อาการรอบเดินเบาไม่นิ่ง ดีเซล

อีกตัวการที่ทำให้เครื่องสั่นรอบตกก็คือเซนเซอร์ของลิ้นปีกผีเสื้อ ซึ่งทำหน้าที่วัดปริมาณของอากาศที่ผ่านเข้าไปในท่อร่วมไอดี หรือเซนเซอร์วัดมุมของลิ้นปีกผีเสื้อสกปรกก็สามารถทำความสะอาดได้ด้วยสเปรย์ทำความสะอาดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โดยถอดขั้วสายไฟออกแล้วฉีดน้ำยาสำความสะอาดลงไปที่ขั้วของเซนเซอร์ เช็ดให้แห้งแล้วลองติดเครื่องยนต์ดูอีกทีว่ายังสั่นอยู่หรือเปล่า?

อาการรอบเดินเบาไม่นิ่ง ดีเซล

อาการรอบเดินเบาไม่นิ่ง ดีเซล

อาการรอบเดินเบาไม่นิ่ง ดีเซล

ตัวแสบอีกหนึ่งที่ชอบทำให้รอบเดินเบาไม่นิ่ง ไล่แก้กันเป็นลิงแก้แหก็หาไม่ค่อยจะเจอ นั่นก็คือปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำงานบกพร่องเริ่มมีอาการเสื่อมสภาพจากอายุการใช้งานที่ยาวนาน กรองน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้มานานไม่เคยเปลี่ยนจนเกิดการอุดตัน อาการจะมีแถมด้วยการเร่งไม่ขึ้นหรือสตาร์ตติดยาก ไดสตาร์ตหมุนจนไฟแทบจะหมดแบตฯ เครื่องถึงจะติด พอติดขึ้นมาก็สั่นงักๆ จะดับมิดับแหล่ ปั๊มเชื้อเพลิงมือสองก็พอจะหาได้ไม่ยาก หากคุณไม่ได้ขับรถแปลกๆ ส่วนกรองน้ำมันเชื้อเพลิง หากวิ่งมาเป็นแสนแล้วไม่เคยเปลี่ยน ก็ควรจะหาของใหม่ที่สดใสกว่า ไม่ตันเหมือนอันที่ติดรถ กรองเชื้อเพลิงมีราคาไม่แพงพอรับได้ ส่วนปั๊มเชื้อเพลิงหากเป็นรถรุ่นใหม่ที่ดันวิ่งจนครบ 5 ปี หมดระยะประกันอายุการใช้งาน ก็มีหวังกระเป๋าบานอยู่เหมือนกัน

อาการรอบเดินเบาไม่นิ่ง ดีเซล

อาการรอบเดินเบาไม่นิ่ง ดีเซล

อาการรอบเดินเบาไม่นิ่ง ดีเซล

ส่วนหัวเทียน สายหัวเทียนและคอยล์จุดระเบิด จะเป็นพวกสุดท้ายที่คุณจะต้องไล่ตรวจสอบ หากมาจากปัญหาของระบบจุดระเบิด ไม่ว่าจะเป็นหัวเทียนเก่าเสื่อมสภาพ สายหัวเทียนขาดใน คอยล์จุดระเบิดทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพหรือเสีย อาการจะมีสะดุดเมื่อวิ่งอยู่ดีๆ ก็สะดุดสำลักคล้ายคนสูงอายุ คอยล์ หัวเทียน สายหัวเทียน เมื่อเสื่อมสภาพก็จะทำให้เกิดอาการเหล่านี้ได้เหมือนกัน ไล่แก้ก็แล้วยังไม่หาย ทีนี้คงต้องมุ่งไปที่หัวฉีดแล้วล่ะครับ ขอให้โชคดีรถไม่เป็นอะไรมากนะครับ.

เพจดังแนะการรถไฟฯ เร่งประชาสัมพันธ์ ย้าย 52 ขบวนไปสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์

เฟซบุ๊กเพจ "โครงสร้างพื้นฐาน ประเทศไทย" แนะการรถไฟฯ เผยแพร่ และประชาสัมพันธ์การย้ายขบวนรถไฟ 52 ขบวนจากสถานีกรุงเทพ (หัวลำโพง) ไปยังสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ (สถานีกลางบางซื่อเดิม) ระบุบางขบวนไม่จอดสถานี กม.11, บางเขน และหลักสี่แล้ว แก้ปัญหาความเข้าใจผิด และตกรถไฟของประชาชน

วันนี้ (10 ธ.ค.) จากกรณีที่การประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ครั้งที่ 13/2565 เมื่อวันที่ 24 พ.ย. 2565 ได้รับทราบแผนการเตรียมความพร้อมการปรับเปลี่ยนขบวนรถไฟทางไกล และขบวนรถไฟชานเมือง ณ สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ เพื่อพัฒนาสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์เป็นสถานีหลักและลดปัญหาการจราจรติดขัดทางรถไฟในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดย รฟท.มีกำหนดเริ่มให้บริการรถไฟทางไกล ณ สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ตั้งแต่วันที่ 19 ม.ค. 2566 เป็นต้นไป โดยในวันดังกล่าวจะมีการเปิดเดินขบวนรถไฟเที่ยวปฐมฤกษ์ในเวลา 13.19 น. ด้วยขบวนรถดีเซลรางปรับอากาศ KIHA เดินรถจากสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์-สถานีอยุธยา ซึ่งขณะนี้ รฟท.ได้เตรียมความพร้อมในการปรับเปลี่ยนขบวนรถไฟทางไกลไปให้บริการที่สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ในทุกๆ ด้าน ซึ่งจะมีการประกาศแจ้งประชาสัมพันธ์ข้อมูลรายละเอียดต่างๆ ล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน หรือภายในวันที่ 19 ธ.ค. 2565 นี้ เพื่อให้ประชาชนรับทราบอย่างเป็นทางการ

อ่านประกอบ : ถึงเวลา! รถไฟทางไกลบ๊ายบาย "หัวลำโพง" ดีเดย์ 19 ม.ค. 2566 เปิดหวูด 52 ขบวน ณ "สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์"

เฟซบุ๊กเพจ "โครงสร้างพื้นฐาน ประเทศไทย Thailand Infrastructure" โพสต์ข้อความระบุว่า ยืนยันแล้ว เปิดให้บริการสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ (สถานีกลางบางซื่อ) วันนี้เอาข่าวล่ามาแรงจากการรถไฟฯ ซึ่งคณะกรรมการเตรียมความพร้อมสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ (สถานีกลางบางซื่อ) ได้มีมติให้เปิดให้บริการขบวนรถไฟทางไกลจากสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ตั้งแต่วันที่ 19 ม.ค. 2566 เป็นต้นไป โดยจะมีการจัดเดินรถไฟขบวนปฐมฤกษ์ จากสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์-สถานีอยุธยา ด้วยขบวนรถไฟดีเซลราง KIHA

โดยรถไฟทางไกลที่จะเริ่มให้บริการในวันที่ 19 ม.ค. 2566 จะมีทั้งหมด 52 ขบวนทั้ง 3 เส้นทาง ได้แก่ สายเหนือมี 18 ขบวน รถไฟทางไกลสายใต้มี 24 ขบวน และรถไฟทางไกลสายอีสานมี 24 ขบวน ซึ่งสิ่งที่การรถไฟต้องเร่งประชาสัมพันธ์มากๆ คือ รถไฟทั้ง 52 ขบวนจะไม่จอดที่ กม.11, บางเขน และหลักสี่แล้ว เพราะรถไฟจะวิ่งบนทางรถไฟยกระดับของสายสีแดง ออกจากสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ สายเหนือจะจอดแค่ดอนเมือง (ใหม่) ร่วมกับสายสีแดง และรังสิตเท่านั้น สายใต้จะจอดบางบำหรุ และตลิ่งชัน (หรืออาจจะไม่จอดตลิ่งชัน เพราะไม่มีชานชาลารถไฟทางไกลในโครงการสายสีแดง) ตรงนี้ต้องเร่งทำความเข้าใจกับประชาชนในวงกว้าง แก้ปัญหาความเข้าใจผิด และตกรถไฟของประชาชนได้

"ตอนนี้มีเวลาเตรียมตัวอีกประมาณ 1 เดือนก่อนจะเปิดให้บริการ ผมว่าเพียงพอให้เผยแพร่ และประชาสัมพันธ์แก่ประชาชนในวงกว้าง แต่ต้องทำให้จริงจัง และชัดเจน พร้อมกับเตรียมความพร้อมในทุกส่วนเพื่อให้ลดข้อผิดพลาดให้มากที่สุดครับ" เฟซบุ๊ก "โครงสร้างพื้นฐาน ประเทศไทย Thailand Infrastructure" ระบุ

ที่มา : NEWS1

 

ทำไม เวลาฝนตก ชักโครกกดไม่ลง

ทำไม หลังจากทำถนนหน้าบ้านแล้ว ชักโครกกดไม่ลง

แล้วพอสูบออก ก็กดได้ สักพัก ก็กลับมากดไม่ลงอีก

มาเหลากัน

-

เมื่อกดชักโครก เรากำลังเอา น้ำ อุนจิซัง และ อากาศ ดันลงไปในท่อพร้อมๆกัน และส่งพวกเขาเหล่านี้ ไปถึงจุดหมายปลายทาง นั่นคือ ถังบำบัด ( หรือจะบ่อเกรอะ บ่อซึมก็ว่าไป )

ถังบำบัด จะมีพื้นที่จำกัดในการเก็บทั้ง อากาศ น้ำ และ กาก และสิ่งที่ต้องเก็บนานสุด คือ กาก

เพราะ หน้าที่ของถังบำบัดคือ การดึงกากไว้ให้จุลินทรีย์ย่อยสลาย

ส่วนน้ำ และ อากาศ พวกนี้จะระบายได้ง่าย
ก็จะจัดการทำให้ทั้งน้ำและอากาศ แยกตัวออกจากกาก แล้วระบายออกทันที

-

ปัญหาคือ ถ้าน้ำ หรือ อากาศมันระบายออกไปไม่ได้
หรือที่เราเรียกกันว่า ส้วมตัน
ถังบำบัดก็จะเต็ม หรือ ที่เราเรียกกันว่า ส้วมเต็ม

นั่นคือ ถังไม่มีที่ให้ น้ำ อากาศ และ กาก วิ่งลงไปแล้ว เวลาที่เรากดชักโครก หรีอราดน้ำ รวมมิตร 3 สหาย ก็จะลอยโอ่งโต่ง เอ่อซึมเช่นเดียวกับน้ำตาของเรา

-

เมื่อเข้าใจระบบการทำงาน และ สาเหตุของส้วมตัน ส้วมเต็มแล้ว ก็มาอธิบายถึงปัญหาที่ถามมาคือ

ทำถนน หรือ ฝนตก ทำไมทำให้กดชักโครกไม่ลง

สาเหตุหลักๆคือ การทำถนน หรือ ฝนตก
มันไปทำให้เกิดการเต็มชั่วคราวขึ้น
เนื่องจาก น้ำที่ต้องออกจากถังบำบัด ไม่สามารถไหลออกไปได้ หรือ แย่กว่านั้นคือ น้ำที่ควรไหลออกไปทิ้ง ดันถูกดันย้อนกลับมา และ พามวลน้ำใหม่ ไหลเข้ามาตีกรุงศรีไปพร้อมกัน

-

การทำถนนใหม่ ถ้าเป็นการทำโดยยกระดับถนนขึ้น คือเมื่อทำแล้ว บ้านเราต่ำลงกว่าถนน แบบนี้มักทำให้เกิดปัญหา

เพราะเมื่อถนนสูงขึ้น ระดับท่อระบายน้ำสาธารณะ ก็จะสูงขึ้นตาม ระดับน้ำในท่อก็สูงขึ้นไปด้วย

ไอ้น้ำที่สูงขึ้นนี่เอง มันจะไปอุดปลายท่อระบายน้ำของเราไว้ ทำให้เกิดอาการตันชั่วคราว จนกว่าน้ำจุดนี้ จะลดลงต่ำกว่าท่อระบายน้ำทิ้งของเรา

เมื่อมันตันชั่วคราว สมมุติว่า ระดับน้ำมันขังอยู่ 3 วัน กว่าจะลดระดับลง
ใน 3 วันนั้น เราก็กดชักโครกกันปกติ ทั้งน้ำ อากาศ และ กาก ก็วิ่งลงไปในถังบำบัด แต่ น้ำกับ กาก ไม่มีทางออก
2 วัน พื้นที่ว่างที่มีก็จะไม่เหลือ เพราะมันไม่สามารถระบายออกได้เลย
ส้วมก็จะเหมือนเต็ม เมื่อ เรียกรถมาสูบส้วมออก ก็จะใช้ได้เหมือนเดิม เพราะ การสูบออก ก็เป็นการเพิ่มพื้นที่สำหรับ น้ำ และ กาก

แต่ ถ้าการระบายออกยังอุดตันอยู่
ไม่นาน น้ำกับ กาก ก็จะเข้าไปสะสมจนเต็ม ถ้าถังเล็กก็เต็มไว ถังใหญ่ก็ช้าหน่อย มันก็เกิดอาการเหมือนส้วมเต็ม ต้องเรียกมาสูบอีก วนไปไม่รู้จบ

เพราะการสูบเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ
แต่ ถ้าเราอยากให้หาย เราต้องไปแก้ที่ต้นเหตุ
นั่นคือ ไปเชคปลายทางออกของน้ำ ว่ามันมีอะไรไปอุดตันมั้ย หรือ ท่อเรามีระดับที่ต่ำกว่าระดับน้ำขังในท่อระบายน้ำหรือเปล่า

ถ้ามีก็ต้องทำการแก้ระดับให้เรียบร้อย ไม่งั้น ปัญหาก็จะไม่มีทางหมดไป

-

แล้วฝนตก ทำไมกดชักโครกไม่ลง ?

อันนี้ก็เหมือนกันกับการทำถนนแหละ
เพราะ บางทีเมื่อสภาพแวดล้อมรอบด้านเปลี่ยนไป แม้หน้าบ้านเราจะไม่ได้มีการยกถนนขึ้น แต่ ซอยอื่นอาจจะมี มันก็ทำให้การระบายน้ำในท่อสาธารณะเปลี่ยนไป ซึ่ง อาจจะทำให้ระดับน้ำค้างท่อสาธารณะ สูงขึ้น

ไอ้การสูงขึ้นนี้ ถ้ามันสูงมาท่วมท่อระบายเรา มันก็จะทำให้เกิดอาการเหมือนตันเช่นกัน
เมื่อน้ำลด เราก็กดคล่อง

ปัญหาแบบนี้จึงมักมาในหน้าฝนเป็นหลัก

-

แถมอีกนิด ในเรื่องนี้ ท่ออากาศก็มีส่วนนะ แม้จะไม่ใช้ตัวเอก แต่ก็เป็นบทพระรองแบบหนังเกาหลี
คือ พระรองที่สำคัญมากกกกก

ถ้าการระบายน้ำเราเริ่มติดขัด แต่การระบายอากาศยังดี
อาการตันจะไม่ชัดเจน และ ยังพอประคับประคองระบบไปได้ เพราะเรายังสามารถระบายอากาศออกได้ดี

แต่ ถ้าการระบายอากาศในท่ออากาศของถังบำบัดอุดตันไปด้วย อันนี้ไม่นานหรอก ถังจะเต็มอย่างรวดเร็ว และ เมื่อต้องเปิดถัง ก็อาจจะเกิดระเบิดขีวภาพขึ้นได้ด้วย

-

จะเห็นได้ว่า เรื่องการตันของห้องน้ำ เป็นเรื่องปวดหัวนะ ดังนั้น ในการสร้างบ้าน การวางระดับ และ ระบบของท่อต่างๆจึงสำคัญมาก

ถ้ายังไง ก็ควรมีผู้ออกแบบ จัดการเรื่องแบบ และให้คำแนะนำในด้านการวางระดับบ้าน ก่อนการเริ่มก่อสร้างทุกครั้งเสมอ

เพราะปัญหาเรื่องระดับ บางครั้งมันแก้ไม่ได้
นั่นหมายถึงต้องถมชั้น 1 ทิ้ง หรือ รื้อบ้านสร้างใหม่กันเลยนะ

อย่า ล้อ เล่น กับระดับ
อาการรอบเดินเบาไม่นิ่ง ดีเซล

 

เรื่องเล่าสยองขวัญของครูเหมเวชกรตอน ไปชุบตัว
"ไปชุบตัว" เป็นนิยายเรื่องผี ชุด ผู้ที่ไม่มีร่างกาย บทประพันธ์ ของ ครูเหม เวชกร
เรื่องมีอยู่ว่า... อ้ายเรือง บ้านมาบโพธิ์ อยุธยา อายุ 15 ปี มีน้าชายชื่อ เกียรติ ชื่อเก่า เกิด ทำงานเป็นนักเขียนเรื่องการเมือง อยู่สำนักพิมพ์ " เพื่อนไทย " กรุงเทพฯได้มาขอพาตัว อ้ายเรืองจากตายาย ไปฝึกทำงานกับแกที่กรุงเทพฯ อ้ายเรืองตื่นเต้นดีใจมากที่จะได้ไปใช้ชีวิตอยู่ในเมืองกรุง หนุ่มน้อยเดินทางจากอยุธยาขึ้นรถไฟมากับน้าชายในเวลาค่อนข้างเย็น เป็นรถไฟสายโคราช ผ่านมาจากบ้านพาชี มาถึงสถานี หัวลำโพง กรุงเทพฯ ก็ค่ำพอดี
เรืองตื่นเต้นกับสถานที่ใหม่ในเมืองหลวง ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน รถรางที่รูปร่างเหมือนรถไฟ แต่เล็กและสั้นกว่า
น้าเกียรติให้เรืองพักกับแกที่ตึกอันเป็นที่ทำงานของหนังสือพิมพ์เพื่อนไทย สองน้าหลานพักผ่อนหลับนอนที่ชั้นบนของตึกแห่งนี้ ยึดเอาเป็นบ้านเลย ภายในสำนักพิมพ์นี้มีคนอยู่เวลากลางคืนด้วยกัน 5 คน คือ บาบูแขกยาม ลุงพัฒน์ ป้าน้อยเมียของลุงพัฒน์ น้าเกียรติ และเรือง
น้าเกียรติส่งเรืองไปฝึกหัดเรียงพิมพ์ ซึ่งต้องใช้ทักษะหลายอย่าง ทั้งสะกดการันต์ ฝึกหัดอ่านหนังสือที่พวกข้างบนเขาเขียนให้ออกแจ่มแจ้ง เรืองเรียนอยู่ 6 เดือน ก็พอจะเรียนได้คล่อง และมีความรู้ทางข่าวสารการเมือง พอจะผ่านหูผ่านตาขึ้นมาบ้าง ด้วยอ่านทุกวัน การเรียงพิมพ์นี้เท่ากับสอบภาษาไทยทุกวัน การเรียนหนังสือของเรืองจึงดีขึ้น สะกดตัวไม่ผิด วรรคตอนดีขึ้น สำนวนการพูดดีขึ้น พอจะพูดคุยอะไรกับใครพอรู้เรื่อง
น้าเกียรติมักจะไปพูดคุยสนทนากับเพื่อนนักหนังสือพิมพ์ด้วยกัน บางทีก็ไม่กลับมานอนที่สำนักพิมพ์
คืนหนึ่งเสียงคนเดินขึ้นบันไดจากข้างล่างมาชั้นบน เรืองคิดว่าคือเสียงน้าเกียรติกลับมา เรืองนอนคอยฟังว่าน้าจะมาเรียก เสียงเดินนั้นมาหยุดที่หน้าประตู เรืองคอยอยู่ครู่หนึ่งห็ไม่มีเสียงเรียก จึงค่อย ๆ เปิดประตูแง้มดู แต่ก็ไม่พบใคร เรืองคอยอยู่ครู่ใหญ่ จนแน่ใจว่าไม่มีใครมาจึงปิดประตูเข้ามุ้งนอน
รุ่งเช้าตอนสาย น้าเกียรติกลับมา เรืองจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมือคืนให้น้าชายฟัง แต่น้าเกียรติก็บอกว่าเมื่อคืนแกไม่ได้กลับมา แกนอนอยู่บ้านเพื่อน
ตกกลางคืนเรืองต้องอยู่คนเดียวอีก เพราะน้าเกียรติมีเพื่อนมาตามไป เวลาสัก 5 ทุ่มเรืองก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนสองสามคนขึ้นบันไดมาชั้นบน แล้วเดินมาทางห้องของเรือง คราวนี้มีเสียงผู้หญิงด้วย หัวเราะกันคิกคัก หยอกล้อกันมา เมื่อเสียงฝีเท้าเดินเลยห้องเรืองไป เรืองเปิดประตูแง้มดูก็ไม่พบใครอีก
พอตอนเช้าน้าเกียรติกลับมา เรืองเล่าเหตุการณ์ประหลาดเมื่อคืนให้น้าฟัง น้าเกียรติทำหน้าฉงน พยายามสิบสาวราวเรื่องจากลุงพัฒน์ ก็ไม่ได้เรื่อง ถามบาบูแขกยามก็ตอบว่ากลางดึกเมื่อวานไม่มีใครเข้ามาเลย และรับรองแข็งขันว่าแกทำหน้าที่อย่างเข้มแข็งไม่มีใครเข้ามาได้ถ้าแกไม่อนุญาต
น้าเกียรติสงสารเรืองที่เจอกับเหตุการณ์แปลก ๆ ติดต่อกันถึงสองคืน จึงอยู่เป็นเพื่อน ตอนโพล้เพล้ เรืองเกิดปวดปัสสาวะ จึงรีบมาห้องน้ำที่เปิดไฟสว่าง มีใครคนหนึ่งเป็นผู้ชายวัยกลางคน เดินสวนออกมาจากห้องน้ำอย่างเร็ว จนเกือบชนเรือง เรืองเหลียวกลับมาดูว่าชายผู้นั้นเป็นใคร แต่ไม่เห็นแล้ว เรืองจึงหมุนตัวจะเข้าห้องส้วม ก็มีหญิงสาวผลุนผลันสวนออกมา เรืองผงะเกือโดนกันอีก เมื่อเรืองทำธุระปัศศาวะไปนึกไป ภาพที่พบกันมันคล้ายฝันเลือน ๆ ลาง ๆ
เรืองรีบรายงานให้น้าเกียรติฟัง น้าเกียรตฺิตะโกนให้ลุงพัฒน์และบาบูเฝ้าบันไดทางลง และคุมปรนะตูด้วย แล้วบอกให้เพื่อนอีกสองคนมาช่วยกันค้นตามห้อบทั่วตึก แต่ก็ไม่พบใครเลย เรืองใจคอไม่ดีเด็กหนุ่มจำได้ว่าชายกลางคนที่สวนกันหน้าห้องน้ำนั้นมีหนวดแหลมตัดเรียบริมฝีปาก และหนวดนั้นหงอกประปรายพร้อมกับเส้นผมก็เช่นกัน หญิงนั้นแม้จะเดินก้มหน้าเรืองก็เห็นหน้าแกด้านหนึ่งมีปานที่โหนกแก้ม
ในคืนนั้นน้าเกียรติอยู่เป็นเพื่อนเรือง เด็กหนุ่มบ้านมาบโพธิ์เกิดความกลัวขึ้นมา ที่เขาจะต้องนอนคนเดียวเวลาน้าเกียรติไม่อยู่ เรืองกลัดกลุ้มคิดไม่ตกถึงกับร้องไห้ออกมา น้าเกียรติจึงปลอบว่าพรู่งนี้จะย้ายเรืองไปอยู่กับลุงพัฒน์ทำให้เรืองค่อยสบายใจขึ้น
เรืองย้ายมานอนที่ห้องลุงพัฒน์และย้ายหน้าที่ขึ้นไปทำงานข้างบนมีหน้าที่คอยรับโทรศัพท์และตรวจปรู๊ฟ
น้าเกียรติโดนดีเข้าแล้วจากพิษของการเมือง จึงต้องหลบหนีเงื้อมมือของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองไป เรืองกลุ้มใจมากเพราะ "ผมจากบ้านนอกมาอยู่ในความคุ้มครองของน้าเกียรติ แต่เดี๋ยวนี้น้าเกียรติต้องหนีหาย ผมจะอยู่กับใครงานที่ทำนั่นใช่จะเป็นหลักประกันเลี้ยงตัวได้เลย..."
ตำรวจมาตามจับน้าเกียรติถึงโรงพิมพ์ แต่ไม่พบ เรืองคิดจะกลับไปบ้านนอก คืนหนึ่งน้าเกียรติก็ลอบมาส่งข่าวให้ลุงพัฒน์และป้าน้อย เรืองก็อยู่ด้วย ดดยบอกอยู่นอกประตู "ผมห่วงเจ้าเรือง มาบอกขอฝากไว้ด้วย ตัวผมจะขอหลบซ่อนตัวไปก่อน" "ไม่เข้ามาก่อนหรือครับ" ลุงพัฒน์ถาม "ไม่เข้าละครับ ผมมาฝากเจ้าเรืองเท่านั้น ผมลาก่อน ลาละนะเรืองเว้ย "
น้าเกียรติหายหน้าไป และไม่มีข่าวคราวเกือบสองเดือน เรืองยังคงทำงานไป ด้วยความเมตตาของท่านบรรณาธิการ
เย็น โพล้เพล้ เวลา เรืองเห็นผู้หญิงสาวคนหนึ่งกำลังเด็ดดอกไม้ในสวนแล้วเดินขึ้นตึกที่ทำการ เรื่องรู้ได้ทันทีว่ากำลังโดนพวกนั้นมาหลอกล้ออีกแล้ว เมื่อเล่าเรื่องที่พบให้ลุงพัฒน์ ป้าน้อยฟัง ทั้งสองผัวเมืยแสดงอาการกลัวออกมา รีบพาเรืองเข้าห้องปิดประตู "นี่แหละเขาว่าผีซ้ำด้ำพลอย เขายุ่งกันชุลมุน ก็มาซ้ำมาพลอยให้ยุ่งเข้าอีก" ลุงพัฒน์พึมพำคล้ายบ่น
เรืองสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงอะไรแว่ว ๆ อยู่ เป็นเสียงเคาะข้างฝาด้านที่เขานอน ทั้งลุงพัฒน์ป้าน้อยและเรืองนิ่งเงียบ เสียงนั้นจึงเคาะรัวถี่เข้าพร้อมกับมีเสียงผู้หญิง "ลุงพัฒน์ นายเรือง" เสียงนั้นเรียกแผ่วเบา แต่ดังชัดเจน "ฉันจะบอกอะไรให้ ฉันจะบอกให้เท่านั้น จงรู้ไว้ว่านายเกียรติตายแล้ว" "โกหก ๆๆ" เรืองตะโกนออกไปด้วยความโมโห "ตายแล้ว ถูกคนในรถเก๋งยิงตายเมื่อ 6 โมงเย็นนี้ ฉันมาบอกให้เท่านั้น"
ในตอนสายวันนั้นเอง เรืองถึงกับร้องไห้โฮออกมา เมื่อหนังสือพิมพ์เช้าทุก ๆ ฉบับได้ประโคมข่าว "น้าเกียรติถูกยิงตาย"
บรรณาธิการให้เรื่องบรีบกลับไปบอกญาติที่บ้านมาบโพธิ์ มาจัดการศพน้าเรืองที่กรุงเทพฯ ฝ่ายญาติจะขอรับศพน้าเกียรติไปเผาที่อยุธยา
บรรณาธิการเรียกเรืองไปพบถามว่า ยังอยากทำงานอยู่หรือไม่ ถ้าอยากทำท่านก็จะรับให้ทำตามเดิม โดยความยินดี เรืองก้มลงกราบเท้าท่าน โดยขอบพระคุณอย่างสูงสุด แต่เขาขอไปอยู่บ้านนอกสักพัก พอให้จิตใจเข้มแข็งและมีอายุมากขึ้นกว่าเก่าสักหน่อย จะมากราบเท้าขอรับใช้ท่านอย่างคนใช้ และททำงานตามที่ท่านเมตตา
"ท่านบรรณาธิการมองผมอย่างสงสาร ผมกรายเท้าลาท่านกลับไปลาลุงพัฒน์ ป้าน้อย ผู้มีพระคุณแก่ผมทั้งเวลาธรรมดา และยามยาก ป้าน้อยตาแดง ๆ ผมเที่ยวลาหมดทุก ๆคน ที่เคยร่วมงานกัน ตลอดบาบูแขกยาม ผมก็บอกลา เพราะเคยผ่านเข้าผ่านออก และคุยกันบ้างบางเวลา นึกถึงตัวเองแล้วก็ร้องไห้ วาสนาของผมได้มาชุบตัวที่กรุงเทพฯ มีแค่นี้เอง ลาก่อนกรุงเทพมหานคร"
Cr.สามารถ จันทร์แจ่ม

_____________________________
#เพจภาพและเรื่องราวต่างๆที่น่าสนใจ

 

ยิปมัน อาจารย์ บรู๊ซ ลี
"เวลาฝึกฝนหนึ่งสัปดาห์หรือหนึ่งเดือนของคนปกตินั้นไม่ดีเท่ากับเวลาฝึกฝนหนึ่งวันของเสี่ยวหลง (บรู๊ซ ลี) “
ยิปมันกล่าวกับยิปชุน ลูกชายของเขา ถึงลูกศิษย์วัย ๑๓ ปี ที่เขาเพิ่งรับมา
บรู๊ซ ลี ชอบการต่อสู้มาตั้งแต่เด็ก เมื่อเขาอายุ ๑๓ ปี ในการวิวาทครึ่งหนึ่งเขาพ่ายแพ้ เป็นครั้งแรกและเขารู้สึกผิดหวังมาก มัน บังเอิญมากที่เพื่อนของเขา จางเส้าเฉวียน กำลังเรียนหย่งชุน บรู๊ซ ลี เห็นว่า ฝีมือการต่อสู้ของจางเส้าเฉวียน เพื่อนของเขาพํมนาขึ้นเร็วมาก เขาจึงสอบถามถึงสำนักที่สหายของเขาร่ำเรียน ปรากฏว่าสหายแซ่จางเรียนมวยหย่งชุนกับอาจารย์ยิปมัน บรู๊ซ ลีจึงกราบอาจารย์ยิปมันและของปวารณาตนเป็นศิษย์
เพื่อฝึกหย่งชุนให้ดีบรูซลีไปที่โรงฝึกทุกวันหลังเลิกเรียน ไม่ว่าฝนจะตกหรือแดดออก เขาใช้เวลาวันละ ๕ ถึง ๖ ชั่วโมงเพื่อฝึกฝน นักเรียนในรุ่นเดียวกันนั้นไม่มีใครเทียบความเข้มข้นในการเรียนรู้และฝึกฝนของบรูซ ลีได้ จนอาจารย์ยิปมันต้องเอ่ยปากชมเชยกับ ยิปชุน ลูกชายของเขาถึงการเข้มข้นในการฝึกฝนของหลี่เสี่ยวหลง (บรู๊ซ ลี) ในวัย ๑๓ ปี ในแสดงให้เห็นถึงความหลงใหลที่บรู๊ซ ลี มีต่อมวยหย่งชุน
บรู๊ซ ลี ในวัยเยาว์เขาเป็นคนที่มีความหยิ่งยโส ก่อนหน้าจะฝึกมวยหย่งชุน เขาเองเคยเรียนมวยมาแล้วหลายสำนัก แต่อาจารย์ทั่วไปล้วนสอนด้วยเทคนิคด้วยความเข้มงวดแต่ปราศจากซึ่งการพลิกแพลง สำหรับการต่อสู้จริง วิชาพวกนี้แทบจะไม่สามารถใช้ออกได้ แต่สำหรับอาจารย์ยิปมันกลับแตกต่าง ในตอนนั้นอาจารย์ยิปมันสูงวัยแล้วจึงไม่ได้สอนด้วยตนเองแต่จะให้ลูกศิษย์รุ่นแรกๆเป็นคนสอน โดยอาจารย์ยิปมันจะคอยดู และชี้แนะในจุดต่างๆ
ใสตอนนั้นวิชาการต่อสู้ของบรู๊ซ ลีม ความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก แต่เขาใช้วิชากังฟูทั้งหมดที่เขาเรียนรู้มาต่อสู้ทะเลาะวิวาทข้างถนน ในที่สุดพ่อของเขาก็ต้องตัดสินใจส่งเขาไปอเมริกา ในปี ๑๙๕๙ ก่อน บรู๊ซ ลี จะเรียนหย่งชุน สำเร็จ
ภายหลัง บรู๊ซ ลี บัญญัติ วิชา เจี๋ยฉวนเต้า (Jeet Kune Do) ซึ่งเป็นศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสาน บรรดาลูกศิษย์ของอาจารย์ ยิปมันต่างมองว่า วิชานี้มีรากฐานมาจาก หย่งชุน ที่บรู๊ซ ร่ำเรียนมาจากอาจารย์ยิปมัน ความไม่พึงพอใจจึงเกิดขึ้น
แต่ทุกครั้งในการสัมภาษณ์ บรู๊ซ ลี ยอมรับเสมอว่า เขาคือลูกศิษย์ของอาจารย์ ยิปมัน ส่วนอาจารย์ ยิปมันเองก็ไม่เคยปฏิเสธ
ยิปชุน ได้เคยในหนังสือ "Ip Man Wing Chun" ว่าในปี ๑๙๗๐ นั้นบรู๊ซ ลี กลับมากราบอาจารย์ยิปมัน และเชิญอาจารย์ยิปมันไปที่บ้าน บรู๊ซ ลี ขอให้อาจารย์ยิปมันช่วยแสดงมวยหย่งชุนกับหุ่นไม้และเขาขอบันทึกภาพฟิล์มเอาไว้เพื่อนำไปศึกษาเองต่อที่อเมริกา โดยขอแลกเปลี่ยนด้วยเงินจำนวนหนึ่ง แต่อาจารย์ยิปมันก็ปฏิเสธไป
ยิปเซ้ง ลูกชายอาจารย์ยิปมันได้ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า อาจารย์ยิปมัน ไม่ได้ไม่อยากถ่ายทอดท่ามวยหย่งชุนให้บรู๊ซ ลี แต่อาจารย์ยิปมันไม่อยากให้คนอื่นครหาว่าเอาวิชามาซื้อขาย
ยิปมันเสียชีวิตเมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๑๙๗๒ ด้วยโรคมะเร็งในลำคอเมื่ออายุได้ ๗๙ ปี บรู๊ซ ลี มารู้ข่าวการเสียชีวิตของอาจารย์ยิปมัน ในอีก ๓ วันให้หลัง เพราะบรรดาลูกศิษย์ส่วนใหญ่มองว่าการที่ บรู๊ซ ลี ไปบัญญัติ วิชา เจี๋ยฉวนเต้า (Jeet Kune Do) นับว่าเป็นการทรยศต่อสำนักอาจารย์ บรู๊ซ ลี จึงได้เพียงไปกราบที่เก็บอัฐิอาจารย์ยิปมันในภายหลัง
แต่เพียงอีก ๘ เดือนให้หลัง บรู๊ซ ลี ก็เสียชีวิตอย่างกะทันหัน
เรื่องราวของ บรู๊ซ ลี และ ยิปมัน นั้น ถูกดัดแปลงและกล่าวถึงในภาพยนตร์ และ ซีรี่ส์หลายเรื่อง ที่ ประสบความสำเร็จที่สุดคือ ภาพยนตร์เรื่อง Ip man 4 (๒๐๑๙)
เกร็ดเสริม สิ่งที่บรู๊ซ ลี กลัวที่สุด คือ แมลงสาบ
หลี่ เจิ้นฮุ่ย น้องชายของบรู๊ซ ลี เปิดเผยในการสัมภาษณ์พิเศษกับ "West China Metropolis Daily" ว่าจุดอ่อนของบรู๊ซ ลี ก็คือ เขากลัวแมลงสาบมากที่สุด
“เมื่อเราอยู่ที่บ้านในคืนหนึ่งทุกคนผล็อยหลับไป มีเสียงกรีดร้อง "อา!" จากห้องของเขา เราวิ่งไปหาก็พบว่า เขากระโดดขึ้นบนโต๊ะ และมีแมลงสาบ อยู่ที่พื้น นี่คือความกลัวของเขา และเขามีปฏิกิริยาแบบนี้ทุกครั้งที่เห็นแมลงสาบ จากนั้นเขาก็ ร้อยศพแมลงสาบเป็นกำไลข้อมือ และสวมมันเพื่อเอาชนะความกลัว”
เครดิตเพจ เก้ากระบี่เดียวดาย ครับ

 

Howestreet
Die Suddenly, Everything is Breaking and Sheep

Jim Willie Dec 1, 2022

***โปรดใช้วิจารณญาณครับ***

4:55......

เรื่องการ breakdown ..มันก็มีอยู่หลายเรื่อง ผมเฝ้าดูเรื่องที่รัฐบาลสหรัฐมีการชักดาบหนี้ (debt default) แบบเงียบ ๆ ไปแล้ว ...นี่เป็นเรื่องใหญ่ ถ้าสหรัฐจะชักดาบหนี้ จึงต้องเป็นเรื่องที่ให้มีใครรู้ไม่ได้ เรียกว่าเป็นการ default ที่ไม่มีการประกาศ เพราะเงินดอลลาร์ของสหรัฐเป็นเงินรีเสิร์ฟของโลก จะโฉ่งฉ่างไม่ได้ มันจะเป็นเรื่องใหญ่มากถ้ารู้กันทั่วไป

สหรัฐมีรัฐบาลที่ไม่สามารถควบคุมหนี้ของตนได้ หนี้จากพันธบัตรสหรัฐน่ะ มัน default มาตั้งแต่เดือนธันวาคมปีที่แล้ว และตั๋วเงิน Treasury Bills ก็ถูกปฏิเสธไม่เป็นที่ยอมรับชำระค่าสินค้าของทั้งโลกไปแล้วด้วย ทำให้การชำระค่าสินค้าอิมปอร์ตมีปัญหามากมาย

การหันเหความสนใจเรื่องนี้ก็โดยการสร้างสงครามยูเครนซึ่งทำได้ไม่ยาก

bond default ที่เกิดขึ้นเมื่อธันวาคมที่แล้วเป็นเรื่องที่รู้กันภายในเฉพาะลูกหนี้ใหญ่ที่ถือพันธบัตร ให้มา redeem ...เราจึงเห็นการดั๊มพ์พันธบัตรจำนวนมากของญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ซาอุดิฯ และอีกหลายประเทศอย่างไม่กระโตกกระตาก

แล้วปัญหาใหญ่คือ จะเอาเงินมาจากไหน? คำตอบคือ..ก็แท่นพิมพ์ไง ...สหรัฐกำลังเข้าสู่ Weimar mode ...ดอลลาร์กำลังอยู่ในช่วง sunset

ตอนนี้ พวกวอลล์สตรีทผู้ออกแบบดอลลาร์มาแต่ต้นกำลังดิ้นอย่างจนตรอก มีการเตรียมออกแบบ chapter ต่อไป นั่นก็คือเงินดิจิตอลหรือ Fed Coin ...มีการประกาศทดลองใช้โดยธนาคาร 12 แห่ง ....แต่ผมเชื่อว่า Fed Coin จะไม่มีใครยอมรับโดยเฉพาะโลกตะวันออก ผมกลับเชื่อในกลุ่มของ BRICS มากกว่า ตอนนี้ก็น่าจะมีสมาชิกเพิ่มเป็น 12 ประเทศไปแล้ว ซึ่งน่าจะถึงระดับ critical mass ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแน่แล้ว ....กลุ่มนี้มีประชากรรวมกัน 80% และ GDP ประมาณ 65% ของโลก

ในยุโรป เราจะเห็นพวกดาวอสก็เริ่มจะเสื่อมสลาย เยอรมันจะเริ่มทำงานด้านแก้สธรรมชาติร่วมกับ Gazprom ของรัสเซีย เรื่องพวกนี้จะไม่ปรากฎในสื่อทั่วไป เพราะแลงลีย์ (ซีไอเอ) ที่ควบคุมสื่ออยู่ไม่ต้องการ และตอนนี้อย่างน้อย agenda ทั้งหลายจากดาวอส หรือ World Economic Forum ก็ไม่สามารถใช้กับเยอรมันได้อีกต่อไปตั้งแต่นี้ ....ผมก็อยากรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับคนยี่สิบกว่าคนที่พยายามจะบริหารเศรษฐกิจโลกที่นำโดยตะวันตก รวมทั้งโรคระบาดและวัคซีนที่ทำเอาไว้ จะเดินต่อยังไง

15:00....

เรื่องที่ผมมองว่าน่าสนุกตอนนี้ คือเรื่องที่กำลังอยู่ในศาลฎีกา คดีที่ Docket 22-380 ที่กำลังดำเนินไปเร็วมาก ถูกยกเรื่องกล่าวโทษโดยพี่น้อง Brunson แห่งรัฐยูทาห์ ที่เป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษ plaintiff ...และมีรัฐบาลไบเดนเป็นจำเลย (defendant) .....นี่เป็นเรื่องใหญ่มาก เป็นเรื่องการให้สัตยาบันกับรัฐบาลไบเดนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายมาตั้งแต่ตอนเลือกตั้ง มีสมาชิกสภาร้อยกว่าคนที่ถูกคัดค้านในตอนนั้น ซึ่งเป็นเรื่องการทุจริตเลือกตั้งที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ แต่พวกเขาไม่ได้มีการพิจารณาคำคัดค้านนั้นเลย

เรื่องที่สำคัญคือตอนนี้ศาลสูงรับเรื่องไว้แล้ว และผลของมันคือ จะต้องมีสมาชิกสภาถึงสามร้อยแปดสิบคนออกจากตำแหน่ง บางคนจะเจอข้อหาขายชาติ บางคนก็จะเจอข้อหาปลุกระดมมวลชน และจะรวมถึงรัฐบาลไบเดนด้วย

ทีนี้ผู้ที่รับผิดชอบบริหารประเทศก็จะเหลือแค่สมาชิกสภาร้อยกว่าคนที่เหลืออยู่ แล้วพวกนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นรีพับลิกันทั้งนั้น จนกว่าจะมีเลือกตั้งครั้งต่อไป ...สภาก็จะไม่มีฝ่ายค้าน ....หมดยุคที่สร้างมาตั้งแต่ Papa Bush ..Clinton ..Baby Bush ..Barack

ผมมองว่านี่เป็นการตอกตะปูตัวสุดท้ายให้กับไบเดน ตอนนี้อำนาจของศาลสูงก็อยู่ในมือพวก white hat เพื่อเตรียมสร้าง Republic ใหม่ให้กับประเทศ

***โปรดใช้วิจารณญาณครับ***

https://www.howestreet.com/2022/12/died-suddenly-everything-is-breaking-and-sheep-jim-willie/


 

birchgold
The Mother of All Crashes Is Coming in April 2023

เดือนเมษายน 2023 นี้ เตรียมพบกับ crash ตัวแม่

Brandon Smith. Dec 7, 2022

สัญญาณการหดตัวทางเศรษฐกิจปรากฎให้เห็นเด่นชัดจนอย่างนี้แล้ว แต่ก็ยังไม่ได้เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป หรือจะรอจนกว่าสถานการณ์มันจะพังลงคาตาเลย

นี่เป็นปัญหาที่เกิดเป็นปกติสำหรับวิกฤตการเงินที่เคยเกิดมาแล้วในอดีต นักเศรษฐศาสตร์ตลอดถึงนักวิเคราะห์ในสื่อทั้งหลายในกระแสหลัก มักจะจงใจนำให้สาธารณชนเดินไปผิดทาง ..จนหมดโอกาสที่จะแก้ไขให้ฟื้นตัวได้ ...พวกนี้ชอบสร้างความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ให้ผู้คนตายใจ

แม้อย่างตอนที่เงินเฟ้อกำลังคุกคามเราอยู่..อย่างตอนนี้ พวกเขาก็ยังบอกเราว่าไม่ต้องห่วง ...Federal Reserve กำลังจะทำการ "soft landing" ให้ดู

Consider the Great Financial Crisis

เมื่อปี 2007 สื่อนักวิเคราะห์ทั้งหลายชื่นชมกับตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐ และทำนายว่ามันยังจะมากขึ้นทั้งยอดขายและมูลค่า เป็นความมั่งคั่งที่จะแพร่กระจายไปทั่วทั้งประเทศเลย ....ก่อนที่มหากาพย์สัญญาอนุพันธ์ชุดแรกจะพังทลายลงต่อหน้า กวาดเอาทั้ง Lehman Brothers และ Bear Sterns หายวับไปเลย

เหมือนกับจะคิดเอาเองว่า ถ้าทำให่สาธารณชนเชื่ออย่างสุดใจว่ามันจะดีแล้วล่ะก็ ทุกอย่างมันก็จะสวยหรูเป็นความจริงไปเอง ...นี่เค้าเรียกว่า Tinkerbell effect

แต่ อนิจจา เรื่องของเศรษฐกิจมันหาเป็นเช่นนั้นไม่

ถ้าเอาอนาคตทางการเงินไปผูกกับความหวังลม ๆ แล้ง ๆ แทนที่จะใช้หลักการพื้นฐาน ก็เตรียมตัวพังได้เลย

พื้นฐานความจริงที่เกี่ยวกับ ..แรงผลักดันทางตลาด ..ซัพพลาย/ดีมานด์ ...การหมุนเวียนของเงิน ..และเงินเฟ้อ เป็นเรื่องที่เราต้องรู้ จะมาทำเป็นไม่สนใจได้ไง

ถ้าระบบเริ่มเสียศูนย์ มันก็จะพัง ไม่มีใครจะช่วยได้แม้แต่แบ้งค์ชาติ (ที่จริงแบ้งค์ชาติเองนั่นแหละตัวดี (Fed) ที่ตั้งใจทำให้เสียศูนย์ ..แต่ทำเหมือนช่วยแก้ปัญหา)

Here’s how today’s economy is out of balance

ตอนนี้ Fed กำลังเป็นฝ่ายรุกสู้เงินเฟ้อโดยการขึ้นดอกเบี้ย..คิดจะน้อคเงินเฟ้อให้ได้ ..แต่มันฟังดูย้อนแย้งยังไงก็ไม่รู้ ก็ไอ้เงินเฟ้อนี่เอ็งเป็นคนออกแบบมาเองนี่หว่า พิมพ์เงินออกมาซะเยอะแยะ..จนมันสูญค่าไปเท่าไหร่แล้ว แล้วนี่จะมาน้อคมัน ...จริงดิ

มันฟังดูเหมือนนิยายเรื่องแฟรงเกนสไตน์ ที่สร้างผีดิบให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมา แต่พอมันไม่ฟังคำสั่งเจ้านาย ก็ต้องมาหาทางฆ่ามันอีก ...ก็ออกแบบมาเองนี่หว่า

อัตราดอกเบี้ยสูงคราวนี้ ไม่ยักทำให้ราคาสินค้าลดลงได้อย่างมีนัยยะ หรือลดความร้อนแรงของตลาดหุ้นได้มากนัก ...เงินในระบบมันเยอะและลากมายาวนานเกินไป สุดท้ายมันก็คงต้อง "hard landing" จนได้น่ะแหละ เรียกอีกอย่างว่า collapse ไงล่ะ

ผีดิบแฟรงเกนสไตน์ที่ Fed สร้างมาไม่ยอมตายง่าย ๆ หรอก มันแกร่งกว่าที่คิด ....มันคงต้องสู้กันยกใหญ่

ช่วงต้น ๆ ของปี 2000s ...Fed ใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำมาตลอดทำให้ตลาดบ้านและอนุพันธ์บวมโตเป็นฟองลูกใหญ่ พอปี 2004 เปลี่ยนนโยบายเพิ่มดอกเบี้ยเป็น 1% และเพิ่มเป็น 5% ในปี 2006 ..และนั่นทำให้ในตลาดเครดิตเริ่มจะพัง เรียกว่าดอกเบี้ย 4.5%-5.5% เป็นจุดชี้ขาดที่ลูกหนี้เริ่มจะหลังแอ่น ...พอปี 2007-2008 ตลาดเครดิตก็พังทลาย ...นั่นจึงได้เวลาคิกอ้อฟการพิมพ์เงินครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์อเมริกาเลย เพื่อมาช่วยพยุงระบบธนาคารเอาไว้ไม่ให้ล้ม ..แล้วก็เลยหยุดพิมพ์เงินไม่ได้มาตั้งแต่นั้น

จริง ๆ แล้วนโยบายการเงินที่ Fed ทำได้ มันลิมิตอยู่แค่สองเรื่องเท่านั้น

-- ขยายหรือลดจำนวน money supply ในตลาด (พิมพ์เงินเพิ่มหรือดูดสภาพคล่องออก)

-- ทำให้เงินมีราคาถูกหรือแพง (กดดอกเบี้ยให้ต่ำหรือขึ้นดอกเบี้ยสูง)

ทำได้แค่นั้นแหละ

ไอ้เรื่องอื่นอย่างนโยบายการคลัง (การใช้จ่ายหรือการลงทุนของรัฐบาล) ไม่ใช่เรื่องของ Fed .. Fed หาเกี่ยวด้วยไม่ ....(ช่วงนี้ดูละครย้อนยุคมากไปหน่อยจ้ะ..)

ผมจะถือเอาตัวเลข fund rate ที่ 5% เป็นจุดชี้ขาดที่เราจะเริ่มเห็นการหดตัวอย่างแรงในครั้งต่อไปจากนี้

แล้วครั้งนี้โจทย์จะต่างจากเมื่อ 15 ปีที่แล้วด้วยนะ

นั่นคือ Fed หมดโปรที่จะมาพิมพ์เงินมาก ๆ แบบเมื่อปี 2007-08 ละนะ ถ้าเกิดเศรษฐกิจชะงักงันคราวนี้ ก็หมดมุกแล้วหละ ...เกิดขึ้นครั้งต่อไปนี้ คนที่จะรอดจากหายนะก็มีแต่คนที่มองการณ์ไกล ตุนทองคำและซิลเวอร์เก็บไว้แล้วนั่นแหละ ที่ไม่ต้องมาทนดูเงินของตนหมดอำนาจซื้อภายในชั่วเวลานับไม่กี่เดือน

ผมคิดว่าครั้งนี้ Fed ต้องการเห็นการพังทลาย

พวกนักวิเคราะห์ในสื่อกระแสหลักเชื่อว่า Fed จะยอมแพ้หยุดขึ้นดอกเบี้ยด้วยหวังจะให้ตลาดหุ้นยังมีปาร์ตี้ต่อไป แต่ปาร์ตี้น่าจะโอเวอร์แล้วแหละ ตลาดหุ้นอาจจะพุ่งขึ้นให้เห็นอีกทีจากคำหวานของ Fed แต่คำหวานก็น้อยลงเรื่อย ๆ พวกเขากำลังจะปล่อยให้ทั้งเศรษฐกิจและตลาดตาย

The U.S. economy must be crushed

Fed มี global agenda ที่จะให้มีการหดตัวอย่างแรงของเศรษฐกิจอเมริกัน พวกเขาจงใจทำ และรู้ดีว่ากำลังทำอะไรอยู่

คาดกันว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ยแค่ 50 bps (0.5%) ในเดือนธันวาคมนี้ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ฮ้อตแบบมีการอัดฉีดเงินเหมือนสองปีก่อนได้หรอกนะ ...พอถึงการประชุม Fed ในเดือนกุมภาพันธ์ 2023 อัตราดอกเบี้ยก็จะเกือบถึง 5% ตามตัวเลขที่ผมตั้งไว้ ...มันจะไปจุดชนวนให้ตลาดเริ่มมีการเลย์ออฟคนงานครั้งใหญ่

ยังมีอีกแฟคเตอร์ที่ต้องมาคิดด้วย

เรื่องที่ไม่ค่อยพูดกันมากคือ ภาษี 1% ที่เก็บจากการซื้อคืนหุ้นบริษัท ..มันมาพร้อมกับกฎหมายลดเงินเฟ้อ (Inflation Reduction Act) ของไบเดน และจะมีผลในเดือนมกราคมเดือนหน้านี้แล้ว แต่มันไม่ได้ช่วยลดเงินเฟ้อเลย ...ที่ผ่านมาการซื้อคืนหุ้น ทำให้ราคาสูงอยู่ตลอด ..บริษัทต่าง ๆ ซื้อหุ้นคืนโดยใช้เงินกู้จากแบงค์ที่แทบไม่มีดอกเบี้ยทั้งนั้น เรียกว่าเงินฟรีที่ไม่มีต้นทุน

ตอนนี้ เงินฟรีมันใกล้จบแล้ว..นาย

ดอกเบี้ย 5% บวกกับภาษีอีก 1% ทำให้การซื้อคืนหุ้นจบลง เงินแหล่งใหญ่ที่ไหลเข้าตลาดหุ้นก็จบหมดลง ....อัตราการเต้นของหัวใจก็อาจจบลงตามไปด้วย

มันคงใช้เวลาสักสองหรือสามเดือนหลังจากอัตราดอกเบี้ยและภาษีจะมีผลต่อตลาดอย่างเห็นได้ชัด ผมคิดว่า timeframe น่าจะอยู่ในช่วงเดือนมีนาคมถึงเมษายน ปี 2023

เงินเฟ้อก็ยังคงอยู่กับเราอีกนาน และราคาพลังงานที่ถือเป็นปัญหาหลักก็ยังมีความไม่แน่นอน เพราะมันจะมีส่วนอย่างมากต่อแรงกดดัน supply chains ทั้งสายเลย

ราคาน้ำมันตอนนี้ที่ยังต่ำอยู่..เป็นเพราะแรงกดดันทางการเมืองนะ ไม่ใช่จากดีมานด์/ซัพพลายจริง ๆ ...ในอเมริกาเองก็เป็นเพราะไบเดนเอาน้ำมันสำรองออกมาดั๊มพ์ในตลาด ซึ่งในที่สุดก็ต้องหมดลง พอจะเก็บสำรองใหม่ มันก็ต้องแพงขึ้นอยู่ดี

อีกเรื่องที่ทำให้ราคาพลังงานต่ำอยู่ก็คือนโยบาย Zero Covid ของจีนที่ทำให้ลดการใช้น้ำมันลงถึงจุดต่ำสุด ถ้าจีนมีการกลับตัว เริ่มเปิดประเทศอีกครั้งเดือนกุมภาพันธ์หรือมีนาคม ....ถึงตอนนั้น ราคาน้ำมันก็จะพุ่งขึ้นอีกครั้งในตลาดโลก

ส่วนเรื่องสงครามในยูเครนก็ยังไม่จบ รวมไปถึงเรื่องการแซงค์ชั่นรัสเซีย ยุโรปกำลังจะเผชิญกับฤดูหนาวที่โหดร้าย เพราะการขาดแคลนแก้สธรรมชาติที่ทำให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าสูงขึ้น ...ตอนนี้โรงงานนับร้อย ๆ ในเยอรมันรวมถึงยุโรปตอนเหนือก็หยุดไปแล้ว (เยอรมันเป็น top exporter อันดับ 4 ของโลกนะ)

ถ้าเทรนด์ยังคงเป็นไปอย่างนี้ การผลิตทั้งหมดในยุโรปก็จะพังต่อเนื่องไปอีก ทีนี้ supply chains ทั่วโลกก็จะวุ่นวายสับสนไปหมด

ในปี 2023 ราคาสินค้าทั่วโลกก็จะพุ่งสูงในขณะที่อัตราว่างงานก็สูงด้วย

Brandon Smith has been an alternative economic and geopolitical analyst since 2006 and is the founder of Alt-Market

The views and opinions expressed in this article are those of the author and do not necessarily reflect those of Birch Gold Group.

https://www.birchgold.com/news/april-2023-crash/