สุชีพ ปุญญานุภาพ : อะไหล่ที่หาไม่ได้ เสฐียรพงษ์ วรรณปก จากมติชนรายวัน ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๔๓ ก่อนจะถึงวันวิสาขบูชา ก็ได้รับข่าวน่าเสียใจ ท่านอาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ ได้สิ้นชีวิตเสียแล้วเมื่อวันที่เสาร์ที่ ๖ เมษายน ๒๕๔๓ ท่านเสียวันไหนผมไม่ทราบ ได้ทราบข่าวเมื่อเช้าวันเสาร์ จากท่านที่เคารพนับถือโทรศัพท์มาบอก ทราบเรื่องราวว่าหลังจากรับประทานอาหารมื้อหนึ่งแล้ว ก็รู้สึกอึดอัดในท้อง ขอนั่งพักสักระยะหนึ่ง ท่านนั่งเข้าสมาธิอยู่เป็นเวลานาน จนภรรยาและบุตรสงสัยว่าทำไมนั่งนานปานนั้น จึงเข้าไปจับตัว จึงได้รู้ว่าตัวเย็นเฉียบ เห็นท่าไม่ไหวแล้วจึงนำส่งโรงพยาบาล ทั้งที่ท่านบอกว่า ไม่ต้องการไป ต้องการจากไปอย่างที่สงบที่บ้าน แต่ก็ด้วยความเป็นห่วงว่าท่านจะเป็นอะไรมากกว่านี้ จึงนำส่งถึงมือหมอ และก็เป็นการไปที่ไม่กลับ ท่านสิ้นลมด้วยอาการอันสงบ ! เพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งปรารภว่า ท่านอาจารย์คงรู้ว่าถึงวาระที่ท่านต้องไป จึงขอไปด้วยท่านั่งสมาธิดุจดังอาจารย์เซนทั้งหลายในอดีต แต่ถึงจะไปในท่าไรก็เป็นการไปอย่างสงบเช่นกัน และก็เป็นการไปที่ผู้อยู่เบื้องหลัง เสียใจและเสียดาย เสียใจน่ะ เป็นของธรรมดา สักพักหนึ่งก็คงทำใจได้ เมื่อรำลึกได้ว่า "มันเป็นเช่นนั้นเอง" มีเกิดก็มีดับ เป็นธรรมดา ไม่ช้าไม่นานก็คงทำใจได้ แต่เสียดายนี่สิครับ ยากจะทำใจได้ เพราะบุคคลอย่างท่านอาจารย์สุชีพ หาไม่ได้อีกแล้วในปัจจุบันนี้ ถ้าเป็นอะไหล่ ไม่ว่าจะอะไหล่อะไรก็ตาม ท่านอาจารย์สุชีพเป็นอะไหล่ที่หาไม่ได้อีกแล้ว หลายสิบปีมาแล้ว ถ้าท่านยังรำลึกได้ คงจะทราบว่า มีภิกษุหนุ่มรูปงามท่านหนึ่ง จบเปรียญเก้าประโยค มีความรู้พระพุทธศาสนา และศาสตร์อื่น ๆ อย่างหาตัวจับยาก เป็นนักเทศน์นักปาฐกถาธรรมที่โด่งดัง เรียกได้ว่าเพียงรูปเดียวในยุคนั้นเป็นพระไทยไม่กี่รูปที่รู้ภาษาฝรั่งเศษดีเยี่ยม แสดงธรรมเป็นภาษาฝรั่งให้ชาวต่างชาติสดับด้วยความคล่อง แคล่ว ชื่อเสียงขจรขจายไปทั่ว มิเพียงแต่เป็นนักเทศน์นักสอน ภิกษุหนุ่มรูปนี้ยังเป็นนักเขียนฝีมือดีอีกด้วย งานเขียนมีมากมายพอ ๆ กับงานพูด หนังสือ พระไตรปิฎกสำหรับประชาชน เป็นงานอมตะที่ถึงปัจจุบันนี้พิมพ์ซ้ำแล้วซ้ำอีก และเป็นหนังสือที่ขายดิบขายดีอย่างยิ่ง ท่านเป็นผู้ริเริ่มการเขียน นวนิยายอิงพระพุทธศาสนา ใต้ร่มกาสาวพัสตร์ , เชิงผาหิมพานต์ ได้ออกมาสู่บรรณพิภพ ทำให้มีความตื่นตัวในการสอนธรรมะแนวใหม่ ที่คนทั่วไปรับได้ อ่านด้วยความสนุกสนาน จากนั้นมาลูกศิษย์ลูกหาที่มีฝีมือในด้านการขีดเขียน ก็หันมาเอาอย่าง แต่งนิยายอิงธรรมะกันเป็นแถว อาทิ ธรรมโฆษ (แสง จันทร์งาม) ได้สร้างบทบาทของพระเรวตะ กับสีกาลีลาวดี ด้วยสำนวนอันชวนติดตามใน ลีลาวดี ที่พระเล็กพระน้อยติดกันงอมแงม วศิน อินทรสระ ผจงเรียงร้อย อานนท์พุทธอนุชา ออกมาอย่างไพเราะเพราะพริ้ง การกู้ชาติของเจ้าชายสิทธัตถะ ของ "กนกพร" (จำนงค์ ทองประเสริฐ ) ก็ดี คำให้การของพระเทวทัต ของ "กนกบุญ" (อดิศักดิ์ ทองบุญ) ก็ดี ถึงแม้ว่า ผุ้ประพันธ์ทั้งสองมิใช่ศิษย์โดยตรงของอาจารย์สุชีพ ก็ยากปฏิเสธว่ามิได้อิทธิพลจากแนวคิดแนวเขียนของท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ เดิมนาม บุญรอด ฉายาตอนบวชคือ สุชีโว ภิกขุ อันเป็นนามที่ติดหูชาวพุทธไทยทั่วประเทศ ท่านได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชคณะชั้นสามัญที่พระศรีวิสุทธิญาณ ตั้งแต่ยังหนุ่ม เป็นพระเจ้าคุณทั้งหนุ่ม และมีความรู้ความสามารถเชี่ยวชาญใน สกสมัย (ศาสตร์ของลัทธิของตน) และ ปรสมัย (ศาสตร์ของลัทธิอื่น) ท่านก็มิได้เคลิบเคลิ้ม หรือหลงในโลกธรรมเหล่านั้น ตรงข้ามกลับเป็นพระที่สงบสำรวมอย่างยิ่ง เมื่อลาสิกขาออกมาแล้ว ท่านก็ทำงานในแนวที่ถนัดในด้านวิชาการ ถ่ายทอดความรู้แก่สานุศิษย์และประชาชนทั่วไป และช่วยงานการพระศาสนา และประเทศชาติสืบมาจนอายุขัย ดังเคยช่วยกระทรวงวัฒนธรรมฟื้นฟูวัฒนธรรมแห่งชาติ ช่วยสอนมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ช่วยสำนักงานเอกลักษณ์ผลิตคำถาม-คำตอบเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาสำหรับชาวไทยและชาวต่างชาติ ช่วยราชบัณฑิตยสถาน ทำพจนานุกรมศาสนาสากล พจนานุกรมพระไตรปิฎก ที่สำคัญยิ่งก็คือท่านมีบทบาทสำคัญใน องค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก (พสล.) ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่ประเทศไทย เผยแผ่พระพุทธศาสนาระดับนานาชาติ อาจารย์สุชีพมีความจำแม่นยำ ใครอยากทราบว่าพระสูตรไหน อยู่ที่ไหน มาถามท่าน ท่านจะบอกเล่มบอกหน้า พร้อมท่องให้ฟังเสร็จ คนรุ่นใหม่ "เป็นงง" ว่าท่านจำได้อย่างไร เวลาเข้าประชุมกับท่าน ท่านจะยกพุทธวจนะให้ฟังเป็นตอน ๆ พร้อมอธิบายให้ฟัง เพราะฉะนั้น ใครจะคุยกับท่านว่าได้ซื้อคอมพิวเตอร์มาค้นพระไตรปิฎกซีดีรอมท่านไม่ตื่นเต้น เพราะข้อมูลทั้งหมดอยู่ใน "ฮาร์ตแวร์" และ "ซอฟต์แวร์" ของท่านหมดแล้ว ดึงออกมาเร็วกว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณอีก อะไหล่อย่างนี้ หาไม่ได้อีกแล้วครับ ผู้รู้อาวุโสอย่างท่าน มีความถ่อมตนอย่างน่าอัศจรรย์ เรียกกรรมการทุกคน ซึ่งก็วัยลูกวัยหลานของท่านทั้งนั้นว่า "ท่านอาจารย์" ทุกคำ เรียกเลขานุการว่า "ท่านเลขาฯ" จนเธอบอกว่าขนลุกทุกครั้งที่อาจารย์เรียก มิใช่การแสร้งทำ หากออกจากจิตใจที่เปี่ยมด้วยเมตตากรุณาอย่างยิ่งของท่าน มีบุคคลสองท่านเท่านั้นที่ผมนินทาให้ใครฟังแล้ว ไม่ต่อประโยค จะนิ่ง หรือไม่ก็ชวนคุยเรื่องอื่นคือ ท่านอาจารย์จำนงค์ ทองประเสริฐ หนึ่งท่านอาจารย์สุชีพอีกหนึ่ง เฉพาะท่านอาจารย์สุชีพนั้น ท่านระมัดระวังเรื่องทรรศนะที่แสดงออกมาไม่ต้องการให้กระทบกระเทือนใคร จนบางครั้งคนหาว่าท่าน "แหย" แต่ท่านยืนในหลักการของพระพุทธเจ้าชัดแจ้ง เมื่อถึงคราวแสดงออกท่านแสดงออกด้วยความกล้าหาญยิ่ง เมื่อเกิดวิวาทะว่า พระนิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา ผมเรียนถามท่านว่า ท่านอาจารย์ว่าอย่างไร ท่านตอบว่า ถามทำไมว่าเป็นอัตตา หรืออนัตตาพระพุทธเจ้าท่านตรัสแล้วว่า อนัตตา ไม่ใช่ความเห็นของใคร เป็นพุทธวจนะของพระพุทธเจ้าแล้วท่านก็ยกบาลีแล้วแปลให้ฟังว่า คนที่มีความเห็นถูกต้อง ไม่พึงยึดถือธรรมใด ๆ ว่าเป็นอัตตา หลังจากอ้างเล่ม อ้างหน้าเสร็จแล้ว ท่านอธิบายว่า ธรรมะใด ๆ หมายถึงธรรมะทุกระดับ ทั้งสังขตธรรม และอสังขตธรรม และพระนิพพานเป็นอสังขตธรรม พระพุทธเจ้ามิให้ยึดถือว่าเป็นอัตตา บางครั้งมีการกระทบกันเรื่องนิกาย ไม่โดยตรงก็โดยอ้อม ตามประสาผู้ยึดติด มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าท่านอาจารย์สุชีพ "นิ่ง" มากในเรื่องนี้จนวันหนึ่งในที่ประชุม เราคุยนอกเรื่องกันด้วยเรื่องอะไรจำไม่ได้ ท่านอาจารย์กล่าวขึ้นว่า "พ่อผมบวชมหานิกาย ผมบวชธรรมยุต ผมจะไปว่ามหานิกาย ยกย่องธรรมยุตก็ไม่ได้ เท่ากับลบหลู่พ่อผม จะตำหนิธรรมยุต ยกย่องมหานิกายก็ไม่ได้เท่ากับดูหมิ่นตัวเอง เหนืออื่นใด ทั้งธรรมยุตและมหานิกาย ก็คือลูกของพระพุทธเจ้า เราควรจะดูหมิ่นพระศาสดาของเราหรือ จึงไม่แปลกใจว่าทำไม ท่านอาจารย์สุชีพมีน้ำใจประเสริฐ มีความเป็นกลาง มีความยุติธรรมเหลือเกิน คนอย่างนี้มิใช่หรือที่เราสมควรยกย่องให้เป็นแบบอย่าง แบบอย่างผู้รู้ที่อ่อนน้อมถ่อมตน แบบอย่างผู้ไม่ยึดติดในเปลือกกระพี้ หากมุ่งชี้แก่นสารที่พึงนำไปปฏิบัติ ต่างจากบางคนตั้งหน้าแบกแต่เปลือกกระพี้ แถมยังเน่าเสียด้วย ตัดทอนจากบทความเรื่อง "สุชีพ ปุญญานุภาพ : อะไหล่ที่หาไม่ได้" ที่มา:http://www.dharma-gateway.com/ubasok/ubasok_hist/misc-103.htm
คุณลักษณะพิเศษ ของอาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ ปาฐกถาของศาสตราจารย์เกียรติคุณ แสง จันทร์งาม ในการบำเพ็ญกุศลศพอาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพวันพฤหัสบดีที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๔๓ณ ศาลากวีนิรมิต วัดเทพศิรินทราวาส นิตยสารธรรมจักษุ ปีที่ ๘๕ ฉบับที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๓
ในด้านตำรับตำราและหนังสือชุดทั่วไปนั้น กระผมคิดว่าท่านอาจารย์ได้เขียนไว้มากมาย ไม่น้อยกว่าท่านผู้อื่นและตำรับตำราของอาจารย์นั้นอยู่ในขั้นมาตรฐาน เชื่อถือได้ในทางวิชาการ มีหลักการอ้างอิงอย่างถูกต้อง หนังสือที่กระผมยกย่องที่สุด กระผมคิดว่า เป็นหนังสือ
ท่านมาอย่างไร ท่านไปอย่างนั้น ปาฐกถาของศาสตราจารย์พิเศษ เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต ปรารภถึง อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ ในงานสวดอภิธรรมศพ อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพณ ศาลากวีนิรมิต วัดเทพศิรินทราวาส สมัยผมเป็นสามเณรมาอยู่ที่วัดทองนพคุณ ธนบุรี สมัยนั้นได้ยินพระเณรกล่าวขานกันถึงภิกษุหนุ่มเปรียญ ๙ ประโยค นามว่า สุชีโวภิกขุควบคู่กับชื่อ เสถียร โพธินันทะ คนหลังนี้ทราบว่าอายุยังน้อยอยู่ เป็นผู้เชี่ยวชาญในพระพุทธศาสนา และว่ากันว่าเป็นศิษย์ของสุชีโวภิกขุ ด้วยผมมาอยู่วัดทองนพคุณเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๘ ทราบว่าท่านลาสิกขาก่อนหน้านั้นไม่กี่ปี วัดที่ท่านสุชีโวภิกขุ บวชอยู่ชื่อ วัดกันมาตุยาราม เป็นวัดเล็ก ๆ อยู่ในย่านการค้าขายของคนจีน ที่พลุกพล่านมาก อาจารย์ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเล่าว่า ท่านแหวกตลาดเข้าไปวัดอย่างทุลักทุเล เพื่อไปฟังพระหนุ่มรูปนี้เทศน์ ความรับรู้ของผมเกี่ยวกับบุคคลทั้งสองนี้ ผ่านคนอื่นเล่า มีหลายเรื่องที่ประทับใจ ขอนำมาเล่าให้ฟัง ขอเริ่มด้วยเรื่องลูกศิษย์ แล้วเลยไปยังเรื่องของอาจารย์ภายหลัง ดังนี้ครับ ๑. เรื่องแรกคือความเป็นคนมีความจำเลิศของผู้เป็นศิษย์ คือเสถียร โพธินันทะ ท่านอ่านพระไตรปิฎกภาษาไทยแล้ว อยากทราบว่าตรงนั้น ๆ ต้นฉบับภาษาบาลีว่าอย่างไร ก็ไปถามท่านสุชีโวผู้เป็นอาจารย์ ท่านก็เปิดพระไตรปิฎกให้ดู และบอกวิธีค้นด้วย ต้องดูข้อให้ตรงกัน ส่วนหนึ่งนั้นฉบับภาษาไทย กับบาลี อาจคลาดเคลื่อนได้ เสถียร โพธินันทะ ไปเปิดตามอาจารย์บอก อ่านกลับไปกลับมาสองสามเที่ยว ก็จำได้หมด เวลาไปพูดที่ไหนก็อ้างภาษาบาลีเป็นหน้า ๆ เป็นที่อัศจรรย์ สมัยต่อมา เสถียร โพธินันทะ ได้เป็นอาจารย์สอนพระนิสิตของมหามกุฏราชวิทยาลัย ท่านพาพระพม่า พระลังกา เที่ยวชมวัดต่าง ๆ บางโอกาส ท่านพูดภาษาบาลีกับพระเหล่านั้นคล่องแคล่ว จนพระนิสิตถามว่า อาจารย์มิได้เรียนบาลี แต่ทำไมพูดบาลีได้ อาจารย์เสถียร ตอบว่า