การผลิตสินค้ามีประโยชน์อย่างไร

ปัจจัยการผลิตสินค้าและบริการ
ปัจจัยการผลิต หรือ ทรัพยากรในการผลิต หรือ ทรัพยากรทางเศรษฐศาสตร์ หมายถึง สิ่งจำเป็นขั้นพื้นฐานที่นำมาใช้ในการผลิตสินค้าและบริการต่าง ๆ
ปัจจัยการผลิตมี 4 ประเภท ดังนี้
1. ที่ดิน ในทางเศรษฐศาสตร์ หมายถึง พื้นดินและหมายรวมถึงทรัพยากรธรรมชาติที่ติดอยู่กับพื้นดินบริเวณนั้น เช่น ป่าไม้ แหล่งน้ำ แร่ธาตุ
2. แรงงาน หมายถึง กำลังกายและกำลังความคิดสติปัญญาของคนที่นำมาใช้ในการผลิต
3. ทุน เป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญประการหนึ่ง หมายถึง เงินทุนที่นำไปใช้ซื้อวัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องจักรต่าง ๆ รวมถึงสิ่งที่สร้างขึ้นมาเพื่อใช้ในการผลิตสินค้าและบริการ เช่น โรงงาน โกดังเก็บสินค้า
4. การประกอบการ หมายถึง การบริหารจัดการเพื่อนำที่ดิน แรงงาน และทุน มาผ่านกระบวนการผลิต ทำให้เกิดเป็นสินค้าและบริการต่าง ๆ ขึ้นมา

ในการที่ผู้ผลิตจะผลิตสินค้าหรือบริการประเภทใด ปัจจัยที่มีผลต่อการผลิตและการบริการ ได้แก่ ความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งผู้ผลิตจะต้องตอบปัญหาเกี่ยวกับความต้องการของผู้บริโภคให้ได้ว่า
1. จะนำทรัยพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด มาผลิตเป็นสินค้าและบริการอะไร
2. จะผลิตสินค้าและบริการนั้นอย่างไร
3. จะจัดสรรหรือขายสินค้าและบริการให้แก่ใคร

Show

          ในการทำงานทั้งการผลิตและการให้บริการ ผู้ผลิตจะประสบผลสำเร็จในการทำงานได้ ต้องคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้
คุณภาพของสินค้าและบริการ  -สินค้าและบริการที่ผลิตขึ้นต้องมีคุณภาพดี ไม่มีตำหนิ
ราคาที่เหมาะสม  -ควรจำหน่ายสินค้าและบริการที่เหมาะสมกับคุณภาพของสินค้า ไม่ขายแพงจนเกินไป
คุณธรรม  -ผู้ผลิตและผู้ให้บริการควรมีความซื่อสัตย์ต่ออาชีพของตนและต่อผู้บริโภค ไม่นำสินค้ามีตำหนิหรือเน่าเสียมาขาย
ความต้องการและความพึงพอใจของผู้บริโภค  -ผู้ผลิตหรือผู้ให้บริการต้องคำนึงถึงความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญ รู้จักผลิตสินค้าที่ตรงกับความต้องการเพื่อสนองตอบความพึงพอใจ
เทคโนโลยีการผลิต  -รู้จักนำวิทยาการและเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้เพื่อทำให้ต้นทุนการผลิตลดลงสามารถผลิตสินค้า และบริการได้ปริมาณสูงและมีคุณภาพดี
ต้นทุนการผลิต  -ใช้ทรัพยากรการผลิตสิ้นเปลืองน้อยที่สุดหรือค่าใช้จ่ายต่ำสุด
อื่น ๆ - ในปัจจุบันเราจะเห็นสินค้าและบริการมีรูปแบบต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย เนื่องจากผู้ประกอบการส่วนใหญ่นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการผลิตสินค้าและบริการ เพื่อให้ได้สินค้าที่มีปริมาณสูง มีคุณภาพดี มีรูปแบบต่าง ๆ ลดแรงงานคน เพิ่มผลผลิตได้เร็วขึ้นส่งผลให้ต้นทุนการผลิตลดลง มีกำไรมากขึ้น
การใช้เทคโนโลยีในการผลิต เช่น การใช้คอมพิวเตอร์ในการควบคุมการผลิตการใช้เครื่องจักรแทนแรงงานคน การนำวิทยาการใหม่ ๆ มาช่วยในการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร เป็นต้น
การใช้เทคโนโลยีในการบริหาร เช่น การใช้คอมพิวเตอร์ในการจัดเก็บข้อมูลลูกค้า การใช้โทรศัพท์และเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในการติดต่อสื่อสาร เป็นต้น
การแข่งขันในการผลิต หมายถึง การทำให้ต้นทุนการผลิตสินค้าต่ำลง สามารถขายสินค้าได้ในราคาถูก เพื่อแข่งขันซึ่งกันและกัน

การใช้เทคโนโลยีเพื่อการแข่งขันของผู้ผลิต มีดังนี้
1. การใช้เทคโนโลยีช่วยผลิตสินค้าและบริการที่มีรูปแบบใหม่ และให้ประโยชน์ กับผู้บริโภคมากขึ้น
2. การใช้เครื่องมือและเครื่องจักรที่ทันสมัย ช่วยในการผลิตสินค้าและการบริการเพื่อให้เกิดการทำงานที่มีประสิทธิภาพ
3. การใช้เทคโนโลยีช่วยในการโฆษณาสินค้าและบริการ การส่งเสริมการขายและการตลาด
4. การใช้เทคโนโลยีช่วยในการขนส่ง เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับสินค้าและบริการอย่างสะดวกและรวดเร็ว

การผลิตสินค้ามีประโยชน์อย่างไร

http://www.trueplookpanya.com/new/cms_detail/knowledge/1878-00/

การผลิตสินค้ามีประโยชน์อย่างไร

สำหรับโรงงานที่ต้องผลิตวัตถุดิบ วัสดุ หรือสินค้าต่างๆ ขึ้นมา หากในการผลิตไม่ได้มี “ระบบ” หรือ “กระบวนการ” เข้ามาช่วยจัดการ โรงงานคงไม่สามารถควบคุมและคาดการณ์ต้นทุน-ผลลัพธ์อะไรจากการผลิตได้เลย 

ซึ่งบทความนี้เราจะมาทำความเข้าใจ ความสำคัญของ ระบบการผลิต (Production System) ว่าส่งผลต่อการผลิตอย่างไร และระบบนี้จะสร้างประโยชน์อย่างไรให้กับธุรกิจของคุณได้บ้าง

อ่านตามหัวข้อ

  • ระบบการผลิต (Production System) คืออะไร 
  • กระบวนการผลิต Production Process มีอะไรบ้าง
  • ทำความรู้จัก “ประเภทของระบบการผลิต” และเลือกใช้ให้ถูก
  • ประโยชน์ของระบบการผลิตและแนวทางการปรับใช้ให้เกิดประสิทธิภาพ
  • สรุปท้ายบทความ

ระบบการผลิต (Production System) คืออะไร 

ระบบการผลิต คือ กลุ่มขั้นตอนและองค์ประกอบต่างๆ ในการผลิตเพื่อให้ได้สิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้นมาจากวัสดุ วัตถุดิบ ทรัพยากรหรือปัจจัยการผลิตต่างๆ โดยผ่านกระบวนการแปรสภาพ 

ซึ่งระบบการผลิต ก็จะประกอบไปด้วย 3 องค์ประกอบสำคัญ ได้แก่ 

  • ปัจจัยการผลิต 
  • กระบวนการแปลงสภาพ 
  • ผลผลิต
การผลิตสินค้ามีประโยชน์อย่างไร
ที่มารูปภาพ slideteam.net

1. ปัจจัยการผลิต (Input/Material) 

หมายถึง องค์ประกอบตั้งต้นที่จะต้องมีเพื่อให้ระบบการผลิตสามารถสร้างผลผลิตขึ้นมาได้ เช่น แรงงานคน วัสดุ/วัตถุดิบ เครื่องมือจักร พลังงานไฟฟ้า เงิน ข้อมูล ฯลฯ

2. กระบวนการแปลงสภาพ (Processing) 

หมายถึง ขั้นตอนต่างๆ ที่จะช่วยแปรสภาพปัจจัยการผลิตให้กลายเป็นผลผลิตที่ต้องการได้ ตัวอย่างเช่น การเตรียมวัตถุดิบ การขึ้นรูปทรง การหล่อ การหลอม การปรุง การตกแต่ง ฯลฯ

3. ผลผลิต (Output/Product) 

หมายถึง ผลลัพธ์จากกระบวนการแปรสภาพ หรือผลลัพธ์สุดท้ายที่เราต้องการจากระบบการผลิต ซึ่งก็คือ ผลิตภัณฑ์ (Products)

ในระบบการผลิตจะขาดองค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่งไปไม่ได้ เพราะจะส่งผลให้ระบบไม่สมบูรณ์ และไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ออกมาให้ได้

กระบวนการผลิต Production Process มีอะไรบ้าง

การจะสร้างผลิตภัณฑ์ขึ้นมาสักชิ้นหนึ่ง นอกจากองค์ประกอบของการผลิตที่ต้องมีแล้ว ในขั้นตอนการสร้างระบบการผลิตที่มีประสิทธิภาพ จะต้องคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ หลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นปริมาณ คุณภาพ เวลา ต้นทุนและราคา ซึ่งทำให้กระบวนการผลิตต้องการการวางแผนและการควบคุมที่ดี

ภายในกระบวนการผลิต (Production Process) โดยทั่วไป มีอยู่ 3 กิจกรรมสำคัญด้วยกัน คือ การวางแผน (Planning) การดำเนินงาน (Operation) และการควบคุม (Control)

  1. ขั้นตอนการวางแผน (Planning) หมายถึง ขั้นตอนของการวิเคราะห์ข้อมูลที่มีอยู่เพื่อนำมาวางแผนการผลิตและการใช้ทรัพยากรหรือปัจจัยการผลิตต่างๆ ทั้งวัสดุ วัตถุดิบ แรงงาน เวลา รวมไปถึงการควบคุมกรอบเวลา (timeline) และค่าใช้จ่าย ให้เกิดประโยชน์สูงสุด 
  1. ขั้นดำเนินงาน (Operation) หมายถึง ขั้นตอนของการดำเนินการทำตามแผนการผลิตที่วางไว้ ใช้ทรัพยากรอะไร อย่างไร ปริมาณเท่าไหร่ และลำดับขั้นตอนในการแปลงสภาพหรือผลิต
  1. ขั้นการควบคุม (Control) หมายถึง ขั้นตอนในขณะที่ระบบการผลิตกำลังดำเนินการอยู่ แล้วเราพยายามควบคุมการทำงานให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ซึ่งเป็นได้ตั้งแต่การควบคุมเวลา การควบคุมแรงงาน การควบคุมการใช้ทรัพยากร ไปถึงการตรวจสอบและให้คำแนะนำ (Feedback) ตัวระบบหรือผู้ปฏิบัติงาน รวมทั้งแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น

ทำความรู้จัก “ประเภทของระบบการผลิต” และเลือกใช้ให้ถูก

แต่ละธุรกิจผลิตโปรดักต์ที่แตกต่างกันไป ดังนั้นระบบการผลิตเพียงรูปแบบเดียวจึงไม่สามารถใช้กับทุกโรงงานหรือธุรกิจได้ เพื่อที่จะเลือกระบบที่ใช้ได้เหมาะสม มาทำความรู้จักประเภทของระบบการผลิตดู ว่าโรงงานหรือผลิตภัณฑ์แบบไหน ควรใช้ระบบการผลิตประเภทใด

1. การผลิตแบบโครงการ (Project Manufacturing)

การผลิตแบบโครงการ คือ ระบบการผลิตที่ผลิตสิ่งของขนาดใหญ่ มีมูลค่าสูง มีลักษณะเฉพาะที่ขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้า และต้องอาศัยทรัพยากรในการผลิตสูง ซึ่งต้องผลิตเสร็จเป็นโครงการโครงการไป เช่น งานก่อสร้างอาคาร การสร้างเขื่อน การสร้างเรือ การต่อเครื่องบิน เป็นต้น

จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า การผลิตแบบนี้ใช้เวลาค่อนข้างนานเพื่อที่จะผลิตโปรดักต์ชิ้นหนึ่ง (หรือหนึ่งโครงการ) จนแล้วเสร็จ การผลิตจึงเกิดขึ้นที่สถานที่ตั้งของโครงการ (Site) ทรัพยากรต่างๆ จะถูกนำมาไว้ ณ สถานที่นั้นให้พร้อม และเมื่อจบโครงการจึงค่อยย้ายทรัพยากร เช่น เครื่องจักร แรงงาน วัสดุ ฯลฯ ไปเก็บหรือย้ายไปสถานที่การผลิตโครงการต่อไป

ลักษณะของการผลิตแบบโครงการ

  • ผลิตทีละชิ้น ความต้องการซื้อต่ำ
  • มูลค่าสูงมาก
  • ใช้ทรัพยากรสูงและหลากหลาย (แรงงาน วัสดุ เครื่องจักร พลังงาน เวลา)
  • ใช้เครื่องมือหรือเครื่องจักรเฉพาะตามฟังก์ชัน
  • ต้องอาศัยแผนการผลิตที่ละเอียด ซับซ้อน

2. การผลิตแบบไม่ต่อเนื่อง (Job Shop หรือ Intermittent Production)

การผลิตแบบไม่ต่อเนื่อง หรือ Job Shop หมายถึง การผลิตโปรดักต์ในจำนวนไม่มาก เพราะโปรดักต์มีความเฉพาะเจาะจง ตามดีไซน์หรือเงื่อนไขของลูกค้า โดยจะผลิตเป็นล็อตๆ ทำให้ปริมาณในการผลิตไม่สูงและโปรดักต์ที่ได้จะมีความหลากหลาย ตัวอย่างเช่น เฟอร์นิเจอร์ที่ดีไซน์ออกมาเป็นรุ่น หรือสมาร์ทโฟนที่ออกมาเป็นรุ่นๆ เป็นต้น 

การผลิตประเภทนี้ ต้องการเครื่องจักร เทคโนโลยี หรือฝีมือในการผลิตที่เฉพาะเจาะจงเพื่อผลิตชิ้นส่วนต่างๆ แต่กระบวนการผลิตจะสม่ำเสมอ ได้ผลลัพธ์ที่คาดเดาได้ และเมื่อผลิตสินค้าเสร็จตามปริมาณที่วางแผนไว้ ก็จะผลิตสินค้าชิ้นหรือรุ่นต่อไป

ลักษณะของการผลิตแบบไม่ต่อเนื่อง

  • โปรดักต์มีความหลากหลาย แต่ความต้องการไม่ได้มาก (Mass)
  • ใช้เครื่องมือหรือเครื่องจักรเฉพาะตามฟังก์ชัน
  • อาศัยความรู้หรือความคิดสร้างสรรค์เพื่อสร้างความแตกต่างจากโปรดักต์ประเภทเดียวกัน
  • แผนการผลิตชัดเจน มีรายละเอียดมาก

3. การผลิตแบบกลุ่ม (Batch Production)

การผลิตแบบกลุ่ม หรือ Batch Production จริงๆ แล้วคล้ายคลึงกับการผลิตแบบไม่ต่อเนื่อง เพียงแต่การผลิตแบบกลุ่มจะผลิตโปรดักต์ที่ “แมส” (Mass) มากกว่า และการผลิตแบบกลุ่มจะเน้นผลิตโปรดักต์ที่หลากหลาย มีความโดดเด่นเฉพาะตัว 

แต่จะเหมือนกันตรงที่ผลิตโปรดักต์ออกมาเป็นล็อตๆ ใช้เครื่องมือ/เครื่องจักรที่ตรงฟังก์ชั่นตามกระบวนการผลิตต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น การผลิตเสื้อยืดเป็นล็อตๆ ที่มีความต้องการสูง (Mass) 

การผลิตแบบกลุ่ม (Batch) จะผลิตตามออร์เดอร์เป็นล็อตๆ หรือผลิตเพื่อทำเป็นสต็อกสินค้าเพื่อรอจำหน่ายก็ได้

อ่านเพิ่มเติม: ระบบจัดการคลังสินค้าใช้ทำอะไร? มีประโยช์อย่างไรกับธุรกิจ

ลักษณะของการผลิตแบบกลุ่ม

  • เน้นผลิตโปรดักต์ที่มีความต้องการสูง
  • ผลิตเป็นล็อตๆ ตามออร์เดอร์หรือเพื่อสต็อกสินค้าได้
  • แผนการและกระบวนการผลิตชัดเจน 
  • เมื่อต้องการผลิตโปรดักต์ชิ้นใหม่ ต้องกำหนดค่าการผลิตใหม่
  • Lead time (ระยะเวลาที่ลูกค้ารอสินค้า) และต้นทุนการผลิตต่ำ

4. การผลิตแบบไหลผ่าน (Mass Production) 

การผลิตแบบไหลผ่าน หรือ Mass Production คือ การผลิตโปรดักต์หรือสินค้าที่เหมือนกันในปริมาณมากๆ เช่น การผลิตน้ำยาล้างจาน ผงซักฟอก สบู่ แชมพู ฯลฯ 

โดยการผลิตแบบไหลผ่านจะใช้เครื่องมือในการผลิตที่เฉพาะแยกตามสายผลิต ไม่ใช้เครื่องจักรร่วมกัน เครื่องมือไหนผลิตโปรดักต์อะไร ก็ใช้ผลิตสิ่งนั้นเท่านั้น การผลิตประเภทนี้ผลิตได้ปริมาณมากและผลิตได้รวดเร็ว เหมาะกับการผลิตโปรดักต์ที่รอจำหน่ายได้ 

ลักษณะของการผลิตแบบไหลผ่าน

  • โปรดักต์มีความต้องการสูง
  • โปรดักต์และกระบวนการผลิตมีมาตรฐาน
  • เครื่องมือจักรหนึ่งเครื่อง หนึ่งฟังก์ชั่นการทำงาน ใช้ผลิตโปรดักต์เดียว
  • ระบบการผลิตมีความแน่นอน ไม่เปลี่ยนแปลงไปมา
  • ควบคุมแผนและการผลิตง่าย
  • ระบบการผลิตง่ายต่อการทำให้เป็นระบบอัตโนมัติ

5. การผลิตแบบต่อเนื่อง (Continuous Flow Production)

การผลิตแบบต่อเนื่อง (Continuous Flow Production) เป็นการผลิตโปรดักต์ชนิดเดียวในปริมาณมากๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งต้องใช้เครื่องจักรในการผลิตที่เฉพาะและทำงานต่อเนื่องไม่หยุด ส่วนใหญ่แล้วระบบการผลิตประเภทนี้จะเป็นการแปรสภาพทรัพยากรธรรมชาติ ให้เป็นวัตถุดิบหรือวัสดุตั้งต้นที่มีความต้องการสูงมาก เช่น การกลั่นน้ำมัน การหลอมเหล็ก การทำสารเคมี การทำกระดาษ ฯลฯ

ลักษณะของการผลิตแบบต่อเนื่อง

  • โปรดักต์มีความต้องการสูงมาก และมักจะผลิตวัสดุหรือสารตั้งต้น (Raw Materials)
  • โปรดักต์และกระบวนการผลิตมีมาตรฐาน
  • เครื่องมือจักรหนึ่งเครื่อง หนึ่งฟังก์ชั่นการทำงาน ใช้ผลิตโปรดักต์เดียว
  • ระบบการผลิตมีความแน่นอน ไม่เปลี่ยนแปลงไปมา
  • ควบคุมแผนและการผลิตง่าย
  • ระบบการผลิตง่ายต่อการทำให้เป็นระบบอัตโนมัติ

ประโยชน์ของระบบการผลิตและแนวทางการปรับใช้ให้เกิดประสิทธิภาพ

เมื่อพิจารณาประเภทการผลิตในรูปแบบต่างๆ แล้ว เราก็สามารถเลือกได้ว่าจะใช้ระบบการผลิตแบบใด แต่เมื่อจะนำมาใช้จริงนั้น ก็มีคำแนะนำการนำระบบไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์และประสิทธิภาพจริงในโรงงานหรือธุรกิจ

สรุปประโยชน์ของระบบการผลิต

  • ช่วยให้ธุรกิจมองภาพรวมของการผลิต เพื่อการวิเคราะห์และวางแผนการผลิต ทั้งทรัพยากรที่ต้องใช้ กระบวนการผลิต เพื่อผลิตโปรดักต์หนึ่งชิ้นขึ้นมา 
  • ช่วยให้ธุรกิจมีแนวทางในการควบคุมการผลิต รู้ว่าต้องใช้ทรัพยากรเท่าไหร่ บริหารทรัพยากรต่างๆ ให้เป็นไปตามแผน
  • ช่วยให้มีแนวทางในการตรวจสอบ รีวิว และสอบทานข้อผิดพลาด ตลอดจนปรับปรุงและพัฒนากระบวนการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • ช่วยให้ธุรกิจสามารถคาดการณ์ค่าใช้จ่าย ต้นทุน และคำนวณผลประกอบการได้อย่างเป็นรูปธรรม 
  • ช่วยให้ธุรกิจสามารถวางแผนการผลิตเพื่อเสนอต่อลูกค้า วางแผนการตลาด การส่งมอบงานให้กับลูกค้าได้

คำแนะนำในการใช้ระบบให้เกิดประสิทธิภาพจริงๆ ในการผลิต

  • เลือกใช้ระบบการผลิตที่เหมาะสมกับการผลิตโปรดักต์สำเร็จ (Final product) 
  • วางระบบโดยพิจารณาองค์ประกอบของระบบการผลิตทั้ง 3 ได้แก่ ทรัพยากร/ปัจจัยการผลิต กระบวนการแปรสภาพ และผลผลิตอย่างรอบคอบ
  • ยึดกระบวนการในการทำระบบการผลิต ทั้ง 3 กระบวนการ ได้แก่ วางแผน ดำเนินงาน และควบคุมกระบวนการให้เป็นไปตามแผน
  • ควรตรวจสอบและรีวิวระบบผลิต เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดการใช้ทรัพยากรลง
  • ระบบการผลิตควรดำเนินงานตามความต้องการสินค้าในตลาด ไม่ผลิตสินค้าออกมาล้นเกิน ซึ่งก่อให้เกิดต้นทุนการสต็อก 
  • บางระบบการผลิตควรยืดหยุ่น
  • บางระบบการผลิตที่มีกระบวนการชัดเจน ควรปรับเป็นระบบอัตโนมัติ
  • คำนึงถึงต้นทุนและความคุ้มค่าในการผลิตตามสถานการณ์อยู่เสมอ ไม่ยึดระบบจนเกินไป

สรุปท้ายบทความ

ระบบการผลิต ประกอบไปด้วยองค์ประกอบ 3 ส่วนด้วยกัน ได้แก่ ทรัพยากร กระบวนการแปรสภาพ และผลผลิต ซึ่งการจะผลิตโปรดักต์หนึ่งๆ ขึ้นมาได้ ต้องอาศัยองค์ประกอบข้างต้นและกระบวนการที่รอบคอบทั้งการวางแผน การดำเนินงาน และการควบคุม

โดยระบบการผลิตมีหลากหลากประเภทขึ้นอยู่กับผลผลิตและปริมาณ โรงงานและธุรกิจควรเลือกใช้ให้เหมาะสม ปรับใช้ระบบเพื่อให้สามารถควบคุมงาน จัดการและบริหารการผลิตได้ ตลอดจนเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนลงได้ 

การนำเครื่องจักรมาใช้ในการผลิตสินค้ามีประโยชน์อย่างไร

1. การใช้เครื่องจักรที่ทันสมัยช่วยในการผลิตสินค้า ทำให้ผลิตสินค้าและบริการจำนวนมากขึ้น ในเวลารวดเร็ว มีปริมาณเพียงพอต่อการบริโภค และลดต้นทุนการผลิต เพราะเทคโนโลยีช่วยลดแรงงานหรือกำลังคนและลดเวลาการผลิต แต่ได้ปริมาณสินค้าและบริการมาก

ประโยชน์ของการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพมีอะไรบ้าง4ข้อ

๑. เพิ่มผลผลิตให้มีมากขึ้น ๒. เพื่อลดต้นทุนการผลิต ๓. เพื่อให้ผลผลิตมีคุณภาพได้มาตรฐาน ๔. เพื่อลดแรงงานหรือกาลังคนทางาน “ให้”น้อยลง

การผลิตมีประโยชน์อย่างไร

ประโยชน์ของการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ การที่ผู้ผลิตผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ จะทำให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อผู้ผลิตและผู้บริโภค ดังนี้ 1) ทำให้ผู้บริโภคได้รับสินค้าและบริการที่ดี มีประโยชน์และเหมาะสมกับเงินที่ได้จ่ายไป 2) ทำให้ผู้บริโภคมีความปลอดภัยในชีวิต และร่างกายเพราะบริโภคสินค้าที่มีคุณภาพ

ผู้ผลิตมีความสําคัญอย่างไร

ผู้ผลิต เป็นผู้ที่ทำหน้าที่ในการเปลี่ยนแปลงทรัพยากรให้เป็นสินค้าและบริการ ผู้บริโภคเป็นบุคคลหรือกลุ่มบุคคลซึ่งเป็นผู้ใช้สินค้าและบริการเพื่อตอบสนองความต้องการ อีกทั้งทรัพยากรมีปริมาณจำกัด ควรใช้อย่างประหยัด ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด