โครงงานภาษาไทยสะกดคำ นางสาวจันจิรา ดอกพอง นางสาวจินตนา บุษภาค นางสาวนาตยา วงษ์ขันธ์ โครงงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาการศึกษาระบบสื่อทางไกล ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2557 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนพระจันทร์ศรีสุข อำเภอศรีณรงค์ จังหวัดสุรินทร์ โครงงานภาษาไทยสะกดคำ นางสาวจันจิรา ดอกพอง นางสาวจินตนา บุษภาค นางสาวนาตยา วงษ์ขันธ์ โครงงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาการศึกษาระบบสื่อทางไกล ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2557 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนพระจันทร์ศรีสุข อำเภอศรีณรงค์ จังหวัดสุรินทร์ ชื่อ : นางสาวจันจิรา ดอกพอง นางสาวจินตนา บุษภาค นางสาวนาตยา วงษ์ขันธ์ ชื่อเรื่อง : โครงงานภาษาไทยสะกดคำ รายวิชา : การศึกษาระบบสื่อทางไกล กลุ่มสาระการเรียนรู้ : ภาษาไทย ครูที่ปรึกษา : ว่าที่ ร.อ.บุญโต นาดี ปีการศึกษา :2557 บทคัดย่อ โครงงานภาษาไทยสะเกดคำมีวัตถุประสงค์เพื่อเพื่อแก้ปัญหาการเขียนภาษาไทยที่ไม่ถูกต้องของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้แบบฝึกหัดเขียนไทย เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ในการเขียนสะกดคำก่อนและหลังการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1เพื่อสร้างแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 การดำเนินการนั้นผู้จัดทำได้ทดสอบนักเรียนในกลุ่มตัวอย่างก่อนการฝึกแบบการเขียนสะกดคำ ให้นักเรียนฝึกแบบเขียนสะกดคำ ทั้ง 2 ชุด จำนวน 10 ครั้ง ทดสอบนักเรียนในกลุ่มตัวอย่างหลังการฝึกแบบการเขียนสะกดคำนำข้อมูลมาวิเคราะห์และหาข้อสรุป ผลการศึกษาพบว่าการใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำ ทำให้ผลสัมฤทธิ์ในการเขียน สะกดคำภายหลังการทดลองสูงกว่าผลสัมฤทธิ์ในการเขียนสะกดคำก่อนทดลอง ร้อยละ 56 อยู่ในเกณฑ์พอใช้ เพิ่มขึ้น จากเดิม ร้อยละ 24 กิตติกรรมประกาศ โครงงานภาษาไทยสะกดคำสำเร็จลงได้ด้วยความร่วมมือของเพื่อนและนักเรียนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนพระจันทร์ศรีสุข อำเภอศรีณรงค์ จังหวัดสุริทร์ ที่ได้ให้ความร่วมมือด้วยความเต็มใจ ผู้จัดทำขอขอบคุณผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่าน รวมทั้งฝ่ายวิชาการของโรงเรียนที่ได้ให้การสนับสนุนให้พวกเราได้ทำโครงงานนี้ เพื่อให้เล็งเห็นถึงปัญหาและวิธีการแก้ไขปัญหาอันเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการนำไปปรับปรุงและพัฒนาการเรียนการสอนวิชาภาษาไทยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ผู้จัดทำขอแสดงความขอบคุณไว้ ณ โอกาสนี้ นางสาวจันจิรา ดอกพอง นางสาวจินตนา บุษภาค นางสาวนาตยา วงษ์ขันธ์ 22 กุมภาพันธ์2556 สารบัญ เรื่อง หน้า บทคัดย่อ ..........................................................................................................................................ก กิตติกรรมประกาศ ...........................................................................................................................ข สารบัญตาราง ..................................................................................................................................ค บทที่ 1 บทนำ................................................................................................................................. 3 1. แนวคิดที่มาของโครงงาน.......................................................................................................... 3 2. วัตถุประสงค์ของโครงงาน……………….....………………………………....……………….3 3. ขอบเขตของโครงงาน................................................................................................................4 4. วิธีการดำเนินการ........................................................................................................................4 5. ประโยชน์ที่ได้รับ........................................................................................................................4 6. นิยามศัพท์.................................................................................................................................4 บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง..............................................................................................................5 1. การจัดการเรียนการสอนแบบเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ..................................................................10 2. การจัดการเรียนการสอนแบบประสานห้าแนวคิดหลัก……………………………………….17 3. ความหมายของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน.......................................................................................23 บทที่ 3 วิธีการดำเนินงานโครงงาน……………………………………………………...………26 1. วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือ………………………………………………………………………26 2. ขั้นตอนการดำเนินงาน............................................................................................................26 บทที่ 4 ผลการดำเนินงาน……………………………………………………………………….27 บทที่ 5 สรุป อภิปรายและข้อเสนอแนะ…………………………………………………………30 ข้อเสนอแนะในด้านการสอน.........................................................................................................30 ข้อเสนอแนะในด้านการวิจัยครั้งต่อไป...........................................................................................32 สารบัญตาราง หน้า ตารางที่ 1 แสดงคะแนนที่นักเรียนทดสอบจากคะแนนเต็ม 20 คะแนน…....…………………27 ตารางที่ 2 แสดงคะแนนที่นักเรียนสอบได้จากคะแนนเต็ม 20 คะแนน…….…………...……..27 บทที่ 1 บทนำ 1.แนวคิดที่มาของโครงงาน ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอันก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพ และเสริมสร้างบุคลิกภาพของคนในชาติให้มีความเป็นไทย เป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทำให้สามารถประกอบกิจธุระการงานและดำรงชีวิตร่วมกันในสังคมประชาชาติได้ อย่างสันติสุข และเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ ประสบการณ์ จากแหล่งข้อมูลสารสนเทศต่างๆ เพื่อพัฒนาความรู้ ความคิด วิเคราะห์ วิจารณ์ และสร้างสรรค์ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม และความก้าวหน้า ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีตลอดจนนำไปใช้ในการพัฒนาอาชีพให้มีความมั่นคง ทางสังคมและเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังเป็นสื่อที่แสดงภูมิปัญญาของบรรพบุรุษด้านวัฒนธรรม ประเพณี ชีวทัศน์ โลกทัศน์ และสุนทรียภาพ โดยบันทึกไว้เป็นวรรณคดีและวรรณกรรมอันล้ำค่า ภาษาไทยจึงเป็นสมบัติของชาติที่ควรค่าแก่การเรียนรู้ เพื่ออนุรักษ์และสืบสานให้คงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป ทักษะการเรียนรู้ที่สำคัญในรายวิชาภาษาไทย คือ การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน ซึ่งทักษะการเขียนเป็นทักษะที่สำคัญสำหรับการเรียนขั้นพื้นฐาน หากผู้เรียนไม่สามารถเขียนสะกดคำให้ถูกต้องได้ จะส่งผลกระทบกับนักเรียนในเรื่องการเรียนแต่ละวิชา จึงเห็นควรว่าจะมีการทำแบบฝึกหัดเพื่อให้นักเรียนได้ฝึกการเขียนสะกดคำ เพื่อจะได้นำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ captivate คือ โปรแกรมสร้างสื่อการเรียนการสอนการนำเสนอที่สามารถโต้ตอบกับผู้เรียนได้อย่างดีเยี่ยมจุดเด่นคือ สร้างแบบจำลองการใช้ซอฟแวร์ซึ่งผู้ใช้งานสามารถทำตามสื่อการสอนได้ทันที นอกจากนี้ยังสามารถสร้างแบบทดสอบให้คะแนนและประเมินผลได้ในตัว ผู้จัดทำได้คิดสื่อที่จะนำมาสอนนั้นคือ cai สื่อการเรียนการสอน จะสอนในเรื่องของการสะกดคำให้กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 2.วัตถุประสงค์ 1. เพื่อให้นักเรียนฝึกทักษะการเขียนและสะกดคำได้ถูกต้อง 2. เพื่อให้นักเรียนใช้ภาษาไทยได้อย่างถูกต้องยิ่งขึ้น 3.ขอบเขตของโครงงาน นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนพระจันทร์ศรีสุข อำเภอศรีณรงค์ จังหวัดสุรินร์ 4.วิธีการดำเนินงาน 1. ประชุมเพื่อนๆภายในกลุ่มชี้แจงเพื่อสร้างความเข้าใจให้เพื่อนทราบ 7. สรุปผลโครงการ รายงานผลการดำเนินงานกับอาจารย์ผู้สอน 5.ประโยชน์ที่ได้รับ 1. สามารถพัฒนาทักษะการอ่านของนักเรียน 2. นักเรียนมีความสนใจในการเรียนมากขึ้น เนื่องจากสื่อมีความน่าสนใจ 3. สามารถเป็นแรงจูงใจให้นักเรียนมีนิสัยรักการอ่าน 6.นิยามศัพท์ 1.สื่อการสอน หมายถึง วัสดุ อุปกรณ์ หรือวิธีการใด ๆ
ก็ตามที่เป็นตัวกลางหรือพาหะ 2.คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) หมายถึง สื่อการเรียนการสอนทางคอมพิวเตอร์รูปแบบหนึ่ง ซึ่งใช้ความสามารถของคอมพิวเตอร์ในการนำเสนอสื่อประสมอันได้แก่ ข้อความ ภาพนิ่ง กราฟิก แผนภูมิ กราฟ วีดีทัศน์ ภาพเคลื่อนไหว และเสียง เพื่อถ่ายทอดเนื้อหาบทเรียน หรือองค์ความรู้ในลักษณะที่ ใกล้เคียงกับการสอนจริงในห้องเรียนมากที่สุดโดยมีเป้าหมายที่สำคัญก็คือ สามารถดึงดูดความสนใจของผู้เรียน และกระตุ้นให้เกิดความต้องการที่ จะเรียนรู้ 3. สื่อการเรียนรู้ หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวผู้เรียนที่ช่วยผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็นวัสดุ อุปกรณ์ วิธีการ คน สัตว์ สิ่งของ หรือแนวความคิดที่ถ่ายทอดความรู้ ความเข้าใจ เพิ่มประสบการณ์ หรือเป็นเครื่องมือที่กระตุ้นให้เกิดการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง โครงงานภาษาไทยสะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนพระจันทร์ศรีสุข อำเภอศรีณรงค์ จังหวัดสุรินทร์ ได้ศึกษาและรวบรวมเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องดังนี้ 1. การจัดการเรียนการสอนแบบเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ 1.1 ปรัชญาในการจัดเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ วัฒนาพร ระงับทุกข์ ( 2540 : 10-12 ) ได้รวบรวมปรัชญาในการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ดังนี้ 1. ปรัชญาพิพัฒนนิยม ( Progressivism ) มองว่าการศึกษาจะต้องพัฒนาผู้เรียนทุกด้าน ทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม อาชีพ และสติปัญญา สิ่งที่เรียนควรเป็นประโยชน์สัมพันธ์ สอดคล้องกับชีวิตประจำวันและสังคมของผู้เรียนให้มากที่สุด รวมทั้งส่งเสริมความเป็นประชาธิปไตยทั้งในและนอกห้องเรียน และส่งเสริมให้ผู้เรียนได้รู้จักตนเองและสังคม เพื่อผู้เรียนจะได้ปรับตัวให้เข้ากับสังคมได้อย่างมีความสุข ไม่ว่าสังคมจะเปลี่ยนไปอย่างใดก็ตาม ผู้เรียนจะต้องรู้จักแก้ปัญหาได้ ครูในปรัชญานี้ ทำหน้าที่เตรียม แนะนำและให้คำปรึกษาเป็นหลักสำคัญ ครูอาจจะเป็นผู้รู้ แต่ไม่ควรไปกำหนดหรือกะเกณฑ์ ( Dictate ) ให้เด็กทำตามอย่าง และควรเป็นผู้สนับสนุนให้เด็กได้เรียนรู้เข้าใจและเห็นจริงด้วยตนเอง สำหรับผู้เรียน ปรัชญาสาขานี้ให้ความสำคัญกับผู้เรียนมาก เพราะถือว่าการเรียนรู้นั้นจะเกิดได้ดีก็ต่อเมื่อผู้เรียนได้ประสบการณ์ตรง หรือลงมือทำด้วยตนเอง ( Learning by doing ) และได้ทำงานร่วมกัน ( Participation ) เพื่อให้การเรียนการสอนตรงตามความต้องการ เหมาะสมกับความถนัดและความสามารถของผู้เรียนมากขึ้น ในขณะเดียวกัน ก็อยู่ร่วมกับคนอื่นได้มากขึ้นด้วย 2. ปรัชญาปฏิรูปนิยม ( Reconstructionism ) จุดมุ่งหมายหลักของการศึกษาในแนวทางนี้คือการศึกษาจะต้องเป็นไปเพื่อการปรับปรุง พัฒนา และสร้างสรรค์สังคมใหม่ที่ดีและเหมาะสมกว่าเดิม ครูในปรัชญานี้จะต้องเป็นนักบุกเบิก เป็นนักแก้ปัญหา สนใจและใฝ่รู้ในเรื่องของสังคม และปัญหาสังคมอย่างกว้างขวางและเอาจริงเอาจัง ในขณะเดียวกันก็ต้องสนใจในวิชาการควบคู่กันกันไป ครูจะต้องมีทักษะในการรวบรวม สรุป และวิเคราะห์ปัญหาให้ผู้เรียนเห็นได้ ในขณะเดียวกันก็แนะนำให้ผู้เรียนศึกษาทำความเข้าใจเรื่องของสังคมรอบตัวได้ ลักษณะที่สำคัญของครูในปรัชญานี้อีก มีความเป็นประชาธิปไตย ครูไม่ใช่ผู้รู้คนเดียว ไม่ใช่ผู้ชี้ทางแต่เพียงคนเดียว แต่ควรให้ทุกคนมีส่วนร่วมกันคิดพิจารณาเพื่อแก้ปัญหาต่าง ๆ และจะต้องเห็นความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงแก้ไข ผู้เรียนในปรัชญากลุ่มนี้แตกต่างไปจากปรัชญาพิพัฒน์นิยมอยู่มาก ตรงที่จะเห็นประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองน้อยลง แต่เห็นประโยชน์ของสังคมมากขึ้น เด็กจะได้รับการปลูกฝังให้ตระหนักในคุณค่าของสังคม เรียนรู้วิธีการทำงานร่วมกันเพื่อเป้าหมายในการแก้ปัญหาของสังคมในอนาคต ผู้เรียนจะได้รับการฝึกฝนให้รู้จักเทคนิคและวิธีการต่างๆ ที่จะทำความเข้าใจและแก้ปัญหาของสังคม ในแนวทางของประชาธิปไตย 3. ปรัชญาอัตถิภาวะนิยม ( Existentialism ) ปรัชญาการศึกษานี้ เห็นว่าในสภาวะของโลก ปัจจุบันมีสรรพสิ่งหรือทางเลือกมากมายเกินความสามารถที่มนุษย์เราจะเรียนรู้ จะศึกษา และจะมีประสบการณ์ได้ทั่วถึง ฉะนั้นมนุษย์เราควรจะมีสิทธิหรือโอกาสที่จะเลือกเรียนหรือศึกษาสรรพสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวของตัวเองมากกว่าที่จะให้ใครมาป้อนหรือมอบให้ กระบวนการเรียนการสอนยึดหลักให้ผู้เรียนได้มีโอกาสรู้จักตนเอง โดยมีครูเป็นผู้กระตุ้นโดยใช้คำถามนำไปสู้เป้าหมายที่ผู้เรียนแต่ละบุคคลต้องการ ซึ่งเป็นการจัดการศึกษาที่เน้นผู้เรียนมีความรับผิดชอบในหน้าที่ของตน 4. ปรัชญาการศึกษาตามแนวพุทธศาสนา ( Buddhistisc Philosophy of Education ) เป็นปรัชญาที่อาศัยหลักไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญาในการอธิบายเรื่องของชีวิตโลก และ ปรากฏการณ์ต่าง ๆ โดยเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีปัญหา ไม่มีตัวตน และไม่มีอะไรที่ยั่งยืนโดยไม่เปลี่ยน ทั้งยังเชื่อว่า มนุษย์เกิดมาตามแรงกรรม ซึ่งรวมทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว ( Innately good and bad ) กรรมและการกระทำของมนุษย์เกิดขึ้นจากตัณหาหรือกิเลสซึ่งมีอยู่ในตัวมนุษย์ แต่มนุษย์มีศักยภาพที่จะสามารถขจัดกิเลสและควบคุมพฤติกรรมของตนให้เป็นไปในแนวทางที่ดี จุดมุ่งหมายของการเรียนการสอน จะมุ่งให้ผู้เรียนเป็นผู้กระทำเอง เรียนรู้ด้วยตนเอง แนวคิดในการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญวัฒนาพร ระงับทุกข์ ( 240 : 19-20 ) ได้รวบรวมแนวคิดของนักการศึกษาเกี่ยวกับการจัดการเรียน การสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ไว้ดังต่อไปนี้ อัจฉรา วงศ์โสธร กล่าวว่า การเรียนที่มีผู้เรียนเป็นศุนย์กลางของกระบวนการเรียนการสอนนั้น ครูผู้สอนจะเป็นผู้อำนวยการเรียนรู้ ช่วยเอื้อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ขึ้นได้ โดยการเตรียมการด้านเนื้อหา วัสดุอุปกรณ์ สื่อการเรียนต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับผู้เรียน ตลอดจนเป็นผู้คอยสอดส่อง สำรวจในขณะผู้เรียนฝึก และให้ข้อมูลป้อนกลับ เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถแก้ไขปรับปรุงตนเองและเกิดพัฒนาการขึ้น สงบ ลักษณะ กล่าวว่า การจัดการเรียนการสอนที่นักเรียนได้รับการยอมรับนับถือในการเป็นเอกัตตบุคคล ได้เรียนด้วยวิธีที่เหมาะสมกับความสามารถ ได้เรียนสิ่งที่สนใจ ต้องการหรือประโยชน์ ได้ปฏิบัติตากระบวนการเพื่อการเรียนรู้ ได้รับการเอาใจใส่ ประเมิน และช่วยเหลือเป็นรายบุคคล และได้รับการพัฒนาเต็มศักยภาพ และสำเร็จตามอัตภาพ โกวิท ประวาลพฤกษ์ กล่าวว่า กระบวนการเรียนรู้ตามหลักสูตร หมายถึง กระบวนการใดๆ ที่ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้กระบวนการ เช่น กระบวนการกลุ่มทักษะ กระบวนการ 9 ขั้น กระบวนการสร้างความตระหนัก กระบวนการสร้างเจตคติ โกวิท วรพิพัฒน์ กล่าวว่า การเรียนการสอนที่พึงประสงค์ หมายถึง กระบวนการพัฒนาให้ผู้เรียนคิดเป็น ทำเป็น และแก้ปัญหาเป็น ทิศนา แขมมณี ได้เสนอหลักในการจัดเรียนการสอน ที่เน้นนักเรียนเป็นสำคัญ ซึ่ง การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนควรมีคุณสมบัติดังนี้ ช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนในกระบวนการเรียนรู้ให้ผู้เรียนเป็นผู้สร้าง ( construct ) ความรู้ด้วย ตนเอง ทำความเข้าใจ สร้างความหมายของสาระข้อความรู้ให้แก่ตนเอง ค้นพบข้อมูลความรู้ด้วยตนเอง 2. ช่วยให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ ( Interaction ) ต่อกันและได้เรียนรู้จากกันและกันได้แลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ ความคิดและประสบการณ์แก่กันและกันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ 3. ช่วยให้ผู้เรียนมีบทบาท มีส่วนร่วม ( Participation ) ในกระบวนการเรียนรู้ให้มากที่สุด 4. ช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ “ กระบวนการ “ ( process ) ควบคู่ไปกับ “ ผลงาน “ ( Product ) 5. ช่วยให้ผู้เรียนนำความรู้ที่ได้ไปใช้ลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ( Application ) วิเศษ ชินวงศ์ ( 2544 : 35 ) ได้รวบรวมแนวคิดเกี่ยวกับการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้ 1. สมองของมนุษย์มีศักยภาพในการเรียนรู้สูงสุด ผู้เรียนต้องอาศัยระบบประสาทสัมผัส คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ ผู้สอนต้องสนใจและให้ผู้เรียนได้พัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างสมอง ( Head ) จิตใจ ( Heart ) และสุขภาพองค์รวม ( Health ) 2. ความหลากหลายของสติปัญญา หรือพหุปัญญา จัดกระบวนการเรียนรู้ควรจัดกิจกรรมที่หลากหลายเพื่อส่งเสริมศักยภาพความเก่ง ความสามารถของผู้เรียนเป็นรายบุคคล เพื่อให้แต่ละคนได้พัฒนาความถนัด ความเก่งตามศักยภาพของตน 3. การเรียนรู้เกิดจากประสบการณ์ตรง สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ ( วิเศษ ชินวงศ์. 2544 : 35 ) ได้รวบรวมแนวคิดทางทฤษฏีการเรียนรู้และเสนอแนวทางการจัดกระบวนการเรียนรู้ ดังนี้ 1. จัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับความแตกต่างระหว่างบุคคล ให้ผู้เรียนได้พัฒนาเต็มความสามารถทั้งด้านความรู้ จิตใจ อารมณ์ และทักษะต่าง ๆ 2. ลดการถ่ายทอดเนื้อหาวิชาลง ผู้เรียนกับผู้สอนควรมีบทบาทร่วมกันใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ในการแสวงหาความรู้ ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริงที่เป็นประโยชน์และสัมพันธ์กับชีวิตจริง เรียนรู้ความจริงในตนเองและความจริงในสิ่งแวดล้อมจากแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย 3. กระตุ้นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการทดลองปฏิบัติด้วยตนเอง ครูทำหน้าที่เตรียมการจัดสิ่งเร้า ให้คำปรึกษา วางแนวกิจกรรม และประเมินผล และนงเยาว์ แข่งเพ็ญแข ( 2540 : 35 ) กล่าวว่า การปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้ จะต้องปรับเปลี่ยนอย่างจริงจังโดยให้ผู้เรียนเป็นสำคัญ เน้นการคิด การวิเคราะห์ การวิจัย สร้างองค์ความรู้ได้ และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ มีนักการศึกษาท่านอื่น ๆ ที่ให้แนวคิดเกี่ยวกับหลักในการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญไว้ดังต่อไปนี้ ดอนน่า แบรด์ และพอล กินนิส ( Brandes and Ginnis. 1988 : 163 ) กล่าวว่า การเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ คือ ระบบการจัดการเรียนรู้ซึ่งผู้เรียนเป็นหัวใจสำคัญ ด้วยความเชื่อที่ว่า มนุษย์ทุกคนมีสิทธิที่จะบรรลุศักยภาพสูงสุดของตนเอง ผู้เรียนจะได้รับการส่งเสริมให้เข้าร่วมและรับผิดชอบการเรียนรู้ของตน แฮลมัท แลงค์ ( Lang. 1995 : 148 ) และคนอื่น ๆ ได้เสนอหลักในการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ว่าเป็นแนวทางที่จะช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เนื้อหาครบถ้วน ด้วยวิธีการของแต่ละบุคคลที่อาจแตกต่างกันไปเป็นการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เข้าร่วมในการเรียนรู้อย่างกระตือรือร้น และมีปฏิสัมพันธ์ ซึ่งกันและกันแมกซี่ ดิสโคลส์ ( Driscoll. 1994 : 78 ) มองการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ กล่าวว่า ผู้เรียนมิได้เป็นเพียงผู้รับการเรียนการสอนที่ผู้อื่นออกแบบให้เท่านั้น แต่พวกเขาจะต้องเข้าร่วมอย่างกระตือรือร้น ในการกำหนดสิ่งที่ต้องการเรียน และวิธีการที่ความต้องการเหล่านั้นจะสัมฤทธิ์ผลด้วย เมื่อประมวลแนวคิดของนักการศึกษาที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นว่า แนวคิดการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ คือ แนวทางในการเสริมสร้างและพัฒนาศักยภาพของผู้เรียน โดยให้ผู้เรียนเป็นสำคัญในการพัฒนา ผู้เรียนสามารถเลือกเรียนได้ตามความต้องการ ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการวางแผนการเรียนรู้ และการลงมือปฏิบัติ ผู้เรียนได้เรียนกระบวนการควบคู่ไปกับผลงาน ผู้เรียนเป็นผู้สร้างความรู้ด้วยตนเองและสามารถแก้ไขปรับปรุงตนเองและเกิดการพัฒนาการเรียนรู้ หลักการในจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ วัฒนา ระงับทุกข์ ( 2542 : 3-4 ) ได้เสนอหลักการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็น สำคัญ ดังนี้ 1. ผู้เรียนมีบทบาทรับผิดชอบต่อการเรียนรู้ของตน ผู้เรียนเป็นผู้เรียนรู้ ครูมีบทบาทเป็นผู้สนับสนุนการเรียนรู้ และให้บริการด้านความรู้แก่ผู้เรียน ผู้เรียนจะรับผิดชอบตั้งแต่การเลือกการวางแผนสิ่งที่ตนจะเรียน หรือการเข้าไปมีส่วนร่วมในการเลือก และจะเริ่มต้นการเรียนรู้ด้วยตนเอง ด้วยการศึกษาค้นคว้า รับผิดชอบการเรียนตลอดจนประเมินผลการเรียนรู้ด้วยตนเอง 2. เนื้อหาวิชามีความสำคัญ และมีความหมายต่อการเรียนรู้ในการออกแบบ กิจกรรมการเรียนรู้ปัจจัยสำคัญที่จะต้องนำมาพิจารณาประกอบด้วยเนื้อหาวิชา ประสบการณ์เดิม และความต้องการของผู้เรียน การเรียนรู้ที่สำคัญและมีความหมายจึงขึ้นอยู่กับสิ่งที่สอน ( เนื้อหา ) และวิธีที่ใช้สอน ( เทคนิคการสอน ) 3. การเรียนรู้จะประสบผลสำเร็จ หากผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ ผู้เรียนจะได้รับความสนุกสนานจากการเรียน หากได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ ได้ทำงานร่วมกับเพื่อน ๆ ได้ค้นพบข้อคำถามและคำตอบใหม่ ๆ สิ่งใหม่ ๆ ประเด็นที่ท้าทายและความสามารถในเรื่องใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น รวมทั้งการบรรลุผลสำเร็จของงานที่พวกเขาริเริ่มด้วยตนเอง 4. สัมพันธภาพที่ดีระหว่างผู้เรียน การมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีในกลุ่มจะช่วยส่งเสริม ความเจริญงอกงาม การพัฒนาความเป็นผู้ใหญ่ การปรับปรุงการทำงาน และการจัดการกับชีวิตของแต่ละบุคคล สัมพันธภาพที่เท่าเทียมกัน ระหว่าสมาชิกในกลุ่มจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยส่งเสริมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันของผู้เรียน 5. ผู้เรียนได้เห็นความสามารถของตนในหลาย ๆ ด้าน การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญมุ่งให้ผู้เรียนมองเห็นความสามารถของตนในแง่มุมที่แตกต่างกันออกไป ผู้เรียนจะมีความมั่นใจในตนเองและควบคุมตนเองได้มากขึ้น สามารถเป็นในสิ่งที่อยากเป็น มีวุฒิภาวะสูงมากขึ้น ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตนให้สอดคล้องกับสิ่งแวดล้อมและมีส่วนร่วมกับเหตุการณ์ต่าง ๆ มากขึ้น 6. ผู้เรียนได้พัฒนาประสบการณ์การเรียนรู้หลาย ๆ ด้านพร้อมกันไป การเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาผู้เรียนหลาย ๆ ด้าน คุณลักษณะด้านความรู้ ความคิด ด้านการปฏิบัติและด้านอารมณ์ ความรู้สึกจะได้รับการพัฒนาไปพร้อม ๆ กัน 7. ครูเป็นผู้อำนวยความสะดวกและเป็นผู้ให้บริการความรู้ ในการจัดการเรียนรู้แบบเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ครูจะต้องมีความสามารถที่จะค้นพบความต้องการที่แท้จริงของผู้เรียน เป็นแหล่งความรู้ที่ทรงคุณค่าของผู้เรียน และสามารถค้นคว้าจัดหาสื่อวัสดุอุปกรณ์ที่เหมาะสมกับผู้เรียน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือครูจะต้องเต็มใจที่จะช่วยเหลือผู้เรียน เป็นกัลยาณมิตรของผู้เรียน จากหลักการดังกล่าว สรุปได้ว่า การจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ คือ ผู้เรียนต้องรับผิดชอบต่อการเรียนรู้ของตนเอง การเรียนรู้ที่สำคัญขึ้นอยู่กับสิ่งที่สอน ( เนื้อหา ) และวิธีที่ใช้สอน ( เทคนิคการสอน ) การเรียนรู้จะประสบความสำเร็จผู้เรียนต้องมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้และสัมพันธภาพที่ดีระหว่างสมาชิกแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน และผู้เรียนได้เห็นความสามารถของตนเองพร้อมกับได้พัฒนาประสบการณ์การเรียนรู้ในหลาย ๆ ด้านไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งครูจะเป็นผู้อำนวยความสะดวกเป็นผู้ให้บริการความรู้แก่เด็ก หลักการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ( วัฒนาพร ระงับทุกข์ , 2540 : 21 ) เพื่อให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างได้ผล การจัดประสบการณ์เรียนรู้ควรยึดหลักต่อไปนี้ 1.3.1.1 ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง เพื่อให้ผู้เรียนมีโอกาสเข้าร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอนอย่างทั่วถึง และมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ การที่ผู้เรียนมีบทบาทเป็นผู้กระทำจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความพร้อมและกระตือรือร้นที่จะเรียนอย่างมีชีวิตชีวา และรับผิดชอบต่อการเรียนรู้ของตน 1.3.1.2 ยึดกลุ่มเป็นแหล่งความรู้ที่สำคัญ โดยให้ผู้เรียนมีโอกาสไปปฏิสัมพันธ์กันในกลุ่มได้พูดคุย ปรึกษาหารือและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ซึ่งกันและกัน ข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมของตนเองและผู้อื่น และการเรียนรู้จะปรับตัวให้สามารถอยู่ในสังคมร่วมกับผู้อื่นได้ดี 1.3.1.3 ยึดการค้นพบด้วยตนเอง เป็นวิธีการสำคัญ การเรียนรู้โดยผู้สอนพยายามจัดการสอนที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ค้นพบคำตอบด้วยตนเอง ทั้งนี้เพราะการค้นพบความจริง ใด ๆ ด้วยตนเองนั้นผู้เรียนมักจะจดจำได้ดี และมีความหมายโดยตรงต่อผู้เรียน และเกิดความคงทนของความรู้ 1.3.1.4 เน้นกระบวนการ ( Process ) ควบคู่ไปกับผลงาน ( Product ) โดยการส่งเสริม ให้ผู้เรียนได้วิเคราะห์ถึงกระบวนการต่าง ๆ ที่จะทำให้เกิดผลงาน มิใช่มุ่งจะพิจารณาถึงผลงานแต่เพียงอย่างเดียว เพราะประสิทธิภาพของผลงานขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของกระบวนการ 1.3.1.5 เน้นการนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน โดยให้ผู้เรียนได้มีโอกาสคิดหาแนวทางที่จะนำความรู้ ความเข้าใจไปใช้ในชีวิตประจำวัน พยายามส่งเสริมให้เกิดปฏิบัติจริง และพยายามติดตามผลการปฏิบัติของผู้เรียน จากหลักการจัดประสบการณ์เรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ สรุปได้ว่า ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางเป็นไปอย่างมีชีวิตชีวา ยึดกลุ่มเป็นแหล่งความรู้ที่สำคัญเกิดการแลกเปลี่ยนความคิดยึดการค้นพบด้วยตนเอง เป็นการสร้างความรู้ความเข้าใจด้วยตนเองและจดจำได้ดี เน้นกระบวนการควบคู่กันไปพร้อมกับผลงานและเน้นการนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน 2. การจัดการเรียนการสอนแบบประสานห้าแนวคิดหลัก รูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบประสานห้า แนวคิดหลักหรือแบบซิปปา ( CIPPA MODEL ) รูปแบบการจัดการเรียนการสอนสำคัญที่กำลังได้รับความสนใจก็คือการจัดการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางแบบซิปปา CIPPA หรือแบบประสาน 5 แนวคิดหลักที่พัฒนาโดย รศ. ดร. ทิศนา แขมณี สาระสำคัญของหลักการสอนแบบ CIPPA ซึ่งระบุไว้ว่าในการจัดการเรียนการสอนโดยให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง จะต้องประกอบด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ ดังนี้ 1. นักเรียนจะต้องมีส่วนร่วมในการสร้างความรู้ ( Construction ) แนวคิดการสรรค์สร้างความรู้ หมายถึง การส่งเสริมให้ผู้เรียนสร้างความรู้ตามแนวคิดของ ( Constructivism ) การมีโอกาสปฏิสัมพันธ์และเรียนรู้จากผู้อื่น ( Interaction ) นักเรียนจะมีโอกาสพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นหรือความรู้กันภายในกลุ่ม ในห้องเรียน ในโรงเรียน หรือในชุมชนที่นักเรียนอยู่ เรียกว่าเป็นการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม นอกจากจะได้รับความรู้ ยังมีโอกาสเรียนรู้การอยู่ด้วยกันในสังคมหรือการปฏิสัมพันธ์ทางอารมณ์ คือมีโอกาสรับรู้ความรู้สึกจากสิ่งต่าง ๆ หรือมีอารมณ์ร่วมต่อเหตุการณ์ได้ด้วยตนเอง 3. นักเรียนจะต้องมีการเคลื่อนไหวร่างกาย ( Physical Praticipation ) นักเรียนได้มีโอกาสแสดง บทบาทในกิจกรรมการเรียนการสอนโดยเคลื่อนไหวร่างกาย เพื่อช่วยให้ประสาทรับรู้ของผู้เรียนตื่นตัว กระฉับกระเฉง นักเรียนจะได้มีส่วนร่วมทางร่างกายและเกิดความพร้อมในการเรียนรู้ 4. นักเรียนจะต้องได้เรียนรู้เกี่ยวกับกระบวนการ ( Process Learning ) นักเรียนได้มีโอกาส ใช้กระบวนการเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ หรือการได้รับความรู้จากการตอบคำถาม การอภิปราย การแลกเปลี่ยนความรู้จากเพื่อน เป็นการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้กระบวนการต่าง ๆ อันเป็นเครื่องมือที่ผู้เรียนสามารถนำไปใช้ได้ตลอดชีวิตนักเรียนจะต้องมีโอกาสนำความรู้ไปใช้ ( application ) นักเรียนมีโอกาสนำความรู้ที่สร้างขึ้นเองไปใช้ประโยชน์ในสถานการณ์อื่น ๆ ที่มีความคล้ายคลึงหรือเกี่ยวข้องกัน การส่งเสริมให้ผู้เรียนนำความรู้ที่ได้เรียนรู้ไปประยุกต์ใช้อันจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการถ่ายโอนการเรียนรู้ ( นวลจิตต์ เชาวกีรติพงศ์ . 2542 : 16-17 ) ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบซิปปากรมวิชาการ ( 2544 : 64-65 ) กล่าวว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามรูปแบบซิปปา มีองค์ประกอบสำคัญ ดังกล่าว ครูสามารถเลือกรูปแบบ วิธีสอน หรือกิจกรรมใด ๆ ก็ได้ที่สามารถทำให้ผู้เรียนเกิดการถ่ายโอนการเรียนรู้ตามองค์ประกอบทั้ง 5 การจัดกิจกรรมสามารถจัดกิจกรรมใดก่อน - หลัง ได้โดยมิต้องเรียงลำดับ และเพื่อให้ครูผู้สอนที่ต้องการนำหลักการของรูปแบบซิปปาได้สะดวก รศ. ดร. ทิศนา แขมมณี ได้จัดลำดับขั้นตอนการสอนเป็น 7 ขั้น ดังนี้ 1. ขั้นการตรวจสอบความรู้เดิม ( Cl ) - ผู้เรียนแสดงความรู้เดิมของตนที่จำเป็นในการสร้างความรู้ใหม่ - ผู้เรียนตรวจสอบและปรับแก้ไขความรู้เดิมของตนให้ถูกต้อง - ผู้เรียนได้รับการกระตุ้นท้าทายให้ไตร่ตรองเพื่อสร้างความรู้ใหม่ 2. ขั้นการสร้างความรู้ใหม่จากประสบการณ์ที่เป็นรูปธรรม ( ClPP ) - ผู้เรียนร่วมปฏิบัติกิจกรรมที่มุ่งให้ประสบการณ์ที่เป็นรูปธรรมด้วยการลงมือ กระทำที่สอดคล้องกับชีวิตประจำวัน - ผู้เรียนใช้กระบวนการทักษะ ในการทำความเข้าใจและสร้างความหมายแก่ ขอมูล จาก กาปฏิบัติกิจกรรม - ผู้เรียนสรุปและบันทึกข้อค้นพบเกี่ยวกับหลักการความรู้ ความคิดรวบยอด เป็นความรู้ใหม่ของตน 1. ขั้นศึกษาความเข้าใจความรู้ใหม่และเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิม ( CIPP ) - ผู้เรียนสร้างความหมายของข้อมูลหรือประสบการณ์ใหม่ - ผู้เรียนสรุปความเข้าใจแล้วเชื่อมโยงกับความรู้เดิม 2. ขั้นแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจ ( CIPP ) - ผู้เรียนนำเสนอความรู้ใหม่ที่ได้แก่กลุ่ม - ผู้เรียนตรวจสอบความรู้จากแหล่งการเรียนรู้ต่าง ๆ - ผู้เรียนนำความรู้ที่ได้ไปทดลองใช้ เพื่อแลกเปลี่ยน ตรวจสอบ - ขยายประสบการณ์ให้ถูกต้องสมบูรณ์ยิ่งขึ้น 3. ขั้นสรุปและจัดระเบียบความรู้ ( CIPPA ) - ผู้เรียนสรุปประเด็นสำคัญทั้งหมด ทั้งความรู้ใหม่และเก่า - ผู้เรียนนำความรู้ที่ได้มาเรียบเรียงให้ได้ใจความสาระสำคัญครบถ้วน เพื่อสะดวกแก่การจดจำ 4. ขั้นแสดงผลงาน ( CIPPA ) - ผู้เรียนแสดงผลงานการสร้างความรู้ด้วยตนเอง - ผู้เรียนได้ตรวจสอบความรู้ ความเข้าใจของตนเองด้วยการได้รับข้อมูล ย้อนกลับจากผู้อื่น 5. ขั้นประยุกต์ใช้ความรู้ ( CIPPA ) - ผู้เรียนนำความรู้ไปใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ - ผู้เรียนสามารถใช้ความคิดสร้างสรรค์สร้างผลงานต่าง ๆ จะเห็นได้ว่าการจัดกิจกรรมการสอนแบบห้าแนวคิดหลัก สามารถส่งเสริมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ ทั้งกาย สติปัญญา และสังคม ส่วนการมีส่วนร่วมในด้านอารมณ์นั้น จะเกิดควบคู่ไปกับทุกด้านอยู่แล้ว ถ้าผู้สอนสามารถจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแบบดังกล่าว การจักการเรียนรู้ก็จะมีลักษณะผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง 3. การสอนการเขียน การเขียนคำให้ถูกต้องเป็นสาขาหนึ่งของการเขียน การเขียนคำเป็นทักษะที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งต่อชีวิตประจำวัน และความเป็นอยู่ของบุคคลในยุคปัจจุบัน เพราะการเขียนคำให้ถูกต้องจะช่วยให้อ่านหนังสือออกและเขียนหนังสือได้ถูกต้อง ซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญของการเรียนวิชาต่าง ๆและเพื่อการศึกษาในระดับสูง ๆ ต่อไป ( สุนันท์ จงธนสารสมบัติ. 2525 : 146 ) ซึ่งความเห็นดังกล่าวตรงกับที่ รองรัตน์ อิสรภักดี และเทือก กุสุมา ณ อยุธยา กล่าวไว้ว่า การสอนเขียนคำเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นต้องรู้จักการเขียนคำที่ถูกต้องก่อนที่จะเขียนเป็นเรื่องเป็นราวได้ ( รองรัตน์ อิสรภักดี และเทือก กุสุมา ณ อยุธยา . 2526 : 145 ) ดังนั้นการจะสอนให้เด็กมีความสามารถในการเขียนคำ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับการเอาใจใส่ ความสนใจจากครูผู้สอน และส่งเสริมให้นักเรียนมีประสิทธิภาพทางการเขียนให้มากที่สุดเพื่อประโยชน์ดังกล่าว รองรัตน์ อิสรภักดี และ เทือก กุสุมา ณ อยุธยา ( 2526 : 126 ) ได้กล่าวถึงหลักการสอนเขียนต้องคำนึงถึงหลักการต่อไปนี้ 1. สอนคำที่อยู่ใกล้ตัวเด็กและสิ่งที่พบเห็นในชีวิตประจำวัน 2. สอนคำที่เด็กสนใจและเข้าใจความหมาย 3. ช่วยเหลือเด็กที่เรียนอ่อนเป็นพิเศษ เด็กบางคนยังจำสระและพยัญชนะไม่ได้ ย่อมจะเขียนคำไม่ได้ ดังนั้นครูจำเป็นต้องเอาใจใส่ให้เด็กจำสระและพยัญชนะให้ได้เสียก่อน นอกจากนี้ เมื่อเด็กเรียนการเขียนคำไปแล้วครูไปพบคำเหล่านี้ในวิชาอื่น ต้องทบทวนให้เด็กระลึกถึงคำนี้ด้วย เพื่อให้จำได้แม่นยำยิ่งขึ้น 4. ทุกครั้งที่สอนคำใหม่ต้องมีการทบทวนคำเก่าที่เรียนมาแล้วเสียก่อน 5. การทดสอบต้องทำกันอย่างสม่ำเสมอ เพื่อจะทราบว่าเด็กมีความสามารถในการเขียน คำมากน้อยเพียงใด 6. มีการบันทึกผลงานของเด็กแต่ละคนไว้ตั้งแต่เริ่มแรกเด็กเขียนคำได้มากน้อยเพียงใด เด็กพัฒนาขึ้นหรือไม่ 7. ดำเนินการสอนที่ถูกต้องให้แก่เด็ก โดยช่วยเหลือเด็กเป็นขั้น ๆ ดังนี้ 7.1 ให้เด็กได้ยินคำที่สะกดอย่างชัดเจน 7.2 ให้เด็กเขียนสะกดคำอย่างระมัดระวัง 7.3 ให้เด็กอ่านคำที่สะกด 7.4 ทบทวนคำที่สะกดนั้นว่าถูกต้องหรือไม่ 8. ครูเขียนคำใหม่ลงในกระดานแล้วให้นักเรียนลอกตาม ครูต้องเขียนให้ชัดเจน อ่าน ง่าย 9. เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กลอกผิด 10. เมื่อสะกดคำไปแล้ว เด็กคนใดสะกดผิดครูต้องแก้บนกระดานอย่างชัดเจน อ่านง่าย เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กลอกผิด นอกจากนี้ พิทซ์ เจอรัลด์ ( FitZgerald . 1967 : 38 ) ได้เสนอแนะลำดับขั้นการ เขียนคำไว้ดังนี้ 1. ต้องให้นักเรียนรู้ความหมายของคำนั้นเสียก่อน โดยครูเป็นผู้บอก หรือโดยอาศัย พจนานุกรม แล้วให้นักเรียนอภิปรายซ้ำ ข้อสำคัญ คำนั้นต้องเป็นคำที่ง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน 2. ต้องให้นักเรียนอ่านออกเสียงคำได้ถูกต้องชัดเจน จะช่วยให้นักเรียนรู้จักคำนั้นได้แม่นยำยิ่งขึ้นทั้งรูปคำ และการออกเสียง 3 ต้องให้นักเรียนเห็นรูปคำนั้น ๆ ว่าประกอบด้วย สระ พยัญชนะ อะไรบ้าง ถ้าเป็นคำหลายพยางค์ ควรแยกให้เด็กดูด้วย ถ้าทำได้ 4. ต้องให้นักเรียนลองเขียนคำนั้น ๆ ทั้งดูแบบและไม่ดูแบบ 5. ต้องสร้างสถานการณ์ให้นักเรียนนำคำนั้น ๆ ไปใช้ ซึ่งอาจใช้ในการเขียนบรรยายเรื่องราว หรือเขียนในกิจกรรมการเรียนที่เหมาะสมกับวัย ฮอร์น ( Horn . 1954 : 19 - 20 ) ได้เสนอแนะกิจกรรมการสอนเขียนเพื่อให้เด็กสนใจ และมีทัศนคติที่ดีต่อการสอนเขียนคำ ไว้ดังนี้ 1. ให้นักเรียนได้รู้ถึงคุณค่าในความสามารถของตน ที่จะนำการเขียนคำไปใช้กับวิชาอื่น ๆ 2. ให้นักเรียนเข้าใจถึงการเขียนคำในบทเรียนต่าง ๆ และมีการแก้ไขได้ถูกต้อง 3. ให้นักเรียนได้ทราบถึงผลการเขียนด้วยตนเอง ครูเป็นผู้กระตุ้นชี้แนะเท่านั้น 4. ในแต่ละสัปดาห์ครูทำแผนภูมิก้าวหน้าในการเขียนคำของนักเรียนแต่ละคน 5. ให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการตั้งจุดมุ่งหมายของการเขียน อันจะช่วยให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการแสดงความดิดเห็นและรับผิดชอบอีกด้วย 6. ครูและนักเรียนควรจะได้แสดงท่าทางประกอบเพื่ออธิบายความหมายของคำให้เข้าใจ ยิ่งขึ้นด้วย 7. นักเรียนที่เก่งได้ช่วยเหลือนักเรียนที่อ่อน ไพฑูรย์ ธรรมแสง ( 2519 : 23 - 24 ) ได้เสนอความคิดเห็นว่า วิธีการฝึกเขียน สะกดคำควรใช้กิจกรรมหลาย ๆ อย่างปนกัน เช่น 1. ก่อนอื่นต้องให้เด็กรู้จุดมุ่งหมายของการเขียนคำ เพื่อให้เด็กเขียนสะกดคำได้ถูกวรรคตอนและลายมือเป็นระเบียบเรียบร้อย 2. ให้เด็กรวบรวมคำที่เขียนผิดบ่อย ๆ จากหนังสือพิมพ์ ป้ายโฆษณา พร้อมทั้งอธิบายได้ว่าผิดตรงไหน 3. ให้มีการสะกดตัวบนกระดานดำ 4. ให้ช่วยกันเขียนคำยากด้วยอักษรงาม ๆ ปิดแผ่นป้ายประกาศในห้องเรียน 5. ผูกคำยากเป็นร้อยกรองให้ท่องจำ 6. ส่งเสริมให้เปิดพจนานุกรมเมื่อสงสัย 7. กำหนดศัพท์ให้เขียนเป็นประโยค หรือเป็นเรื่องราว 8.ใช้กิจกรรมเขียนประกาศ โฆษณา ชี้แจงการเขียนรายงาน เป็นกิจกรรมร่วมกับการ เขียนคำบอก 9. ถ้าบอกให้เขียนเป็นเรื่องราว ต้องให้เด็กทำความเข้าใจเรื่องที่จะเขียนได้อีกด้วยก่อน รวมทั้งคำศัพท์ที่ยากด้วย 10. เมื่อเขียนผิด ชี้แจงให้เด็กทราบว่าผิดอย่างไร แล้วแก้ไข การเขียนคำที่ถูกต้องนั้น คือความสามารถเขียนคำโดยเรียงได้ลำดับพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ ตัวสะกดได้ถูกต้อง การสอนเขียนคำเป็นทักษะที่ต้องอาศัยการฝึกฝนจึงต้องใช้กิจกรรมหลายๆ อย่าง เพื่อให้เด็กเกิดความเพลิดเพลิน และจดจำคำต่าง ๆ ได้แม่นยำ และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ด้านอื่น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย การจัดการเรียนการสอนในปัจจุบัน มุ่งเน้นให้ผู้เรียนเป็นสำคัญในการเรียนรู้ ซึ่งเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ. ศ. 2542 ในมาตรา 22 ดังนี้ มาตรา 22 การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่า ผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2545) จากสาระตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ. ศ. 2542 มาตรา 22 ดังกล่าว จะเห็นว่าสื่อการเรียนการสอน นับว่าเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งที่จะส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ได้หรือผู้เรียนเป็นสำคัญ สื่อการเรียนการสอนประเภท “คอมพิวเตอร์ช่วยสอนเอง นับว่าเป็นสื่อประเภทหนึ่งที่ให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูง ทั้งนี้ เนื่องจากคอมพิวเตอร์ช่วยสอนมีคุณสมบัติในการนำเสนอแบบหลายสื่อ (Multimedia) ด้วยคอมพิวเตอร์ และการเรียนที่ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือเป็นเพิ่มความน่าสนใจให้แก่ผู้เรียน ความหมายของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน บทที่ 3 วิธีการดำเนินงานโครงงาน ผู้จัดทำโครงงานมีวิธีดำเนินงานโครงงาน ตามขั้นตอนดังต่อไปนี้ 3.1 วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือหรือโปรแกรมหรือที่ใช้ในการทำโครงงานคอมพิวเตอร์เรื่อง พัฒนาการเทคโนโลยีสารสนเทศ 3.1.1 เครื่องคอมพิวเตอร์ พร้อมเชื่อมต่อระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต 3.1.2 เว็บไซต์ที่ใช้ในการติดต่อสื่อสาร เช่น www.google.com 3.2 ขั้นตอนการดำเนินงาน 3.2.1 คิดหัวข้อโครงงานเพื่อนำเสนอครูที่ปรึกษาโครงงาน 3.2.2 ศึกษาและค้นคว้าข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่สนใจ ว่ามีเนื้อหามากน้อยเพียงใด และต้อง ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมเพียงใดจากเว็บไซต์ต่างๆ และบันทึกเก็บข้อมูลที่ได้ศึกษาและค้นคว้าจากเว็บไซต์หรือหนังสือต่างๆ ไว้เพื่อจัดทำเนื้อหาต่อไป 3.2.3 ศึกษาการสร้างเว็บบล็อกที่สร้างจากเว็บไซต์หรือหนังสือต่างๆ ที่นำเสนอเทคนิค วิธีการสร้างเว็บบล็อก 3.2.4 จัดทำโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์ 3.2.5 นำร่างโครงงานคอมพิวเตอร์ส่งให้ครูที่ปรึกษาโครงงานดูว่าใช้ได้หรือไม่ 3.2.6 ปฏิบัติการจัดทำโครงงานคอมพิวเตอร์เรื่องพัฒนาการเทคโนโลยีสารสนเทศโดยการทำลงใน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) คืออะไร? คุณลักษณะสำคัญของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) ประโยชน์ของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) ข้อพึงระวังของการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน บทที่ 4 ผลการดำเนินงาน จากโครงงานภาษาไทยสะกดคำผลการดำเนินงานที่ได้จากการทดสอบแบบฝึกการเขียนสะกดคำ ก่อนและหลังฝึกเรียนของนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง ได้ผลการดำเนินงานวิเคราะห์ข้อมูลดังนี้ ตารางที่ 1 แสดงคะแนนที่นักเรียนทดสอบจากคะแนนเต็ม 20 คะแนน
ตารางที่ 2 แสดงคะแนนที่นักเรียนสอบได้จากคะแนนเต็ม 20 คะแนน
บทที่ 5 สรุป อภิปรายและข้อเสนอแนะ จากโครงงานภาษาไทยสะกดคำนักเรียนที่เขียนสะกดคำไม่ถูกต้อง ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ของโรงเรียนพระจันทร์ศรีสุข จำนวน 5 คน พบว่าการใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำ ทำให้ผลสัมฤทธิ์ในการเขียนสะกดคำภายหลังการทดลองสูงกว่าผลสัมฤทธิ์ในการเขียนสะกดคำก่อนทดลอง ร้อยละ 56 อยู่ในเกณฑ์พอใช้ เพิ่มขึ้น จากเดิม ร้อยละ 24 ซึ่งแต่ละคนมีคะแนนสูงขึ้นคือ 1. เด็กชายธีรเมธ ศิริสมบัติ ป.1/1 เพิ่มขึ้นร้อยละ 25 2. เด็กชายชนวีร์ งามขำ ป.1/2 เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 3. เด็กชายชยุต เจริญสุวรรณ ป.1/1 เพิ่มขึ้นร้อยละ 25 4. เด็กชายศุภกฤษ เต่ารั้ง ป1/1 เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 5. เด็กหญิงชลธิชา เหลือเริ่มวงศ์ ป.1/2 เพิ่มขึ้นร้อยละ 20 ซึ่งผลการวิจัยในครั้งนี้เป็นไปตามสมมุติฐานที่ตั้งไว้ แสดงว่าการใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำ ทำให้นักเรียนมีความสามารถในการเขียนสะกดคำสูงขึ้น ข้อเสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะในด้านการเรียนการสอน 1.1 จากผลการดำเนินงาน พบว่า แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำยากทำให้นักเรียนเกิดการ เรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงควรได้รับการส่งเสริมให้ครูผู้สอนได้มีการสร้างแบบ ฝึกโดยวิเคราะห์คำมาก่อนว่าคำใดเป็นคำยากสำหรับนักเรียนและใช้แบบฝึกเข้าช่วยใน การสอนสะกดคำ จะเป็นการช่วยลดภาระและเวลาในการสอนของครูลงไปได้ เพราะ แบบฝึกลักษณะนี้สามารถใช้สอนนอกเวลาได้และเด็กเรียนด้วยตนเองเป็นรายบุคคล ได้อีกด้วย 1.2 การสอนเขียนสะกดคำเป็นเรื่องที่เด็กไม่ค่อยชอบเรียน โดยเฉพาะเด็กที่มีปัญหาด้าน การเขียนจะรู้สึกเบื่อหน่ายและวิตกกังวลทุกครั้งที่จะต้องเรียนเรื่องการเขียนสะกดคำ ดัง นั้นครูจึงต้องหาวิธีและรูปแบบที่จะทำบทเรียนให้สนุกสนานน่าสนใจ โดยหากิจกรรม แปลก ๆ ใหม่ ๆ มาประกอบการสอนอยู่เสมอ การใช้แบบฝึกการเขียนสะกดคำจะช่วยแก้ ปัญหาความแตกต่างระหว่างบุคคลในเรื่องนี้ได้และเป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้นักเรียนไม่เบื่อ หน่ายการเรียน ในการสร้างแบบฝึกหัดสำหรับนักเรียนระดับประถมศึกษานั้นควรมีรูป ภาพประกอบให้มากและรูปภาพนั้นต้องแจ่มชัดพอที่จะสื่อความหมายได้ตามระดับ ความสามารถของเด็ก แบบฝึกแต่ละชุดไม่ควรให้มีคำมากและใช้เวลาในการทำนานจน เกินไป 1.3 ในการสอนเขียนสะกดคำ ครูควรเน้นที่ความหมายของคำก่อนเพราะจะช่วยทำให้นัก เรียนเขียนสะกดคำได้ดีขึ้น โดยเฉพาะคำพยางค์เดียวเพราะมีคำพ้องเสียงอยู่มาก ถ้าครู สอนยังไม่มีแบบฝึกหัด อย่างน้อยควรใช้บัตรคำ บัตรความหมายคำ เปิดโอกาสให้นัก เรียนเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนการสอนด้วย จากการที่ผู้วิจัยสังเกตพบในกลุ่มควบคุม ถ้า ครั้งใดที่ครูผู้สอนใช้บัตรคำและบัตรความหมาย นักเรียนจะสนใจและรู้สึกสนุกสนานที่ จะได้เข้าร่วมกิจกรรมกับครู ดังนั้นครูไม่ควรสอนการเขียนสะกดคำวิธีการให้นักเรียน เขียนตามคำบอกและทำแบบฝึกหัดคำถูก-ผิด เท่านั้น ควรสอนคำและความหมายของคำ ก่อนทุกครั้งที่จะมีการเขียนตามคำบอก จะช่วยให้นักเรียนเขียนสะกดคำได้ดีขึ้น 1.4 ควรมีการสนับสนุนและร่วมมือกันในกลุ่มครูผู้สอนกลุ่มทักษะภาษาไทย โดยการ สร้างแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำในแต่ละบทเรียน โดยนำคำที่มีความยากปานกลาง ถึงยากมากในบทเรียนนั้น ๆ มาสร้างเป็นแบบฝึก เพื่อให้สัมพันธ์กับคู่มือการสอนภาษา ไทย แบบเรียนภาษาไทย ให้เด็กได้ฝึกในเวลาทำการสอนแต่ละบทเรียน 1.5 ครูควรเป็นแบบอย่างที่ดีในการเขียนสะกดคำให้แก่เด็ก และครูทุกคนในโรงเรียนควร ร่วมมือกันแก้ไข ถ้าพบว่าเด็กนักเรียนคนใดเขียนสะกดคำผิดจะต้องแก้ไขให้ถูกต้องทันที อย่าปล่อยทิ้งไว้ เพราะจะทำให้นักเรียนเกิดความคงทนในคำผิดนั้น ๆ 1.6 แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำยากของผู้วิจัยได้สร้างขึ้นนี้ ได้รวบรวมคำยากของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่จะต้องเรียนตลอดทั้งปีมาสร้างเป็นแบบฝึก จึงสมควร ใช้แบบฝึกนี้เพื่อสอนซ่อมเสริมนักเรียนตอนปลายปี หรือเลือกสอนเฉพาะแบบฝึกที่ สัมพันธ์กับเนื้อหาในแต่ละบทเรียน 1.7 ในการทำแบบฝึกแต่ละครั้งของนักเรียน ครูผู้สอนจะต้องเฉลยทันทีและชี้แจงข้อ บกพร่อง ข้อสังเกตในการที่จะแก้ไขและจดจำ เพื่อให้นักเรียนทราบความสามารถของ ตน พร้อมทั้งแนวทางในการแก้ไขและพัฒนาความสามารถในการเขียนสะกดคำของตน ให้ดียิ่งขึ้นในครั้งต่อไปได้ 1.8 ในการสอนเขียนสะกดคำแต่ละครั้ง ควรมีทั้งคำที่ค่อนข้างง่ายจนไปถึงคำยาก ส่วนคำ ที่มีความยากมากครูจะต้องใช้เวลาฝึกให้มากยิ่งขึ้นและควรสอนให้มีความสัมพันธ์กันทั้ง ทักษะการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน โดยเฉพาะการอ่านสะกดคำจะมีส่วนช่วยให้ นักเรียนเขียนสะกดคำได้ถูกต้องขึ้น 2. ข้อเสนอแนะในการทำวิจัยครั้งต่อไป 2.1ควรศึกษาผลความก้าวหน้าในการเขียนสะกดคำจากการสอนซ่อมเสริมเด็กที่อ่อนทาง ด้านการเขียนสะกดคำ โดยใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำยาก 2.2 ควรศึกษาผลของการใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำยาก เปรียบเทียบกับการใช้ เกม หรือกิจกรรมอื่น ๆ ในการสอนเขียนสะกดคำ ที่ส่งผลต่อการพัฒนาการเขียนสะกดคำของนักเรียน เอกสารอ้างอิง นายประยงค์ โชติการณ์. การทดลองสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะการเรียนสะกดคำยากกลุ่มทักษะภาษาไทยกับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 . กาฬสินธุ์ , 2533 นางภัทรานิษฐ์ ธรรมศิริรักษ์. การแก้ปัญหาการเขียนคำภาษาไทยไม่ถูกต้องของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้แบบฝึกหัดเขียนไทย. |