"เราเสี่ยงต่อการร้องไห้เมื่อเราปล่อยตัวให้สร้างความสัมพันธ์ขึ้นมา" - อองตวน เดอ แซงเตก-ซูปรี, เจ้าชายน้อย (Le Petit Prince) "เจ้าชายน้อย (Le Petit Prince)" บล็อกนี้เขียนขึ้นตามคำเรียกร้องของน้องคนหนึ่ง นางขอให้เขียนให้อ่านแบบสปอยล์เต็มที่ อันตัวเรานี้ทั้งสวยและใจดีจึงทำเพื่อน้องสักครั้ง #ความสวยให้ห้ามั่นหน้าให้สิบ เพราะฉะนั้นหากท่านหลงเข้ามาอ่านบล็อกนี้โดยบังเอิญ และไม่อยากถูกสปอยล์ล่ะก็ ขอให้หยุดอ่านแต่เพียงตรงนี้นะคะ จากนี้ไปคือเล่าเรื่องจนถึงตอนจบเลยค่ะ เรื่องเล่าโดยใช้สรรพนามบุรุษที่ 1 ขอใช้คำเรียกแทนคนเล่าว่าผู้เขียนละกันนะ ผู้เขียนตัดสินใจเรียบเรียง และเริ่มวาดรูปใหม่อีกครั้งเพื่อบันทึกเรื่องราวเมื่อครั้งที่เขาเคยเจอเจ้าชายน้อยเมื่อ 6 ปีก่อน เพราะเขาอยากจะจดจำเพื่อนคนสำคัญคนนี้ไว้ "เป็นเรื่องน่าสลดใจมาก ถ้าเราลืมเพื่อน ทุกคนไม่ได้มีเพื่อนเสมอไป ถ้าฉันลืมเขา ฉันก็อาจกลายเป็นพวกผู้ใหญ่ที่ไม่สนใจอะไรนอกจากตัวเลขก็ได้ (หน้า 29)" โดยเริ่มปูเรื่องย้อนกลับไปเมื่อเขาอายุ 6 ขวบ ตอนนั้นเขาอยากเป็นจิตรกร แต่เมื่อเขาวาดรูปงูเหลือมกำลังนอนย่อยช้างที่มันกลืนเข้าไป กลับไม่มีใครมองออก ทุกคนต่างบอกว่ามันคือ "หมวก"
เขาจึงวาดรูปขึ้นมาใหม่อีกรูป คราวนี้วาดให้เห็นข้างในท้องของงูแทน แต่พวกผู้ใหญ่ล้วนแต่บอกให้เขาไปหาอะไรทำที่มีประโยชน์มากกว่านี้ เขาเลยเกิดอาการเซ็ง ล้มเลิกความตั้งใจที่จะเป็นจิตรกรไป สุดท้ายหันไปเป็นนักบินแทน และการเป็นนักบินนี้เองที่ทำให้เขาได้พบกับเจ้าชายน้อย
วันหนึ่งเครื่องบินของผู้เขียนเกิดไปเสียอยู่กลางทะเลทรายซาฮารา ในเช้าวันที่สองที่ติดอยู่ที่นั่นจู่ๆ ก็มีเสียงเล็กๆ ขอให้เขาช่วยวาดรูปแกะให้ เจ้าของเสียงคือเด็กชายตัวเล็กๆ คนหนึ่ง แต่งตัวดูดีทีเดียว เด็กชายยืนยันคำขอให้เขาช่วยวาดแกะให้ ผู้เขียนวาดให้เขาหลายรูป เด็กชายก็ยังไม่ถูกใจ สุดท้ายเขาเริ่มหงุดหงิดเลยวาดรูปกล่องสี่เหลี่ยมมีช่องให้เด็กชายไปส่งๆ ปรากฏว่าเด็กชายกลับถูกใจและบอกว่านี่คือแกะแบบที่เขาอยากได้ และนั่นคือการพบกันครั้งแรกของผู้เขียนกับ "เจ้าชายน้อย" การคุยกับเจ้าชายน้อยนั้นไม่ง่ายเลย เพราะเจ้าชายน้อยมักจะเพิกเฉยต่อคำถาม และมักจะเป็นฝ่ายถามเรื่องนั้นเรื่องนี้อยู่บ่อยๆ กว่าจะรู้ที่มาที่ไปของเจ้าชายน้อยก็ต้องใช้เวลาอยู่นานในการจับความจากบทสนทนาระหว่างกัน เขาเริ่มเดาได้ว่าเจ้าชายน้อยเดินทางมาจากดาวดวงอื่นขณะคุยกันเรื่องที่เครื่องบินของผู้เขียนตก (เจ้าชายน้อยคิดว่าผู้เขียนเองก็ตกลงมาจากดาวดวงอื่น) เมื่อเจ้าชายน้อยชมรูปแกะที่เขาวาดว่าดีจริงที่เขาวาดกล่องให้ด้วย แกะของเขาจะได้มีบ้านอยู่ ผู้เขียนเสนอว่าเดี๋ยวเขาวาดเชือกผูกแกะให้ด้วยก็ได้นะ จะได้เอาไว้ล่ามแกะไม่ให้เดินเพ่นพ่าน เจ้าชายน้อยก็ขำ จะต้องใช้เชือกไปทำไม ดวงดาวของเขานั้นเล็กนิดเดียว แกะเดินไปไหนไม่ได้ไกลนักหรอก นี่คือตัวอย่างบทสนทนาที่ผู้เขียนต้องค่อยๆ จับรายละเอียดเกี่ยวกับตัวเจ้าชายน้อยเอาเอง เจ้าชายน้อยมาจากดาวดวงเล็กๆ ที่ชื่อ บี612 ในตอนที่มีนักดาราศาสตร์คนหนึ่งออกมาประกาศการค้นพบดาวดวงนี้ต่อสภานักดาราศาสตร์ ไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่เขาพูดสักคน นั่นก็เพราะ "เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย" ของเขามันแปลกเกินไป ผู้ใหญ่ก็เป็นแบบนี้แหละ ตัดสินความน่าเชื่อถือซึ่งกันเพียงแค่การแต่งกายแค่นั้น แต่ต่อมาเมื่อประเทศบ้านเกิดของนักดาราศาสตร์ผู้นั้นบังคับให้ประชาชนสวมใส่เสื้อผ้าตามแบบยุโรป (ใครไม่ทำตามก็มีโทษถึงประหารชีวิต) เมื่อเขาปรับเปลี่ยนเครื่องแต่งกายและออกมาประกาศการค้นพบดาวบี612อีกครั้ง คราวนี้ทุกคนเชื่อข้อมูลที่เขาพูด... เจ้าชายน้อยคอยดูแลดาวของเขาเป็นอย่างดี เขาคอยถอนต้นไทรที่งอกขึ้นมาทิ้ง เพราะหากปล่อยทิ้งไว้รากของมันอาจทำลายดาวทั้งดวงได้ เจ้าชายน้อยขอให้ผู้เขียนวาดรูปต้นไทรเพื่อใช้เป็นเครื่องเตือนใจเด็กๆ ให้ระวังต้นไทรให้ดี"บางครั้งการผัดวันประกันพรุ่งงานของตนนั้นไม่เป็นการเสียหายแต่อย่างใด แต่ถ้าเป็นเรื่องเจ้าต้นไทรละก็เป็นเรื่องมหันตภัยทีเดียว...(หน้า 36)" บนดาวบี612 ยังมีภูเขาไฟเล็กๆ อีก 3 ลูก 1 ในนั้นเป็นภูเขาไฟที่ดับไปแล้ว แต่เขาก็คอยขัดปากปล่องภูเขาไฟทั้งสามอยู่เสมอ เพราะแบบนี้ภูเขาไฟจึงไม่เคยระเบิดขึ้นมาแล้วทำลายดวงดาวทั้งดวง เจ้าชายน้อยชอบดูพระอาทิตย์ตกดิน เขาได้ดูพระอาทิตย์ตกทั้งหมด 43 ครั้งบนดาวบี612 "เธอรู้ไหม...ในยามแสนเศร้า คนเราชอบดูอาทิตย์อัสดง? (หน้า 38)" เข้าสู่วันที่ 5 ที่ติดกันอยู่ในทะเลทราย เจ้าชายน้อยยังคงกังวลเรื่องแกะ เขาสงสัยว่าในเมื่อแกะชอบกินพวกผักหนาม แล้วมันจะกินดอกไม้ด้วยไหม เขาเฝ้าถามเรื่องนี้ และสงสัยเรื่องหนามของดอกไม้ไม่หยุด ถ้าดอกไม้มีหนาม แล้วแกะยังกินได้ แล้วดอกไม้จะมีหนามไปทำไมล่ะ? ผู้เขียนเริ่มหงุดหงิด เพราะเครียดที่ยังซ่อมเครื่องบินไม่ได้ เสบียงก็เหลือน้อย เขาตอบเจ้าชายน้อยไปว่าไม่เห็นจะเป็นเรื่องสลักสำคัญอะไร เจ้าชายน้อยเสียความรู้สึกมาก เขาพูดแบบอึ้งๆ ว่า "ทำไมเธอพูดกับฉันเหมือนที่ผู้ใหญ่ชอบพูดกัน (หน้า 41)" เจ้าชายน้อยรู้สึกโกรธที่ผู้เขียนคิดว่าเรื่องที่เขาเห็นว่าสำคัญเป็นเรื่องไม่สำคัญ ถ้าแกะไปกินดอกไม้ดอกเดียวที่ฉันรักและรักฉันเข้าล่ะ แบบนี้ยังจะเรียกว่าไม่สำคัญอยู่อีกไหม แล้วเจ้าชายน้อยก็ร้องไห้ ผู้เขียนรู้สึกผิด เขาละจากสิ่งที่ทำอยู่หันมาโอบกอดแล้วปลอบประโลมเจ้าชายน้อย จากนั้นผู้เขียนก็ค่อยๆ รู้เรื่องราวของดอกกุหลาบแสนรักของเจ้าชายน้อย เจ้าชายน้อยพบกับต้นอ่อนของดอกไม้นั้นเข้าในวันหนึ่ง เขาใส่ใจคอยดูแลรดน้ำและเฝ้ารอวันที่มันจะผลิบาน เธอใช้เวลาแต่งตัวอยู่นานทีเดียว ในที่สุด ในรุ่งเช้าวันหนึ่งเธอก็ยอมผลิบาน เจ้าชายน้อยชื่นชมในความงามของเธอมาก ทว่าดอกไม้แสนสวยหาได้มีความถ่อมตนสักนิดไม่ เธอพูดโอ่อวดถึงความงามของตัวเอง และว่าเธอเนี่ยนะ unique มว๊ากก พันธ์นี้เนี่ยมีแค่เธอดอกเดียวในจักรวาล เธอทรมานเจ้าขายน้อยด้วยความหลงตนของเธอเอง เรียกร้องให้เขารดน้ำ หาที่กั้นลมให้ บ่นนั่นนี่ สร้างความยุ่งยากลำบากให้เจ้าชายน้อย เจ้าชายน้อยเริ่มกังวลใจ แม้ว่าในตอนนั้นเขาจะรักและชื่นชมดอกกุหลาบด้วยความจริงใจ แต่เขาเริ่มรู้สึกว่าเขาเอาจริงเอาจังกับคำพูดของดอกไม้มากเกินไป และมันทำให้เขาทุกข์ใจ เขาจึงตัดสินใจที่จะหนี พอมาถึงตอนนี้เจ้าชายน้อยรู้สึกเสียใจที่จากดาวบี612 มา เขาบอกกับผู้เขียนว่าไม่น่าใส่ใจกับคำพูดของดอกกุหลาบเลย เขาน่าจะดูแต่ที่การกระทำของเธอ "ฉันควรจะเห็นความอ่อนหวานที่ซ่อนอยู่ภายใต้มารยาของเธอ ดอกไม้ก็มีอารมณ์หวั่นไหวง่ายเช่นนี้เสมอแหละ แต่ฉันก็อ่อนหัดเกินกว่าจะรู้จักรัก (หน้า 47)" ในวันที่เขาตัดสินใจจากมา หลังจากทำกิจวัตรประจำวันในการดูแลดวงดาวแล้วเสร็จ เจ้าชายน้อยก็กล่าวลาดอกไม้ ทีแรกเธอนิ่งเงียบ เมื่อกล่าวย้ำอีกครั้ง ดอกไม้ก็กระแอม และกล่าวขอโทษถึงการกระทำและคำพูดที่ผ่านมาของเธอต่อเจ้าชายน้อย เรื่องนี้เป็นความผิดของเธอเอง และว่าเธอกับเขาต่างก็โง่ด้วยกันทั้งคู่ แต่เธอรักเขาด้วยใจจริงนะ "อย่ามัวชักช้าร่ำไรอยู่เลย
น่ารำคาญออกในเมื่อเธอตัดสินใจจะไปแล้วก็ไปเสีย (หน้า 51)" ดอกกุหลาบออกปากไล่เขาเพราะว่าเธอไม่อยากให้เขาเห็นน้ำตาของเธอ "เขาไม่พอใจที่ที่เขาอยู่รึ" เจ้าชายน้อยถาม "คนเราไม่เคยพอใจที่ที่ตนอยู่เลย" เจ้าหน้าที่สับรางตอบ เมื่อรถไฟขบวนที่สามผ่านมา เจ้าชายน้อยเปรยว่า หรือว่าเขาจะตามนักเดินทางกลุ่มแรกอยู่ เจ้าหน้าที่สับรางปฏิเสธ คนส่วนใหญ่ถ้าไม่หลับก็นั่งหาว มีแต่พวกเด็กๆ เท่านั้นแหละที่นั่งเอาหน้าแนบหน้าต่างมองออกมา "พวกเด็กๆ เท่านั้นที่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร" เจ้าชายน้อยกล่าว เจ้าหน้าที่สับรางรู้สึกว่าเด็กๆ นั้นช่างโชคดีเสียจริง
คืนนั้นเจ้าชายน้อยออกเดินไปอย่างไร้สุ้มเสียง เมื่อผู้เขียนตามไปทัน เจ้าชายน้อยยังคงพยายามให้เขาล้มเลิกความตั้งใจ แต่แล้วเจ้าชายน้อยก็ร้องไห้ เมื่อถึงที่ที่หนึ่งเจ้าชายน้อยก็ขอเดินแยกทางไปคนเดียว แล้วนั่งลง เขาดูกลัว เมื่อยืนขึ้นอีกครั้ง เขาก้าวไปข้างหน้าเล็กน้อย ผู้เขียนเห็นแสงสีเหลืองสะท้อนออกมาจากข้อเท้าของเจ้าชายน้อยเพียบแว่บเดียว ไม่มีเสียงร้องใดๆ เจ้าชายน้อยค่อยๆ ล้มลงบนผืนทราย เมื่อผู้เขียนกลับถึงบ้าน เพื่อนฝูงต่างดีใจที่เขาปลอดภัยกลับมา แม้จะมีท่าทีเศร้าหมองไปบ้างก็ตาม ผ่านมา 6 ปี เขาจึงัยนทึกเรื่องราวของเจ้าชายน้อยจากความทรงจำ เขารู้ดีว่าเจ้าชายน้อยคงกลับไปยังดวงดาวของเขาแล้ว เพราะเมื่อเขากลับไปยังจุดที่เจ้าชายน้อยล้มลงในครั้งนั้น เขาก็ไม่พบร่างของเจ้าชายน้อยแล้ว เขายังคงคิดถึงและชอบมองดวงดาว เขาวาดรูปที่ที่เจ้าชายน้อยจากไปทิ้งท้ายไว้และฝากเราว่าถ้าวันใดเราบังเอิญผ่านไปตรงนั้น และพบกับเด็กชายตัวเล็กๆ ผมสีทอง ผู้ไม่ตอบคำถามที่คุณถาม ถ้าเขามาทักคุณ ถ้าเขาหัวเราะ คุณก็น่าจะเดาได้ว่าเขาเป็นใคร ให้เรารีบส่งข่าวไปแจ้งผู้เขียนทันที อย่าปล่อยให้เขาต้องโศกเศร้าอีกต่อไป
|