“ข้าว” นับเป็นหนึ่งในพืชเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ ทั้งในด้านการบริโภค (ข้าวเป็นอาหารหลักของคนไทย) และการเป็นสินค้าเกษตรส่งออกอันดับหนึ่งของประเทศไทย อีกทั้งยังมีความสำคัญต่อภาวะเศรษฐกิจภูมิภาค เนื่องจากเป็นพืชเกษตรหลักของประเทศ ที่ครอบคลุมพื้นที่เพาะปลูกมากที่สุด (คิดเป็น 45.2% ของพื้นที่การเกษตรทั้งหมดของประเทศ) และมีจำนวนครัวเรือนที่มากถึง 4.3 ล้านครัวเรือน คิดเป็น 74.4% ของจำนวนครัวเรือนภาคเกษตรทั้งหมด [1] ด้วยเหตุนี้ทำให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวมักได้รับความสนใจเป็นพิเศษจากรัฐบาลมาโดยตลอด โดยมีนโยบายช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง ทั้งนโยบายด้านราคา (Price policy) อาทิ การประกันราคาข้าว การรับจำนำข้าว และโครงการช่วยเหลือด้านอื่นๆ เช่น โครงการสนับสนุนเงินช่วยเหลือต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าว โครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว เป็นต้น Show
ไทยเป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกข้าวสำคัญของโลกมายาวนาน ในปี 2562/2563 ไทยมีผลผลิตข้าวมากเป็นอันดับ 6 ของโลก โดยปริมาณผลผลิตข้าวสารของไทยคิดเป็น 4.2% ของผลผลิตข้าวทั่วโลก (รองจากจีน อินเดีย อินโดนีเซีย บังคลาเทศ และเวียดนาม ซึ่งมีสัดส่วนปริมาณผลผลิต 29.3%, 23.1%, 7.5%, 7.1% และ 5.6% ตามลำดับ) และไทยเป็นผู้ส่งออกข้าวอันดับ 2 ของโลก มีส่วนแบ่งตลาดคิดเป็น 21.0% รองจากอินเดียซึ่งมีส่วนแบ่งตลาด 25.2% และยังมีคู่แข่งอื่นๆ อาทิ เวียดนาม ปากีสถาน สหรัฐฯ เมียนมา เป็นต้น (ภาพที่ 1) อย่างไรก็ตาม ปริมาณการค้าข้าวในตลาดโลกมีสัดส่วนเพียงประมาณ 9.6% ของผลผลิตข้าวทั่วโลก (ภาพที่ 2) เนื่องจากข้าวเป็นพืชที่ปลูกเพื่อความมั่นคงด้านอาหารของประเทศ (ใช้บริโภค) เป็นหลัก ดังนั้นปริมาณการค้าข้าวระหว่างประเทศ (การส่งออก-นำเข้า) จึงเป็นเพียงผลผลิตส่วนเกินและ/หรือส่วนขาดจากการบริโภคในแต่ละประเทศ ภาวะตลาดส่งออกจึงมักผันผวนตามปริมาณผลผลิตและการบริโภคในประเทศผู้ส่งออกและนำเข้า ห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมข้าวไทยธุรกิจในห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมข้าวของไทย ประกอบด้วย
รอบปีเพาะปลูก 2561/62 ไทยมีพื้นที่ปลูกข้าวทั้งสิ้น 71.9 ล้านไร่ ส่วนใหญ่อยู่ในภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยการปลูกข้าวของไทยเน้นพึ่งน้ำฝน มีช่วงเวลาเพาะปลูกสำคัญในฤดูฝนช่วงเดือน ก.ค.-ก.ย.ของทุกปี และเก็บเกี่ยวในช่วงปลายปี เรียกว่า “ข้าวนาปี” มีผลผลิตทั้งข้าวขาว ข้าวหอมมะลิ และข้าวเหนียว ซึ่งมีปริมาณรวมกันกว่า 83% ของผลผลิตข้าวรวมทั้งประเทศในแต่ละรอบปีการเพาะปลูก ส่วนที่เหลือประมาณ 17% เป็นข้าวที่ปลูกในฤดูแล้งซึ่งต้องอาศัยน้ำจากระบบชลประทาน เรียกว่า “ข้าวนาปรัง” มักเพาะปลูกในภาคเหนือและกลาง[2][3] ในภาวะปกติ ผลผลิตข้าวของไทยมีปริมาณเฉลี่ยปีละ 31-33 ล้านตันข้าวเปลือก นำไปสีเป็นข้าวสารได้ประมาณ 20-22 ล้านตัน ใช้ในการบริโภคภายในประเทศสัดส่วนประมาณ 53% ของผลผลิตข้าวสารที่ผลิตได้ทั้งหมด (ส่วนที่เหลือส่งออก) ในจำนวนนี้แบ่งเป็นข้าวเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในภาคอุตสาหกรรม (อาทิ อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ แป้งข้าว ขนมขบเคี้ยวจากข้าว การผลิตไฟฟ้าชีวมวล การผลิตเอทานอล เป็นต้น) สัดส่วน 30-40% ของความต้องการบริโภคข้าวในประเทศทั้งหมด ที่เหลือประมาณ 60-70% เป็นข้าวสำหรับบริโภค โดยมีช่องทางการจำหน่ายสู่ผู้บริโภค 2 ช่องทาง คือ 1) ร้านจำหน่ายข้าวสารแบบดั้งเดิม (ข้าวสารตักแบ่งขาย) ที่ยังคงเป็นช่องทางจำหน่ายหลักในพื้นที่ต่างจังหวัด (มีสัดส่วน 50-55% ของการจำหน่ายข้าวสำหรับบริโภคของไทยทั้งหมด) และ 2) การจำหน่ายในลักษณะข้าวบรรจุถุง (สัดส่วน 45-50%) ที่ผ่านมาตลาดข้าวเพื่อการบริโภคภายในประเทศมีตลาดค่อนข้างแน่นอนและมีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง อีกทั้งความนิยมบริโภคข้าวบรรจุถุงเพิ่มขึ้นเป็นลำดับตามการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคในชุมชนเมือง ทำให้มีผู้ประกอบการเข้าสู่ธุรกิจนี้เพิ่มขึ้น [4] โดยเฉพาะโรงสีข้าวและผู้ส่งออกข้าวที่หันมาขยายตลาดในประเทศเพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของรายได้ในตลาดส่งออก รวมทั้งผู้ประกอบการค้าปลีกสมัยใหม่ (อาทิ เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเต็ม (ตรา Tesco) สยามแม็คโคร (ตรา aro)) ที่ผลิตข้าวบรรจุถุงเฮ้าส์ แบรนด์ (House Brand) [5] เข้ามาแข่งขันในตลาดข้าวบรรจุถุงและสามารถเพิ่มส่วนแบ่งตลาดได้เป็นลำดับโดยอาศัยความได้เปรียบด้านช่องทางการจำหน่าย และกลยุทธ์ราคา (ส่วนหนึ่งเนื่องจากการจำหน่ายข้าวบรรจุถุงเฮ้าส์แบรนด์ไม่มีต้นทุนค่าวางสินค้าจำหน่ายในร้านค้าปลีกสมัยใหม่เหมือนกับข้าวบรรจุถุงทั่วไป และยังมีต้นทุนในการโฆษณาผลิตภัณฑ์ต่ำกว่า) สำหรับการส่งออกข้าวของไทยมีปริมาณใกล้เคียงกับการบริโภคในประเทศ โดยข้าวไทยยังคงได้รับการยอมรับด้านคุณภาพและเป็นที่ต้องการของตลาดโลก มีตลาดส่งออกสำคัญ คือ เบนิน จีน สหรัฐฯ ทวีปแอฟริกา อาเซียน และตะวันออกกลาง ทั้งนี้ ประเภทข้าวที่ไทยส่งออกเป็นปริมาณมาก คือ ข้าวขาว ข้าวหอมมะลิ และ ข้าวนึ่ง ซึ่งมีโครงสร้างตลาดส่งออก ดังต่อไปนี้
นอกจากนี้ ไทยยังมีการส่งออกปลายข้าว10/ ประมาณ 1.1-1.5 ล้านตัน/ปี เพื่อนำไปใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตแป้งและอาหารสัตว์ โดยมีตลาดส่งออกหลัก คือ จีน และประเทศในทวีปแอฟริกา อีกทั้งยังมีการส่งออกข้าวเหนียวและข้าวกล้อง ซึ่งมีปริมาณการส่งออกไม่มากนัก (รวมกันประมาณ 0.3-0.4 ล้านตัน/ปี) เนื่องจากเป็นข้าวที่บริโภคในประเทศเป็นหลัก
จากสภาพการผลิตและการค้าข้าวในตลาดโลกข้างต้นสะท้อนให้เห็นว่าการแข่งขันในตลาดค้าข้าวโลกทวีความรุนแรงขึ้นส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมข้าวของไทยซึ่งยังต้องพึ่งพาตลาดส่งออก (สัดส่วน 47% ของปริมาณผลผลิตทั้งหมด) นอกจากนี้ ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมข้าวของไทยยังเผชิญกับความผันผวนของผลผลิตและทิศทางราคาข้าว อันเนื่องมาจากปัจจัยต่างๆ อาทิ 1) นโยบายการนำเข้าข้าวของประเทศคู่ค้า ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลหลายประเทศที่นำเข้าข้าวจากไทยส่งเสริมให้มีการขยายพื้นที่เพาะปลูกของตนเอง เพื่อเพิ่มผลผลิตข้าวรองรับความต้องการบริโภคภายในประเทศ 2) สภาพอากาศที่แปรปรวนมากขึ้นส่งผลกระทบต่อผลผลิตข้าวโลก และ 3) นโยบายเกี่ยวกับการแทรกแซงราคาข้าวของไทยที่อาจส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันของข้าวไทยในตลาดโลก สถานการณ์ที่ผ่านมาการบริโภคข้าวภายในประเทศมีปริมาณค่อนข้างสม่ำเสมอ เฉลี่ยประมาณ 10.0-11.0 ล้านตัน/ปี (ที่มา: USDA) แต่ในปี 2560 มีปัจจัยหนุนชั่วคราวทำให้การจำหน่ายข้าวในประเทศเพิ่มขึ้นมาก โดยเฉพาะจากอุตสาหกรรมข้าวบรรจุถุงที่ประมูลข้าวจากสต็อกรัฐเพื่อรอจำหน่าย ประกอบกับรัฐเปิดประมูลข้าวคุณภาพต่ำที่ไม่เหมาะสำหรับการบริโภคของคนออกสู่ตลาดจำนวนมาก (ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์และโรงไฟฟ้าชีวมวล) จึงมีผลให้ปริมาณการบริโภคข้าวรวมของไทยเพิ่มขึ้นสูงกว่าปกติ อยู่ที่ 12.0 ล้านตันสำหรับภาวะอุตสาหกรรมข้าวของไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมาค่อนข้างผันผวน ซึ่งสามารถสรุปสถานการณ์สำคัญในแต่ละช่วงเวลา ดังนี้
สำหรับภาวะส่งออกข้าวแต่ละประเภทในปี 2561 มีดังนี้
แนวโน้มอุตสาหกรรมคาดการณ์ผลผลิตข้าวของไทยในปี 2562-2564 มีทิศทางขยายตัวเล็กน้อยเพียง 1-2% อยู่ในระดับเฉลี่ยประมาณ 32.5-33.0 ล้านตันข้าวเปลือกต่อปี หรือประมาณ 21.0-21.8 ล้านตันข้าวสาร (ภาพที่ 14) เพิ่มขึ้นจากระดับ 32.2 ล้านตันข้าวเปลือก หรือ 21.2 ล้านตันข้าวสารในปี 2561 อย่างไรก็ตามในปี 2562 คาดว่าผลผลิตมีทิศทางปรับลดลงจากปัญหาภัยแล้งในช่วงฤดูฝน แต่สถานการณ์ผลผลิตข้าวจะมีทิศทางกลับมาดีขึ้นในปี 2563-2564 จากปริมาณน้ำฝนที่คาดว่าจะเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ อีกทั้งการสนับสนุนของภาครัฐภายใต้แผนการบริหารจัดการน้ำให้เพียงพอสำหรับภาคเกษตร[16] น่าจะช่วยบรรเทาความเสียหายจากภัยแล้งและช่วยให้การเพาะปลูกมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีแรงหนุนที่สำคัญจากราคาข้าวที่อยู่ในระดับสูงช่วงปี 2561-2562 โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิที่ยังจูงใจให้เกษตรกรขยายพื้นที่เพาะปลูกและ/หรือเพิ่มรอบเพาะปลูกมากขึ้น ขณะที่มาตรการของภาครัฐในการจูงใจเกษตรกรลดพื้นที่ปลูกข้าวและสนับสนุนปลูกพืชอื่นทดแทนมากขึ้น[17] ยังไม่ได้รับความสนใจจากเกษตรกรเท่าที่ควร ความต้องการบริโภคภายในประเทศคาดว่ายังอยู่ในระดับสูงราว 11.0-11.5 ล้านตันข้าวสารต่อปีในปี 2562-2564 เพิ่มขึ้นจากระดับ 10.8 ล้านตันในปี 2561/2562 โดยมีปัจจัยหนุนจากความต้องการบริโภคในครัวเรือน (สัดส่วน 33% ของความต้องการบริโภคข้าวทั้งหมด[18]) ที่ยังคงขยายตัวและความต้องการใช้ข้าวในภาคอุตสาหกรรมการผลิตอาหารและขนมขบเคี้ยว (นำข้าวไปแปรรูปมีสัดส่วนประมาณ 10-13%) ที่มีแนวโน้มใช้ข้าวเป็นส่วนประกอบของการแปรรูปมากขึ้น การส่งออกข้าวของไทยมีแนวโน้มอยู่ที่ประมาณ 9-10 ล้านตัน/ปี ในปี 2562-2564 ลดลงจากระดับ 11.1 ล้านตันในปี 2561 ผลจากการระบายสต๊อกข้าวภาครัฐจากโครงการรับจำนำข้าวที่หมดลงหลังจากการเร่งระบายข้าวในช่วงปี 2560-2561 และผลจากการที่ผู้ซื้อบางส่วนหันไปนำเข้าข้าวราคาถูกจากประเทศคู่แข่งมากขึ้น โดยเฉพาะจีนที่คาดว่าจะเป็นผู้ส่งออกอันดับต้นๆ เนื่องจากมีสต๊อกข้าวคงค้างเกินกว่าความต้องการในประเทศอยู่ถึง 117 ล้านตัน ซึ่งจะระบายเข้าสู่ตลาดโลกได้ถึงปี 2563 อย่างไรก็ตาม ปริมาณการส่งออกตามระดับที่คาดการณ์ข้างต้นถือว่าเป็นการปรับฐานมาอยู่ในระดับปกติใกล้เคียงกับช่วงก่อนโครงการรับจำนำข้าว ด้านราคาส่งออกข้าวของไทยคาดว่ายังทรงตัวได้ในระดับสูงใกล้เคียงกับปี 2561 ปัจจัยหนุนจาก 1) ความต้องการบริโภคข้าวในตลาดโลกที่คาดว่าจะยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 2) ข้าวส่งออกของไทยเป็นข้าวคุณภาพสูง (ข้าวที่ระบายจากสต็อกรัฐในช่วงหลายปีก่อนส่วนใหญ่เป็นข้าวที่ไม่เหมาะสำหรับการบริโภค) จะช่วยให้ราคาข้าวส่งออกยังอยู่ในระดับดี แม้สต๊อกข้าวโลกจะยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง (ภาพที่ 15) ทั้งจากไทย อินเดีย และเวียดนาม และ 3) ผลกระทบจากภัยแล้งที่ทำให้ราคาข้าวยังคงปรับตัวสูงขึ้น มุมมองวิจัยกรุงศรีในช่วงปี 2562-2564 ภาวะอุตสาหกรรมข้าวโดยรวมมีทิศทางทรงตัวจากช่วงหลายปีก่อน โดยผู้ส่งออกข้าวมีโอกาสทำกำไรได้ต่อเนื่อง ขณะที่ผลประกอบการของผู้ประกอบการบางกลุ่มมีแนวโน้มชะลอลงและต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว โดยเฉพาะผู้ประกอบการโรงสีข้าว ไซโล และร้านค้าปลีกข้าว ที่ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก อาจเผชิญแรงกดดันจากปัญหาอุปทานส่วนเกินและการแข่งขันที่รุนแรง ชาวนา: ปริมาณผลผลิตข้าวอาจขยายตัวได้ไม่มากนัก ทำให้รายได้ของชาวนายังเติบโตได้อย่างจำกัด นอกจากนี้ ชาวนายังคงเผชิญปัญหาอื่นๆ อาทิ การถูกกดราคาจากพ่อค้าคนกลาง ต้นทุนการเพาะปลูกที่อาจเพิ่มขึ้น (จาก 10,022 บาท/ตัน/ปี ในปี 2562 เป็น 10,500-10,600 บาท/ตัน/ปี ภายในปี 2564 (CAGR 2.5-3.0%)) เป็นต้น ซึ่งเป็นปัจจัยฉุดรั้งโอกาสการทำกำไร ในขณะที่เกษตรกรที่ปลูกข้าวหอมมะลิยังมีแนวโน้มดี โรงสีข้าว: คาดว่าปัญหากำลังสีข้าวส่วนเกินในระบบที่อยู่ในระดับสูงจะคงเป็นแรงกดดันหลักต่อธุรกิจนี้ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการที่มีขนาดเล็กจะมีความเสี่ยงจากภาวะขาดสภาพคล่อง จากการให้บริการเก็บรักษาข้าวของรัฐบาลที่ลดลงเป็นลำดับ (ผลจากการเร่งระบายสต็อกข้าวเก่าของรัฐบาล) โดยกลุ่มที่แข่งขันได้ยังคงเป็นโรงสีข้าวขนาดใหญ่/ครบวงจรที่สามารถบริหารจัดการต้นทุนได้ดี ผู้ผลิตข้าวถุง: รายได้ของธุรกิจอยู่ในระดับประคองตัว เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ที่ทำธุรกิจแบบครบวงจรมีทั้งโรงสีและบริษัทส่งออกข้าว อีกทั้งความต้องการบริโภคข้าวภายในประเทศยังเติบโตต่อเนื่องประกอบกับพฤติกรรมการบริโภคข้าวถุงที่เพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของชุมชนเมือง อย่างไรก็ตาม การแข่งขันด้านราคาของตลาดข้าวถุงภายในประเทศเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากมีผู้เล่นหน้าใหม่ทยอยเข้าสู่ตลาด ขณะที่ต้นทุนการนำสินค้าเข้าตลาดมีแนวโน้มสูงขึ้น อาทิ ค่าการตลาด ค่าวางสินค้า ร้านขายปลีกข้าว (แบบดั้งเดิม): คาดว่าการแข่งขันในตลาดข้าวถุงที่รุนแรงขึ้น ทั้งการแข่งขันด้านราคา และระบบบริหารจัดการในด้านความสะดวก และคุณภาพการเก็บรักษา ซึ่งร้านค้าแบบดั้งเดิมมักจะเสียเปรียบร้านค้าสมัยใหม่ อาจทำให้ธุรกิจค้าข้าวแบบดั้งเดิมแข่งขันได้ยากขึ้น ผู้ส่งออกข้าว: คาดว่าปริมาณส่งออกข้าวของไทยจะลดลงเมื่อเทียบกับฐานสูงในช่วงปี 2560-2561 ที่ได้อานิสงส์จากการเร่งระบายสต็อกข้าวของรัฐ อย่างไรก็ตามรายได้จากการส่งออกข้าวยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากผลของราคาส่งออกที่คาดว่าจะสูงขึ้นโดยเฉพาะข้าวหอมมะลิ ส่วนผู้ส่งออกข้าวขาวยังมีมาร์จินจากความต้องการของประเทศคู่ค้าที่ยังเพิ่มขึ้น ไซโล: คาดว่ารายได้ของผู้ประกอบการธุรกิจไซโลจะปรับลดลงหลังสิ้นสุดโครงการจำนำข้าวทุกเมล็ดและการเร่งระบายสต็อกข้าวของรัฐในปี 2560-2561 การที่พื้นที่เก็บไซโลส่วนเกินยังมีอยู่มาก (ผลจากการเร่งขยายการลงทุนรองรับการเก็บรักษาข้าวในโครงการจำนำข้าวที่ผ่านมา) จะมีผลให้การแข่งขันสูงและกดดันราคาค่ารับฝาก ซึ่งจะกระทบรายได้ของธุรกิจ แม้จะมีการบริหารจัดการพื้นที่ไซโลโดยการรับฝากธัญพืชประเภทอื่นทดแทน ทำไมประเทศไทยเป็นประเทศที่ผลิตข้าวได้มากเนื่องจากรัฐบาลไทยมีสิ่งจูงใจอย่างแข็งขันที่จะผลิตการผลิตข้าวและประสบความสำเร็จในแผนการส่วนใหญ่ รัฐบาลได้ลงทุนในระบบชลประทาน สาธารณูปโภคพื้นฐาน และโครงการสนับสนุนข้าวอื่น ๆ ธนาคารโลกยังได้สนับสนุนเงินทุนในการสร้างเขื่อน คลอง คูน้ำ และสาธารณูปโภคพื้นฐานอื่น ๆ ในโครงการชลประทานเจ้าพระยาใหญ่ นโยบายเหล่านี้ช่วยทำให้ที่ดินปลูกข้าว ...
ประเทศไทยผลิตข้าวได้กี่ตันทั้ง 83 ล้านไร่ จีนจะมีผลผลิตข้าวต่อปีเพิ่มขึ้นถึง 50 ล้านตัน ซึ่งจะมีปริมาณมากกว่าผลผลิตข้าวทั้งประเทศของไทย (ข้อมูลจากกรมการข้าว คาดการณ์ว่า ปีเพาะปลูก 2563/2564 พื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศไทยประมาณ 68.2. ล้านไร่ ให้ผลผลิตข้าวประมาณ 30.5 ล้านตันข้าวเปลือก ผลผลิตต่อไร่เฉลี่ย 447 กิโลกรัม)
แหล่ง ปลูกข้าว ใหญ่ ที่สุด ของ ประเทศไทย อยู่ใน บริเวณ ใดจังหวัดสุพรรณบุรีถือได้ว่าเป็นดินแดนอู่ข้าวอู่น้าที่มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ จึงส่งผลให้จังหวัดสุพรรณบุรีมีความโดดเด่นและมีความรุ่งเรืองทางด้านเกษตรกรรมที่มี พื้นที่การปลูกข้าวมากที่สุด 3.36 ล้านไร่ นับได้ว่ามากที่สุดในประเทศไทย และในกลุ่ม จังหวัดภาคกลางตอนล่าง รองลงมาคือ กาญจนบุรี นครปฐม และ ราชบุรี ในปี พ.ศ. 2554 ...
เพราะเหตุใดประเทศอินเดียและประเทศไทยจึงสามารถปลูกข้าวได้เหมือนกันทั้งที่มีพื้น ที่ไม่ได้ติดต่อกันข้าว เป็นพืชที่ปลูกบนพื้นที่สามเหลี่ยมชายฝั่งทะเล และพื้นที่ทางตะวันออกที่มีลมมรสุมพาฝนและอากาศที่เหมาะสมมาช่วยในหน้าร้อน ที่จริงอินเดียมีอากาศและฝนที่เหมาะกับการปลูกข้าวทั้งประเทศ
|