ผมเคยถามตัวเองว่า “ทำไมมาทำงานที่รถไฟ?” แต่จริง ๆ แล้ว คำถามประโยคนี้ เคยมีคนถามผมแล้วหลายครั้ง ครั้งแรกเมื่อ 29 ปีก่อน ตอนนั้นผมยังเป็นวัยรุ่น อายุเพียง16 ปี พึ่งได้เข้ามาเรียนที่โรงเรียนวิศวกรรมรถไฟ ชั้นที่ปี 1 แผนกการเดินรถ ซึ่งคำตอบตอนนั้นคือ “คุณพ่ออยากให้มาสอบเข้าครับ” หลังจากนั้นอีกกว่า 10 ปี มีอาจารย์ท่าหนึ่งถามผมด้วยคำถามเดิมนี้ ว่า ทำไหมถึงมาทำงานที่การรถไฟฯ คำตอบของผมเริ่มเปลี่ยนไป คือ “เพราะเป็นหน่วยงานนี้มั่นคง และมีสวัสดิการดีครับ” ขณะที่ตอนผมกำลังเรียนปริญญาตรี ภาคค่ำ ผมเลือกเรียนสาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ เพราะผมโอนย้ายมาทำงานที่ฝ่ายการพาณิชย์ ในตำแหน่งเสมียน มีหน้าที่รวบรวมข้อมูล เพื่อให้หัวหน้านำไปใช้ในด้านการขาย การตลาด และการบริการ เป็นงานที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ทุกวัน และต้องอาศัยความรู้ทางบริหารธุรกิจมาประกอบด้วย ซึ่งผมเองก็ไม่เคยคิดที่อยากจะมาเรียนทางด้านนี้เลยด้วยซ้ำ
เนื่องจากจริง ๆ แล้วผมต้องไปทำงานเป็นนายสถานีตามแผนกงานที่ผมเรียนจบมา ไม่นานผมก็เรียนประสบความสำเร็จในระดับปริญญาตรีมาพร้อมกับคำพ่วงท้ายปริญญาตรีว่า “เกียรติ์นิยม” ผมไม่รู้หลอกครับ ว่าผมจะได้รับเกียรติ์นี้ แต่ที่ผมทำคือการตั้งใจเรียน ฝึกฝนทำการบ้านให้ดีที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ หรืออาจเป็นเพราะค่าเทอมที่แพงเอามาก ๆ จึงเป็นอีกหนึ่งแรงพลักดันให้ผมต้องตั้งใจเรียนมากขึ้นกว่าเดิม เพราะมหาวิทยาลัยที่ผมเลือกเรียนนั้น คือ มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ที่มีชื่อเสียงด้านวิชาการบริหารธุรกิจ และเป็นที่ยอมรับขององค์กรมากมาย ในระหว่างการเรียน ผมไม่ลืมที่จะร่วมกิจกรรมของมหาวิทยาลัยอยู่เสมอ เพราะคิดว่า การเรียนอย่างเดียวจะได้แต่ความรู้ แต่ถ้าร่วมกิจกรรมด้วย เราจะได้ทั้งเพื่อน ทั้งสังคมใหม่ ๆ ที่เราไม่เคยได้รู้จัก รวมทั้งเราจะได้ทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์และที่สุดคือเราจะได้ประสบการณ์ที่ท้าทายกลับมาซึ่งสิ่งเหล่านี้ในห้องเรียนไม่มีวันสอนคุณ ในที่สุดสิ่งเหล่านี้ที่ผมทำ ทำให้ผมไปได้มีโอกาสสอบชิงทุนเรียนต่อในระดับปริญญาโท 100% ซึ่งในรุ่นมีเพียงผมคนเดียวที่ได้รับทุนนี้ รวมทั้งผมยังได้รับความไว้วางใจจากเพื่อน ๆ ที่เรียนด้วยกัน ให้ทำหน้าที่ประธานสาขาบริหารธุรกิจ และเป็นประธานคณะกรรมการนักศึกษาบัณฑิตวิทยาลัย หรือที่ทุกคนเรียกกันว่า ท่านประธานรุ่น ในที่สุดนั้นเอง หน้าที่ ความรับผิดชอบในครั้งนั้น ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับผมเป็นอย่างมาก แม้ในช่วงเวลาเดียวกันหน้าที่และความรับผิดชอบประจำในการรถไฟฯ จะเริ่มมีมากขึ้น ๆ แต่ผมมองว่าทั้งการทำงานพร้อมควบคู่ไปกับการเรียนปริญญาตรีและต่อไปยังปริญญาโท ตลอด 7 ปีกว่าของผมจะหล่อหลอมให้ผมเข้มแข็ง และประสบความสำเร็จอย่างในทุกวันนี้ สร้างความภาคภูมิใจให้ผมและครอบครัวเป็นอย่างยิ่ง การรถไฟฯ ไม่ขาดทุนและมีกำไร นั่นคือ ความฝันอันสูงสุดของผม แต่คำถามลักษณะเดิมจากเพื่อนร่วมรุ่นปริญญาโท 2 คน ก็กลับมาหาผมอีกครั้ง เพราะเพื่อนคนแรกชักชวนให้ผมลาออกไปสมัครทำงานใหม่ในอีกองค์กรรัฐวิสาหกิจที่มีกำไรและได้โบนัส ส่วนอีกคนขอให้ลาออกไปเป็นผู้บริหารบริษัทใหม่ที่เค้าลงทุนและตั้งขึ้นมา โดยให้ผมลงทุนแรงกายและสติปัญญาบริหาร ด้วยคำพูดที่ว่า “ข้าเชื่อใจเอ็ง” แต่ผมก็ได้ปฏิเสธความหวังดีของเพื่อนรักทั้ง 2 คนนั้นไป และตอบคำถามที่ว่า “เอ็งจะทำงานรถไฟไปทำไม” ว่า เพราะในใจผมมีสิ่งเดียวที่ต้องการทำให้สำเร็จ และเห็นก่อนถึงวัยเกษียณอายุราชการของผม คือ การรถไฟฯ ไม่ขาดทุนและมีกำไร นั่นคือ ความฝันอันสูงสุดของผม ถามว่าทำไม? คำตอบ คงเพราะตั้งแต่ผมเกิดลืมตาดูโลกในนี้ สิ่งที่ผมคุ้นเคยและชินตาที่สุด คือ เสียงหวูดรถไฟ เสียงระฆังสถานีรถไฟ ชุดเครื่องแบบพนักงานการรถไฟฯ ของคุณพ่อผมที่ท่านให้ผมช่วยถอดเครื่องหมาย ใส่เครื่องหมายให้ ชุดที่คุณแม่คอยซักรีด แบบกรีบคมกริบ คีมหนีบตั๋วสีเงินเงาวั๊บของคุณพ่อ ที่ผมแอบเอามาเล่นจนพลาดสับผ่ามือจนฮ่อเลือด เพราะใช้มันไม่เป็น รวมทั้งตลอดช่วงวันหยุดหรือปิดเทอม คุณพ่อจะพาผมนั่งรถไฟไปทำงานด้วยตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทางในยามเย็นค่ำ ผมชอบนั่งดูวิวทิวทัศน์สองข้างรถไฟ เพราะมันทำให้ผมมีความสุข คิดถึงสมัยตอนเป็นเด็ก ซึ่งตอนเด็ก ๆ ผมจำได้ทันทีว่าตอนนี้รถไฟกำลังวิ่งอยู่ระหว่างไปสถานีไหน เพียงแค่ดูจากภูมิประเทศสองข้างทางเท่านั้น นั้นคือความทรงจำในวัยเด็กของผม ตอนนี้ผมทำงานมาแล้วกว่า 26 ปี ผมอยู่ในช่วงวัยกลางคน เวลานี้การรถไฟฯ กำลังเข้าสู่วิสัยทัศน์ใหม่ รวมทั้งโอกาสใหม่ ซึ่งโอกาสนี้อาจทำให้ความฝันของผมได้เป็นความจริง แต่ผมคงทำให้มันเกิดขึ้นเพียงคนเดียวไม่ได้ ผมเป็นเพียงฟันเฟืองเล็ก ๆ หนึ่งอัน ที่ประกอบรวมกันให้เป็นการรถไฟฯ และขับเคลื่อนไปสู่อนาคต
ณ เวลานี้ พวกเรากำลังเป็นส่วนหนึ่งของช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด ขอเพียงให้เราร่วมมือร่วมแรงร่วมใจกันอย่างจริงใจและใช้ความรู้ความสามารถและประสบการณ์ที่มีให้ดีที่สุด เพื่อมอบการบริการที่เปี่ยมไปด้วยความรักและความสุขให้แก่ผู้มาใช้บริการของเรา ผมเชื่อว่า ผมจะได้เห็นความฝันของผมเป็นจริงก่อนผมเกษียณ ผมจะได้เห็นวันที่คนรถไฟทุกคนกล้าพูดกับใคร ๆ ที่ถาม ด้วยความภาคภูมิใจพร้อมรอยยิ้มที่มีความสุขว่า “ผมทำงานที่การรถไฟแห่งประเทศครับ” เมื่อพูดถึงปัญหาขาดพนักงานปฏิบัติหน้าที่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ที่มีมายาวนาน ซึ่งจากมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เดิมเมื่อปี 2541 ที่กำหนดให้ รฟท.รับพนักงานใหม่ได้เพียง 5% ของพนักงานที่เกษียณ ทำให้ปัจจุบัน รฟท.ขาดพนักงานปฏิบัติงาน รวมกว่า 8,000 อัตรา ครอบคลุมทั้งพนักงานประจำขบวนรถ พนักงานห้ามล้อ และเจ้าหน้าที่ประจำสถานี |