การวัดแบตเตอรี่ ค่าCCA คืออะไรCCA ย่อมาจาก (Cold Cranking Amp) ซึ่งหมายถึงความสามารถในการจ่ายกระแสเพื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ในสภาวะอากาศหนาว ยิ่งค่า CCA สูงเท่าไหร่ก็แสดงว่ามีกำลังสำหรับสตาร์ทแรงเท่านั้น อุณหภูมิที่ใช้เป็นตัวกำหนดมาตรฐานการวัดค่า CCA นั้นแตกต่างกันไปตามแต่มาตรฐาน เช่น ตามมาตรฐานของ IEC คือ -18°C เป็นต้น Show
การวัดค่า CCA นั้นมีการกำหนดมาจากหลายมาตรฐานตัวอย่างเช่น แบตเตอรี่ 1 ลูก ถ้าวัดตามมาตรฐาน SAE ได้ค่า CCA ที่ 450, วัดตาม EN จะได้ 420, วัดตาม IEC จะได้ค่า 290 และวัดตาม DIN จะได้แค่ 255 ดังนั้น ค่าที่แปะไว้บนแบตเตอรี่เป็นมาตรฐานอะไร? สิ่งหนึ่งที่ต้องพิจารณาในการวัดค่า CCA ก็คือค่าที่วัดได้นี้จะลดน้อยถอยลงตามสภาพแบตเตอรี่ และ สถานะของแบตเตอรี่ เช่น แบตเตอรี่ที่ไฟอ่อนหรือไฟหมด ค่า CCA ที่วัดได้จะน้อยลงแต่เมื่อชาร์จไฟเต็มแล้วค่าที่วัดได้จะมากขึ้น ดังนั้นค่า CCA อย่างเดียวจึงไม่อาจระบุได้ว่าแบตเตอรี่เสียหรือไม่ การวัดค่าต่างๆ ในตัวแบตเตอรี่มีหลายค่าที่ต้องวัดเพื่อทราบถึงประสิทธิภาพของการทำงานของแบตเตอรี่ นอกเหนือจากการวัดค่าแรงดันไฟ Volatage no-load แล้วค่าอื่นๆ ก็มีความสำคัญเช่นกัน แต่ถ้าจะมาจำเพาะเจาะจงถึงเรื่องกำลังไฟสำหรับการติดหรือการสตาร์ทเครื่องยนต์ สิ่งที่สามารถบอกถึงประสิทธิภาพในเรื่องนี้คือ การวัดค่า CCA (Cool Cranking Ampere) ค่า CCA ( Cool Cranking Ampere ) คือค่าที่บอกจำนวนกระแสไฟฟ้า ที่แบตเตอรี่ลูกนั้นๆ สามารถส่งออกมาในระยะเวลา 30วินาที (ที่อุณหภูมิ 0 องศาฟาเรนไฮต์ ประมาณ -18องศาเซลเซียส) จนกว่าแรงดันไฟของแบตเตอรี่จะตกลงไปที่ 1.2 โวลต์ ต่อเซล หรือต่ำกว่า7.2โวลต์ ในกรณีสำหรับแบตเตอรี่ 12โวลต์ ด้วยเหตุนี้ แบตเตอรี่ 12โวลต์ที่มีค่า CCA 600 บอกเราคือแบตเตอรี่จะปล่อยกระแสไฟ 600แอมป์เป็นเวลา30 วินาทีที่อุณหภูมิ 0 องศาฟาเรนไฮต์ จนกว่าแรงดันไฟของแบตเตอรี่จะตกลงไปที่ 1.2 โวลต์ ต่อเซล หรือ7.2โวลต์ เมื่อค่าที่วัดได้ เปรียบเทียบกับค่าที่ระบุจากแบตเตอรี่ และจากผู้ผลิตรถยนต์ ไม่ตรงกัน อาจก่อปัญหาได้ เช่นถ้าค่าที่วัดได้ต่ำกว่าที่ผู้ผลิตรถยนต์กำหนดให้ใช้ อาจทำให้แบตเตอรี่ไม่มีกำลังพอที่จะสตาร์ทเครื่องยนต์ได้ ซึ่งเหตุการณ์เกิดได้บ่อยกับรถยนต์ที่ใช้แบตเตอรี่เป็นเวลานานและไม่มีการตรวจเช็คอย่างถูกต้อง ทำให้ต้องขอพ่วงไฟเพื่อสตาร์ทเครื่อยนต์จารถคันอื่นๆ ตรวจเช็ครถยนต์ครั้งต่อไปอย่าลืมให้ช่างเช็คค่า CCA ของแบตเตอรี่ด้วย MIDTRONICS MDX-P300 เครื่องทดสอบแบตเตอรี่ CCA (Cool Cranking Ampere) ค่านี้มีความสำคัญอย่างไรค่านี้เป็นค่าที่บอกถึงกำลังไฟสำหรับการติดหรือการสตาร์ทเครื่องยนต์นั้นเอง ถ้าค่านี้ลดลงไปอาจทำให้มีกำลังไฟไม่พอสำหรับการสตาร์ทเครื่องยนต์ได้(แต่การสตาร์ทเครื่องยนต์ไม่ติดก็อาจเกิดจากปัจจัยอื่นๆประกอบด้วยเช่นกัน) ซึ่งค่า CCA จะไม่เท่ากันแตกต่างกันไปตามแต่ขนาดของแบตเตอรี่และรุ่นที่มีกำลังไฟแอมป์ที่ต่างกัน นอกจากนั้นระหว่างแบตเตอรี่ชนิดเติมน้ำกลั่น(แบตน้ำ) กับแบตเตอรี่พร้อมใช้กึ่งแห้งกึ่งน้ำ(แบตแห้ง) ก็อาจมีค่า CCA ที่ต่างกันได้ เราจึงควรเลือกให้เหมาะกับการใช้งานของเรา ยกตัวอย่างเช่น: แบตเตอรี่ที่มีกระแสแอมป์เท่ากันคือ 45 แอมป์ ระหว่างแบตแห้งกับแบตน้ำ ค่า CCA ของแบตแห้งจะสูงกว่าคือ 433 ในขณะที่แบตน้ำจะมีค่านี้คือ 325 และถ้าคุณใช้รถไม่บ่อย ต้องจอดทิ้งไว้นานๆ หรือไปต่างประเทศนานๆบ่อยๆ ก็ควรเลือกแบตเตอรี่ชนิดที่มี CCA สูงกว่า หรือควรเลือกใช้แบตเตอรี่กึ่งแห้งกึ่งน้ำนั้นเอง เพราะสามารถเก็บไฟได้นานกว่า และอยู่อึดทนนานกว่า
วิดีโอ YouTubeมัลติมิเตอร์ (Multimeter ) Multi แปลว่ารวม, Meter แปลว่า เครื่องวัด ดังนั้น Multimeter แปลว่าเครื่องมือวัดรวม ซึ่งประกอบด้วย โวลต์มิเตอร์ โอห์มมิเตอร์ และ มิลลิแอมมิเตอร์ส่วนประกอบของมัลติมิเตอร์
แสดงสเกลหน้าปัดสำหรับแสดงค่าปริมาณไฟฟ้าชนิดต่าง
ๆ ของ หมายเลข 3 คือ สเกลใช้แสดงค่าแรงดันไฟฟ้ากระแสสลับ (ACV) ใช้สำหรับอ่านค่าแรงดันไฟฟ้ากระแสสลับหรือย่าน ACV ข้อควรระวังในการใช้มัลติมิเตอร์
ภาพที่ 3.7 ตำแหน่งแบตเตอรี่ และฟิวส์ในมัลติมิเตอร์ 7 ในกรณีการตั้งย่านวัดผิดพลาด จนทำให้มัลติมิเตอร์วัดค่าปริมาณไฟฟ้าอื่น ๆ ไม่ขึ้น ให้ตรวจสอบฟิวส์ที่อยู่ภายในมัลติมิเตอร์ เป็นตัวป้องกันไฟเกินขาดหรือไม่ หากฟิวส์ขาดให้ใช้ฟิวส์สำรองที่มีอยู่ใส่แทน และทดลองใช้มัลติมิเตอร์อีกครั้ง ตำแหน่งฟิวส์และฟิวส์สำรองแสดงดังภาพที่ 3.7 ขั้นตอนการใช้โวลต์มิเตอร์ ยี่ห้อ SANWA รุ่น YX 360-TR วัดแรงดันไฟฟ้ากระแสตรง ภาพที่ 3.8 ตั้งย่านวัด DCV
ภาพที่ 3.9 การต่อมัลติมิเตอร์วัดแรงดันไฟกระแสตรง
ภาพที่ 3.10 ตัวอย่างการอ่านค่า การใช้สเกล และการตั้งย่านวัดแรงดันไฟกระแสตรง ภาพที่ 3.11 ตั้งย่านวัด ACV
ภาพที่ 3.12 การต่อมัลติมิเตอร์วัดแรงดันไฟฟ้ากระแสสลับ
ภาพที่ 3.13 ตัวอย่างการอ่านค่า การใช้สเกล และการตั้งย่านวัดแรงดันไฟกระแสสลับ1.1.2 การใช้มิลลิแอมมิเตอร์ ภาพที่ 3.14 ย่านวัดกระแสไฟตรง (DCmA)
ภาพที่ 3.15 การต่อมัลติมิเตอร์วัดกระแสไฟฟ้าตรงโดยตัดวงจรแล้วต่อผ่านมิลลิแอมมิเตอร์
ภาพที่ 3.16 การอ่านค่า การใช้สเกล และการตั้งย่านวัดกระแสไฟตรง
ภาพที่ 3.17 ย่านวัดความต้านทาน ภาพที่ 3.18 วงจรโอห์มมิเตอร์ มัลติมิเตอร์ยี่ห้อ SANWA รุ่น YX-360 TR
ภาพที่ 3.21 การอ่านค่า การใช้สเกล และการตั้งย่านวัดความต้านทาน
ภาพที่ 3.22 แสดงออสซิลโลสโคปแบบ 2 Channel
ภาพที่ 3.23 แสดงรูปสัญญาณที่ได้จากการวัดที่จุดต่าง ๆ ในวงจร การควบคุมการทำงานออสซิลโลสโคปที่ใช้ในปัจจุบันได้รับการออกแบบให้มีรูปลักษณะที่แตกต่างกันอย่างไรก็ตามสำหรับการทำงานในฟังค์ชั่นหลัก ๆ จะยังคงลักษณะการใช้งานที่คล้ายกัน ภาพที่ 3.24 แสดงปุ่มฟังก์ชันบริเวณด้านหน้าของออสซิลโลสโคปทั่ว ๆ ไป ซึ่งประกอบด้วยปุ่มฟังก์ชันควบคุมการทำงานดังนี้ ภาพที่ 3.24 ฟังก์ชันควบคุมของออสซิลโลสโคป ฟังก์ชันควบคุมทั่วไปควบคุมความเข้มของลำแสง (Intensity Control)ช่วยควบคุมความสว่างของรูปคลื่นสัญญาณที่ปรากฏบนจอ CRT
Sweep time/cm switch: ออสซิลโลสโคปประกอบด้วยวงจรกำเนิดลำแสง ซึ่งจะกวาดลำแสงจากซ้ายไปขวาอย่างต่อเนื่องบนจอ CRT เมื่อไม่มีสัญญาณเข้ามา การกวาดของสัญญาณจะเป็นเส้นตรงในแนวแกนนอนตรงตำแหน่งกึ่งกลางของจอ CRT แต่เมื่อมีสัญญาณด้านอินพุตเข้ามาจะไปกระตุ้นการกวาดในแนวแกนนอนโดยทำให้เส้นของการกวาดเคลื่อนที่ขึ้นลงกลายเป็นรูปคลื่นสัญญาณปรากฏบนจอ CRT โดยมีลักษณะเช่นเดียวกับรูปคลื่นสัญญาณ ที่ป้อนเข้ามา เช่น คลื่นไซน์ คลื่นสี่เหลี่ยม หรือคลื่นแบบฟันเลื่อย เป็นต้น ดังนั้นสวิตช์ Sweep time/cm จึงใช้สำหรับเลือกอัตราการกวาดของสัญญาณจากซ้ายไปขวาดยสามารถเลือกอัตราการกวาดได้ทั้งแบบเร็ว (0.2 ไมโครวินาทีต่อเซนติเมตร; 0.2 ms/cm) หรือ แบบช้า (0.5 วินาทีต่อเซนติเมตร; 0.5 s/cm) ดังนั้นการตรวจวัดสัญญาณที่เข้ามาสามารทำได้ตั้งแต่การตั้งค่าเวลาน้อย ๆ นั่นคือ จะแสดงจำนวนรูปคลื่นสัญญาณน้อย จนถึงการตั้งค่าเวลาให้สูงขึ้นซึ่งจำนวนรูปคลื่นสัญญาณก็จะมีจำนวนมากตามไปด้วย
|