หากย้อนกลับไปสัก 50 ปีก่อนหน้านี้ คงไม่มีใครคาดการณ์ความเป็นอยู่และชีวิตของคนบนโลก ณ ตอนนี้ได้ เพราะสังคมและโลกที่เราอยู่ทุกวันนี้มีหลายๆสิ่งหลายๆอย่างที่มนุษย์ในยุคเมื่อ 50 ปี หรือ 100 ปีก่อน คิดไม่ถึง ใครจะคิดว่ามนุษย์จะสามารถพูดคุยกันผ่านกล่องสี่เหลี่ยมเล็กๆและยังเห็นหน้าตากันได้ด้วย แม้จะอยู่กันคนละซีกโลกก็ตาม รสนิยมและความชอบส่วนตัวตนแบ่งซอยออกไปได้หลายมิติ จนเกิดการงานที่หลากหลาย เกิดสไตล์การดำรงชีพที่คิดไม่ถึง เกิดกลุ่มการหลงใหลในสิ่งเฉพาะเจาะจง กระจายกันไปทั่วโลก นับเป็นยุคของการเปิดกว้างในสิ่งที่คนเล็กๆคนหนึ่ง อยากรู้อะไร อยากเป็นอะไร ก็สามารถหาข้อมูลและเรียนรู้ได้ ผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตแต่อีกมุมหนึ่งด้วยความที่ข้อมูลนั้นหลากหลายและล้นโลก ก็ได้สร้างความสับสนลังเล จนบางคนก็ไม่รู้ว่าจะอะไรยังไงกันดีกับชีวิต เลือกไม่ถูก และไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร หรืออยากทำอะไร ไม่รู้ว่าตัวเองมีความสามารถอะไรเป็นพิเศษ การไม่รู้ความต้องการของตัวเอง นับเป็นอุปสรรคสำคัญต่อความสำเร็จ สรุปสั้นๆได้ว่า ในยุคที่โลกเต็มไปด้วยความหลากหลายและเปี่ยมไปด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีนี้ มีหลายคนไม่รู้ว่าตนเองต้องการทำอะไร
มหาเศรษฐีและคนที่ประสบความสำเร็จส่วนมากมีความทะเยอทะยานที่ถูกต้อง การเลือกอาชีพและการงานของพวกเขามาจากการหยั่งรู้ภายในใจ รู้ด้วยความรู้สึกส่วนลึกของตัวเอง อย่างไม่ระแวงหรือสงสัยใดๆ คนส่วนมากมักจะลังเล ไม่แน่ใจ และไม่กล้าที่จะเปลี่ยนนิสัยขี้ลังเลนี้ หากอยากประสบความสำเร็จ ลองปล่อยให้ความคิดและจินตนาการคิดฝันไปอย่างอิสระ เติมความฝันนั้นไปในจิตใต้สำนึกอยู่เสมอ แล้วจิตใต้สำนึกจะเป็นตัวนำทางที่ดีและช่วยค้นหาสิ่งที่คุณต้องการอย่างแท้จริง นอกจากการหยั่งรู้ด้วยตัวเองแล้ว การได้คุยกับเพื่อนๆ การอ่านหนังสือและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ การเดินทางและท่องเที่ยว และการได้รู้จักคนใหม่ๆ ก็เป็นตัวช่วยให้เราค้นพบความต้องการของตัวเองได้เช่นกัน เมื่อรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร รู้ว่าเป้าหมายอยู่ที่ไหน ก็จะรู้ว่าตัวเองต้องทำอะไร เมื่อรู้แล้วก็ลงมือทำ สั่งสม บ่มเพาะประสบการณ์ ให้เกิดความรู้ความชำนาญในการงานนั้นอย่างลึกซึ้ง และหมั่นพัฒนาหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้ตกอยู่ในสถานการณ์ย่ำอยู่กับที่ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า ถ้าหยุดเดินก็จะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง จึงต้องพัฒนาเดินหน้าอยู่เสมอ สิ่งที่เป็น “ที่สุด” ของแต่ละคนไม่เหมือนกันอยู่แล้วครับ ไม่ต้องกลัวว่าถ้าความสำเร็จไม่ได้สวยหรู ดูยิ่งใหญ่แล้วจะสู้คนอื่นไม่ได้ เพราะคำถามนี้แข่งกันที่การให้คุณค่ากับ “ความสำเร็จ” นั้นครับ
บางคนอาจเลือกไม่ถูกว่าจะหยิบเรื่องไหนมาดี ลองพิจารณาดูครับ ว่าในชีวิตคุณ เรื่องไหนเข้าเกณฑ์ 2 ข้อนี้มากที่สุด 1.สร้างประโยชน์ให้กับตัวเรา 2.สร้างประโยชน์ให้กับคนรอบข้าง หรือคนที่คุณรัก
สมมติคุณบอกว่า “ความสำเร็จสูงสุด” คือ การเรียนจบปริญญาตรี ดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดามากเลยใช่ไหมครับ แต่... เรื่องนี้เป็นเป้าหมายของคุณเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ญาติพี่น้องต่างดูถูกคุณว่าไม่มีทางเรียนจบปริญญา เสียเงิน เสียเวลาเปล่า เพราะเคยเป็นเด็กเกเรมาก่อน มีแต่พ่อแม่เท่านั้นที่เชื่อว่าคุณจะตั้งใจเรียนให้จบตามที่สัญญา เพื่อให้มีงานที่ดี มีเงินมาดูแลพ่อแม่ ด้วยฐานะทางการเงินที่ไม่ได้มีมาก คุณก็ทำงานพิเศษเพื่อส่งตัวเองเรียนด้วย เรื่องนี้ จึงเป็น “ความสำเร็จสูงสุด” ของชีวิตคุณในตอนนี้ และเป้าหมายต่อไปคือ ดูแลพ่อแม่ให้มีชีวิตที่ดีขึ้น ซื้อบ้านหลังใหม่ให้ท่านภายใน 3 ปี ซึ่งก็จะเป็น “ความสำเร็จสูงสุด” ของคุณต่อไปด้วย ที่สำคัญเมื่อไปถึงความสำเร็จนั้นได้แล้ว คุณก็จะตั้งเป้าหมายใหม่ที่สามารถสร้างความสุขให้กับพ่อแม่ได้มากขึ้น ทั้งยังเป็นแรงผลักดันให้คุณต้องพัฒนาความสามารถตนเองตลอดเวลา เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายนั้นด้วย เพราะ “ความสำเร็จสูงสุด” สำหรับคุณไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อไปถึงแล้ว ต้องตั้งเป้าหมายใหม่ที่สร้างประโยชน์ให้กับตัวเองและครอบครัวได้มากขึ้น
ประเด็นสำคัญในคำถามนี้คือ องค์กรต้องการเห็นว่า คุณมีความคิดอย่างไรในการใช้ชีวิต มีเป้าหมาย มีความอดทน และมุ่งมั่นที่จะไปให้ถึงเป้าหมายมากขนาดไหน คุณสมบัติเหล่านี้ล้วนต้องนำมาใช้ในโลกของการทำงาน เพราะเป็นส่วนสำคัญที่จะมาขับเคลื่อนให้คนทำงานนำความสามารถทางด้านเทคนิค (Hard Skills) ออกมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เข้าใจง่ายๆ คือ คนเก่ง มีทักษะทางเทคนิคที่โดดเด่น แต่ไม่มีเป้าหมาย ไม่มีความอดทน เมื่อเข้ามาแล้วต้องเจอความกดดันต่างๆ ส่วนใหญ่ทำงานได้ไม่นานก็ลาออก องค์กรก็ต้องหาคนใหม่ (ซึ่ง HR ไม่ปรารถนาที่จะต้องเสียเวลาหาคนบ่อยๆ อยู่แล้ว)
|