3.กฎหมายประเภทอื่น ๆ ในการแบ่งแยกกฎหมายออกเป็นประเภทต่าง ๆ นั้น โดยหลักแล้วการแบ่งแยกออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชน (ซึ่งแบ่งโดยถือลักษณะของความสัมพันธ์เป็นเกณฑ์) กับกฎหมายสารบัญญัติและกฎหมายวิธีสบัญญัติ (ซึ่งแบ่งโดยถือลักษณะการใช้เป็นเกณฑ์) จะเป็นการแบ่งแยกประเภทกฎหมายที่ได้รับการยอมรับและเป็นที่ยึดถือโดยทั่วไป แต่ทั้งนี้
ก็ไม่ได้หมายความว่าประเภทของกฎหมายสามารถแบ่งแยกได้เป็น 2 กรณีนี้เท่านั้น การแบ่งแยกประเภทกฎหมาย อาจแบ่งออกเป็นลักษณะอื่น ๆ ได้อีก ซึ่งขึ้นอยู่กับตัวผู้ที่ทำการแบ่งนั้นเองว่า จะยึดถือหลักเกณฑ์ใดมาใช้ในการแบ่งประเภทนั้น ๆ เช่น ถ้ายึดหลักเกณฑ์รูปแบบ ก็อาจแบ่งได้เป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรกับกฎหมายจารีตประเพณี ถ้ายึดหลักเกณฑ์แหล่งกำเนิด ก็จะแบ่งได้เป็นกฎหมายภายในและกฎหมายภายนอก ถ้ายึดถือสภาพบังคับของกฎหมายเป็นหลัก
ก็อาจแบ่งได้เป็นกฎหมายที่มีสภาพบังคับทางอาญาและกฎหมายที่มีสภาพบังคับทางแพ่ง แต่อย่างไรก็ดี การแบ่งแยกประเภทกฎหมายตามหลักเกณฑ์อื่น ๆ เหล่านี้ ไม่เป็นการแบ่งที่เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป อาจเพราะเป็นการแบ่งแยกประเภทที่ยังไม่ชัดเจนเพียงพอ หรือไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ที่น่าสนใจ หรือยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องแบ่งแยกเป็นประเภทเหล่านั้นก็ได้ ในส่วนนี้จะขอกล่าวถึงการแบ่งแยกกฎหมายออกเป็นประเภทอื่น ๆ อยู่ 3 กรณีด้วยกัน กล่าวคือ (1) กฎหมายภายในและกฎหมายภายนอก (2)
กฎหมายลายลักษณ์อักษรและกฎหมายที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร (3) กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางอาญาและกฎหมายที่มีสภาพบังคับทางแพ่ง 3.1 กฎหมายภายในและกฎหมายภายนอก การแบ่งประเภทออกเป็นกฎหมายภายในและกฎหมายภายนอกนี้ เป็นการแบ่งโดยยึดถือหลักเกณฑ์ที่แหล่งกำเนิดเป็นสำคัญ กล่าวคือ 3.1.1 กฎหมายภายใน กฎหมายภายใน หมายถึง กฎหมายที่ใช้บังคับภายในประเทศ
ซึ่งออกโดยองค์กรที่มีอำนาจในการตรากฎหมายของประเทศนั้น กฎหมายภายในนี้ จึงหมายความรวมถึงกฎหมายมหาชนและกฎหมายเอกชนที่ใช้บังคับภายในประเทศ ซึ่งอาจเป็นกฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่เป็นลายลักษณ์อักษร และอาจเป็นกฎหมายสารบัญญัติหรือวิธีสบัญญัติก็ได้ 3.1.2 กฎหมายภายนอกหรือกฎหมายระหว่างประเทศ กฎหมายระหว่างประเทศนั้น เป็นกฎหมายที่บัญญัติขึ้นโดยองค์กรระหว่างประเทศ หรือเกิดขึ้นจากความตกลงระหว่างประเทศสมาชิกที่เห็นพ้องต้องกันที่จะยอมรับกฎหมายหรือข้อตกลงระหว่างประเทศนั้น กฎหมายระหว่างประเทศ อาจแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 3 ประเภท ด้วยกัน คือ (1) กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง (Public International Law) (2) กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล (Private International Law) (3) กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีอาญา (International Criminal Law) (1) กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง คือ กฎเกณฑ์ ข้อบังคับ อันว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างรัฐต่อรัฐในการที่จะปฏิบัติต่อกันในฐานะที่รัฐต่าง ๆ เป็นนิติบุคคลในกฎหมายระหว่างประเทศ7 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง เป็นกฎหมายที่ทำให้บุคคลตามกฎหมายระหว่างประเทศมีสิทธิและหน้าที่จะต้องปฏิบัติต่อกัน8 ซึ่งบุคคลตามกฎหมายระหว่างประเทศในที่นี้ได้แก่ รัฐ และองค์กรระหว่างประเทศ ตัวอย่างของกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง เช่น สนธิสัญญาที่เกี่ยวกับเขตแดน สนธิสัญญาสงบศึก กฎบัตรสหประชาชาติ สนธิสัญญาสากลไปรษณีย์ สนธิสัญญาว่าด้วยความหลายหลายทางชีวภาพ เป็นต้น (2) กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล คือ บรรดาหลักเกณฑ์ซึ่งใช้บังคับแก่ข้อพิพาทซึ่งเกิดขึ้นระหว่างประเทศ ในส่วนที่เกี่ยวด้วยกฎหมายเอกชนของประเทศ หรือในส่วนที่เกี่ยวด้วยสิทธิหน้าที่ทางแพ่งของพลเมืองของประเทศ9 ความสัมพันธ์ในทางคดีบุคคลนี้ ได้แก่ ความสัมพันธ์ในสิทธิและหน้าที่ทางแพ่งของพลเมืองของประเทศหนึ่งกับพลเมืองของประเทศอื่น ซึ่งอาจเป็นเรื่องเกี่ยวกับบุคคล ทรัพย์ หนี้ต่าง ๆ ทั้งนี้ เป็นเรื่องที่ประเทศต่าง ๆ เข้ามาเกี่ยวพันกัน เพราะเพื่อดูแลรักษรผลประโยชน์ของพลเมืองประเทศตนที่เข้าไปอยู่ในประเทศอื่น ซึ่งเกิดปัญหาที่กฎหมายเอกชนของแต่ละประเทศนั้นไม่เหมือนกัน จึงได้มีหลักเกณฑ์เพื่อกำหนดการบังคับกับข้อพิพาทที่เกี่ยวด้วยกฎหมายเอกชนระหว่างประเทศขึ้น ตัวอย่างกฎหมายภายในที่ตราออกมารองรับกับกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคลก็คือ พระราชบัญญัติว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมาย และพระราชบัญยัติสัญชาติ (3) กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีอาญา กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีอาญา คือ กฎหมายซึ่งกำหนดเกี่ยวกับอำนาจศาลของประเทศต่าง ๆ ในการปราบปรามและลงโทษผู้กระทำความผิดทางอาญาในกรณีที่มีปัญหาว่าด้วยการขัดกันระหว่างอำนาจของภายในประเทศและต่างประเทศ10 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีอาญานี้ เกี่ยวข้องกับปัญหาในเรื่องการลงโทษผู้กระทำความผิดทางอาญาที่หนีไปอยู่นอกเขตอำนาจรัฐ ซึ่งเป็นเรื่องนอกเหนืออำนาจรัฐนั้นที่จะไปลงโทษตามกฎหมายอาญาซึ่งเป็นกฎหมายภายในได้ จึงมีการทำความร่วมมือระหว่างรัฐต่าง ๆ ในการปราบปรามอาชญากรรม โดยปรากฎในรูปของสัญญาระหว่างประเทศ ตัวอย่างกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีอาญา เช่น กฎหมายว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน เป็นต้น 3.2 กฎหมายลายลักษณ์อักษรและกฎหมายที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร การแบ่งประเภทกฎหมายออกเป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรและกฎหมายที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร เป็นการแบ่งโดยถือตามรูปแบบกฎหมายที่ปรากฎ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 3.2.1 กฎหมายลายลักษณ์อักษร กฎหมายลายลักษณ์อักษร คือ กฎหมายที่บัญญัติขึ้นโดยผ่านกระบวนการในการตรากฎหมายที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญ ตัวอย่างเช่น รัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ ประมวลกฎหมายต่าง ๆ กฎหมายลายลักษณ์อักษรปัจจุบันมีความสพคัญมาก เพราะออกได้ไม่ยากจนเกินไปและออกได้ทันต่อสถานการณ์ ในการพิจารณากฎหมายลายลักษณ์อักษรนั้น ต้องพิจารณาถึงความสมบูรณ์ของกฎหมายลายลักษณ์อักษรว่าตราออกใช้โดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งมีข้อพิจารณาความสมบูรณ์ของกฎหมายลายลักษณ์อักษร ดังต่อไปนี้11 (1) ผู้บัญญัติกฎหมายมีอำนาจในการตรากฎหมายหรือไม่ กฎหมายแต่ละรูปแบบ ผู้มีอำนาจในการตรากฎหมายมีอำนาจตรากฎหมายต่างกัน เช่น พระราชบัญญัติผู้มีอำนาจตรา คือ พระมหากษัตริย์ กฎกระทรวงผู้มีอำนาจ คือ รัฐมนตรี ฉะนั้น ถ้ามีการตรากฎหมายโดยผู้ไม่มีอำนาจ เช่น รัฐมนตรีตราพระราชบัญญัติ เช่นนี้ พระราชบัญญัตินั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย (2) การบัญญัติกฎหมายได้กระทำถูกต้องตามกระบวนการหรือไม่ กระบวนการตรากฎหมายแต่ละรูปแบบมีกระบวนการในการตราแตกต่างกันไป เช่น ร่างพระราชบัญญัติจะต้องเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาก่อนจึงส่งต่อไปยังวุฒิสภา ดังนี้ หากมีการกระทำไม่ถูกต้อง เช่น วุฒิสภาพิจารณาร่างพระราชบัญญัติโดยที่ยังไม่ผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร เช่นนี้เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย (3) การประกาศใช้กฎหมายชอบหรือไม่ เนื่องจากกฎหมายใช้บังคับกับคนในสังคม ดังนั้น จึงต้องประกาศให้คนทราบพระราชบัญญัติ พระราชกำหนด พระราชกฤษฎีกา ต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษา จึงจะใช้บังคับเป็นกฎหมายได้ ถ้ายังไม่ประกาศก็ยังใช้บังคับไม่ได้ (4) มีกฎหมายที่ออกมาในภายหลังแก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกหรือไม่ กฎหมายแม้จะตราออกบังคับใช้แล้ว แต่ถ้าต่อมามีกฎหมายออกมาในภายหลังเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกกฎหมายเก่า กฎหมายเก่านั้นก็ย่อมใช้บังคับไม่ได้ เช่น เดิมมีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร พ.ศ. 2534 ใช้บังคับ แต่ต่อมามีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ดังนี้ รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2534 ย่อมใช้บังคับไม่ได้ 3.2.2 กฎหมายที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร กฎหมายที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร คือ กฎหมายที่มิได้บัญญัติขึ้นโดยผ่านกระบวนการในการตรากฎหมายที่บัญยัติไว้ในรัฐธรรมนูญซึ่งได้แก่ กฎหมายจารีตประเพณีและหลักกฎหมายทั่วไป กฎหมายที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรนี้ บางครั้งเรียกในความหมายอย่างกว้างว่า “กฎหมายจารีตประเพณี”12 3.3 กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางอาญาและกฎหมายที่มีสภาพบังคับทางแพ่ง หากแบ่งกฎหมายออกเป็นประเภทโดยพิจารณาจากสภาพบังคับของกฎหมายนั้น ๆ จะพบว่ามีกฎหมายอยู่ 2 ประเภท คือ กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางอาญาและกฎหมายที่มีสภาพบังคับทางแพ่ง13 3.3.1 กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางอาญา กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางอาญา หมายถึง กฎหมายที่มีบทบัญญัติกำหนดโทษในทางอาญาแก่ผู้ฝ่าฝืน ซึ่งโทษในทางอาญานั้น มี 5 ประการ ได้แก่ โทษประหายชีวิต จำคุก กักขัง ปรับ และริบทรัพย์สิน ตามที่ปรากฎอยู่ในมาตรา 18 แห่งประมวลกฎหมายอาญา 3.3.2 กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางแพ่ง กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางแพ่ง สภาพบังคับทางแพ่งนั้น ไม่มีบทมาตราใดที่บัญญัติถึงลักษณะของสภาพบังคับไว้โดยตรง ดังเช่นในประมวลกฎหมายอาญา แต่อาจสังเกตได้จากบทบัญญัติที่บัญญัติไว้สำหรับผู้ฝ่าฝืน ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายได้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เช่น การบังคับให้ชำระหนี้ การให้ชดใช้ค่าเสียหาย หรือการกำหนดให้นิติกรรมเป็นโมฆกรรมหรือโมฆียกรรม เป็นต้น การแบ่งประเภทของกฎหมายในกรณีเช่นนี้ จึงอาจจะดูคร่าว ๆ ได้โดยพิจารณาว่าเป็นกฎหมายที่มีโ?ษทางอาญาหรือไม่ ถ้ามีก็เป็นกฎหมายอาญา แต่ถ้ามีสภาพบังคับอย่างอื่นที่ไม่ใช่โทษทางอาญา โดยปกติก้เป็นของกฎหมายแพ่ง อย่างไรก็ตาม มีกฎหมายบางฉบับที่มีทั้งสภาพบังคับทางอาญาและทางแพ่งอยู่ด้วยกันได้ เช่น ประมวลกฎหมายที่ดิน พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค ประมวลรัษฎากร เป็นต้น เพราะกฎหมายเหล่านี้มุ่งคุ้มครองทั้งคนโดยส่วนรวมและประชาชนแต่ละคน จึงมีความผิดในทางอาญาเพื่อป้องกันการกระทำที่มีผลกระทบต่อส่วนรวม และความผิดทางแพ่งเพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ของคู่กรณีเฉพาะรายซึ่งทำให้กฎหมายเหล่านี้เป็นทั้งกฎหมายอาญาและกฎหมายแพ่งผสมกันอยู่ในตัว ————————————————— 6ศรีราชา เจริญพาณิช, เอกสารการสอนชุดวิชาความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมายทั่วไป หน่วยที่ 1-8. (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2533), หน้า 109. 7เรื่องเดียวกัน, หน้าเดียวกัน 8อุกฤษ มงคลนาวิน, คำบรรยายกฎหมายระหว่างประเทศ, เอกสารโรเนียวเย็บเล็บ คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ม.ป.ท., ม.ป.ป., หน้า 3. 9กมล สนธิเกษตริน, คำอธิบายกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล, พิมพ์ครั้งที่ 5 (กุงเทพฯ : สำนักพิมพ์นิติบรรณาการ, 2535), หน้า 9. 10อุกฤษ มงคลนาวิน, คำบรรยายกฎหมายระหว่างประเทศ, หน้า 5. 11ปรีดี เกษมทรัพย์, กฎหมายแพ่ง : หลักทั่วไป, หน้า 18-19. 12เรื่องเดียวกัน, หน้า 20. 13ศรีราชา เจริญพาณิช, เอกสารการสอนชุดวิชาความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมายทั่วไป หน่วยที่ 1-8, หน้า 108. |