะไรแผนที่ดาว คือ แผนที่แสดงตำแหน่งของดวงดาวบนท้องฟ้าที่ครอบโลกของเราอยู่ จะมีลักษณะเป็น ทรงกลมไม่ว่าเราจะดูดวงดาวที่ตำแหน่งใดของโลก ตัวผู้ดูจะเป็นศูนย์กลางของท้องฟ้าเสมอ
เราใช้อุปกรณ์ใดในการดูดาวเลนส์สำหรับดูดาว ใช้ได้ทุกขนาดครับ แต่ที่นิยมกันจะมีขนาด 4 – 20 มม. Barlow Lens เป็นอุปกรณ์เสริมสำหรับดูดาวเพื่อเพิ่มกำลังขยายจากเดิมอีกมาก ความรู้ของผู้ดูดาว การดูดาวจำเป็นต้องรู้วงโครจรของดาว อย่างน้อยก็ต้องพอรู้บ้าง ไม่งั้นจะส่องดาวอะไรบนท้องฟ้าแล้วไม่รู้ว่าบนนั้นคือดาวอะไรบ้าง ก็เหมือนไม่ได้ดูนั่นเอง
|