ต้องขึงสายพิณพอเหมาะโสณะ ! เธอมีความคิดในเรื่องนี้ เป็นอย่างไร : เขียนโดย พึ่งตน พึ่งธรรม กับคุณอนันต์ ที่วันพฤหัสบดี, มีนาคม 31, 2559 ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปที่ Twitterแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest ป้ายกำกับ: เกียจคร้าน, ความเพียร, ปฐมธรรม, พุทธวจน, สายพิณ, โสณะ ประวัติพระโสณโกฬิวิสะเถระ - พระโสณโกฬิวิสะเถระบำเพ็ญเพียรเกินขนาด เดินจงกรมจนส้นเท้าแตก และเกิดปริวิตกว่า ตนก็เป็นรูปหนึ่งที่ปรารภความเพียร เหตุใดจึงไม่บรรลุธรรม ถ้ากระไรตนพึงสึกเป็นคฤหัสถ์ เมื่อพระพุทธเจ้าทรงทราบถึงปริวิตก ทรงเดินทางด้วยฤทธิ์มาโปรดพระโสณโกฬิวิสะ ท่านพระโสณะทูลรับสนองพุทธพจน์ ปฏิบัติตามพุทโธวาท ตั้งความเพียรแต่พอเหมาะ ไม่นานนักก็บรรลุอรหัตตผล พระพุทธเจ้าได้ทรงอุปมาการตั้งความเพียรสม่ำเสมอดุจสายพิณ ดังนี้ สายพิณที่ตึงเกินไป หย่อนเกินไป พิณก็มีเสียงที่ใช้การไม่ได้ แต่คราวใดสายพิณไม่ตึงนักไม่หย่อนนัก ตั้งอยู่ในคุณภาพสม่ำเสมอ คราวนั้นพิณก็มีเสียงที่ใช้การได้ ฉันใด ความเพียรที่ปรารภเกินไปนัก ย่อมเป็นไปเพื่อความฟุ้งซ่าน ความเพียรที่ย่อหย่อนนัก ก็เป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน เพราะเหตุนั้น จงตั้งความเพียรแต่พอเหมาะ จงทราบข้อที่อินทรีย์ทั้งหลายเสมอกัน และจงถือนิมิตในความสม่ำเสมอนั้น พระโสณโกฬิวิสะพยากรณ์อรหัตตผล นิคมคาถา ภิกษุน้อมไปสู่บรรพชา ๑ ย่อมมีจิตหลุดพ้นโดยชอบ เพราะเห็นความเกิด และความดับแห่งอายตนะ ภิกษุมีจิตหลุดพ้นแล้วโดยชอบ มีจิตสงบนั้น ไม่ต้องกลับสะสมทำกิจที่ได้ทำแล้ว กิจที่จำจะต้องทำก็ไม่มี เปรียบเหมือนภูเขาที่ล้วนแล้วด้วยศิลาเป็นแท่งทึบอันเดียวกัน ย่อมไม่สะเทือนด้วยลม ฉันใด รูป เสียง กลิ่น รส ผัสสะ และธรรมารมณ์ ทั้งที่น่าปรารถนา และไม่น่าปรารถนาทั้งสิ้น ย่อมทำท่านผู้คงที่ให้หวั่นไหวไม่ได้ ฉันนั้น จิตของท่านตั้งมั่น หลุดพ้นแล้ว ท่านย่อมพิจารณาเห็นความเกิดและความดับของจิตนั้นด้วย. มีคนบอกว่าใช้ชีวิตให้มีสมดุลแล้วชีวิตจะมีทุกข์น้อยลงหรือมีความสุขมากขึ้น แล้วชีวิตที่มีสมดุลคืออะไร สมดุลของแต่ละคนมันต่างกัน คำว่าสมดุลนี้ในพระพุทธศาสนาเรียกว่ามัชฌิมาปฎิปทาหรือ ทางสายกลาง ทางสายกลาง ที่พระพุทธเจ้าท่านสอนและยกตัวอย่างเปรียบเทียบไว้ซึ่งหลายท่านอาจจะเคยได้ยินมาบ้างแล้ว คือการเปรียบเทียบ กับสายพิณ ถ้าขึงสายหย่อนเกินไปดีดก็ไม่มีเสียง ถ้าขึงตึงเกินไป ดีดก็ขาด ในทางจิต ก็ยกตัวอย่างเช่น ปัญญาต้องเสมอกับศรัทธา ศรัทธามากไปก็งมงาย ปัญญามากไปไม่มีศรัทธาก็กลายเป็นทิฐิมานะเพิ่มอัตตา ได้แต่คิดไม่ลงมือปฎิบัติ ต้องรักษาสมดุลให้พอเหมาะพอดีกัน ผมเคยถูกสอนมาว่าให้ทำงานหนักในวัยหนุ่ม ในตอนที่ยังมีแรง มีไฟ เพื่อความเจริญก้าวหน้าและเพื่อเก็บหอมรอมริบ ไว้ใช้ในยามแก่เฒ่า ซึ่งก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผล และในเวลานั้นผมก็เห็นด้วย มีบางช่วงของชีวิต ที่ผมเรียงลำดับความสำคัญให้งานมาเป็นอันดับ 1 ถ้าคนรักหรือครอบครัวนัดจะไปเที่ยวกันแล้วต้องจองล่วงหน้า ผมจะไม่รับปากว่าจะไปด้วยเพราะกลัวจะพลาดโอกาสหากมีงานเข้ามา ซึ่งก็มักจะเป็นอย่างนั้น ทำให้ชีวิตช่วงนั้นทุกทริปที่ครอบครัวผมไปเที่ยวกันมักจะไม่มีผม สมัยก่อนเหตุผลเดียวที่ผมจะยอมล็อคคิวไม่รับงานหลายๆ วัน ล่วงหน้าเป็นเดือนๆ คือไปปฏิบัติธรรม เพราะเห็นความจำเป็นของนิสัยที่ไม่มีระเบียบวินัยของตัวเอง ต้องมีคนคอยบังคับขัดเกลา เป็นครั้งคราว มีอยู่ปีนึงพี่สาวมาบอกว่าสนใจไปเที่ยวพร้อมหน้าทั้งครอบครัวมั้ย ไม่ได้ทำแบบนั้นมานานมากๆ แล้วนะ ซึ่งเป็นช่วงที่ผมเพิ่งไปทำโครงการเตรียมตัวตายมาพอดี ทำให้คิดว่า พ่อแม่ก็อายุมากแล้ว หรือแม้กระทั่งตัวเราก็อาจตายได้ทุกวัน คงรู้สึกเสียดายถ้าไม่ได้ใช้เวลาดีๆ ร่วมกับเขาบ้าง แต่ติดตรงที่วันเดินทางที่ทุกคนในครอบครัววางโปรแกรมไว้ ผมมีงานพอดี ผมเลยเลือกที่จะตามไปทีหลังซึ่งช้าไปแค่วันเดียว เป็นการแก้ปัญหา ซึ่งก็ผ่านมาได้ด้วยดี โชคดีว่าวันที่ทำงานไม่ได้อยู่กลางทริป แต่หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ความคิดผมก็เปลี่ยนไป ผมก็เริ่มล็อคคิวล่วงหน้าเพื่อไปเที่ยวแบบรู้สึกผิดน้อยลง เพราะมองว่าความสัมพันธ์กับคนรักและครอบครัวมีค่ามากไม่น้อยกว่างาน จนตอนหลังมานี่ผมเริ่มคิดว่าผมจะเที่ยวพักผ่อนเยอะเกินไปจนไม่เป็นอันทำงาน สายพิณเริ่มจะหย่อนยานเกินไปแล้ว ถึงเวลาที่ต้องขึงสายพิณให้ตึงขึ้นบ้าง คนเล่นกีตาร์ก็คงจะคุ้นเคยกับการต้องคอยหมั่นปรับตั้งสายให้พอดี เสียงไม่เพี้ยน ชีวิตก็เหมือนกัน เดี๋ยวตึงเดี๋ยวหย่อน ที่ญี่ปุ่นมีคนตายเพราะทำงานหนักปีละ 200 ราย เพราะญี่ปุ่นมีวัฒนธรรมการทำงานที่หนักหน่วง ทุ่มเทจริงๆ นี่เรียกว่าตึงจนสายขาด เป็นบทพิสูจน์ คำพูดที่ว่า งานหนักไม่เคยฆ่าคน ไม่เป็นความจริง คงไม่มีค่าอะไรถ้าเงินที่หามาได้ต้องมาใช้รักษาสุขภาพ ที่เสียจากการถูกทำลายเพราะใช้งานหนักเกินไป หรือประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานแต่มีปัญหาครอบครัว แต่ความสำเร็จก็มาจากการทำงานหนักมิใช่หรือ? ระหว่างความสำเร็จที่รวดเร็ว กับ ชีวิต คุณเลือกอะไร? เชื่อว่าก็มีคนเลือกความสำเร็จอยู่ดี เพราะมันเป็นสิทธิของแต่ละคน ผมชอบคำแนะนำที่ว่า work smarter not harder คือ ทำงานแบบใช้ปัญญา เน้นคุณภาพไม่ใช่เน้นปริมาณ ก็สามารถประสบความสำเร็จได้แบบไม่เหนื่อยจนเกินพอดี การรักษาสมดุลชีวิต คือ ศิลปะอย่างหนึ่ง ที่แต่ละคนต้องปรับด้วยตัวเองไปเรื่อยๆ ให้พอดี เพราะสมดุลของแต่ละคนไม่เท่ากันยิ่งคนที่เข้าใจผิด นำข้อนี้มาใช้เป็นข้ออ้างตามใจกิเลสตัวเอง ผลที่ออกมาก็คงไม่พอดี
ผมชอบที่ท่านชยสาโร พระภิกษุชาวอังกฤษ อดีตเจ้าอาวาสวัดป่านานาชาติ ให้ความหมายของคำว่า พอดี ไว้ก็คือ “ฉลาด” ฉลาดในที่นี้คือต้องรู้ขอบเขตด้วย เช่น ถ้ามีคำถาม 2+2 เท่ากับเท่าไหร่ ถ้ามีคนนึงตอบ 5 คนนึงตอบ 7 เราคิดว่าสายกลางคือ 6 ก็ไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องอยู่ดี คนฉลาดจะไม่เลือกสร้างเหตุที่จะทำให้เกิดทุกข์ที่ตามมาในอนาคต เพราะมนุษย์เราล้วนต้องการความสุข |