การ ออม ช่วย สร้าง ความ มั่นคง ให้ กับ ครัวเรือน

คุณภาพชีวิต-สังคม

การออมภาคครัวเรือนของไทย ...แนวโน้มและข้อจำกัด

การออมเรื่องสำคัญที่ควรตระหนักถึง แม้ไทยจะมีจำนวนครัวเรือนที่มีการออมสูงเกินกว่า 70% แต่ก็ยังติดข้อจำกัดอยู่หลายเรื่อง เช่น รายได้ที่ยังไม่สูงมากนัก ภาระหนี้ครัวเรือนที่ค่อนข้างสูง ฯลฯ

ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 ..41 กำหนดให้วันที่ 31 ..ของทุกปีเป็น "วันออมแห่งชาติ" เพื่อให้ประชาชนทุกคนได้ตระหนักถึงความสำคัญของการออมที่จะต้องกระทำอย่างต่อเนื่องในที่นี้จึงขอกล่าวถึงการออมภาคครัวเรือน

ภาคการออมถือเป็นแหล่งเงินทุนที่สำคัญของประเทศ หากมีระดับการออมสูงและเพียงพอต่อความต้องการของการลงทุนของประเทศแล้ว การพึ่งพิงหรืออาศัยเงินทุนจากต่างประเทศก็จะลดลง อย่างไรก็ตามแม้ภาพรวมการออมของประเทศยังอยู่ในระดับสูงโดยมีสัดส่วนการออมต่อจีดีพีอยู่ที่ 34.8% แต่ก็มีแนวโน้มขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงท่ามกลางการเผชิญกับหลายปัจจัย

จากข้อมูลสำนักงานสถิติแห่งชาติระบุว่า ผลการสำรวจครัวเรือนทั่วประเทศของไทยปี 2561 พบว่าครัวเรือนไทยมีประมาณ 21.6 ล้านครัวเรือนมีครัวเรือนที่มีการออมเงิน 15.7 ล้านครัวเรือนหรือ 72.7% และอีก 5.9 ล้านครัวเรือนหรือ 27.3% ไม่มีเงินออมอย่างไรก็ดีเมื่อเปรียบเทียบการออมพบว่าจำนวนครัวเรือนที่มีการออมในปี 2561 เพิ่มจากปี 2559 ราว 6.0% (ครัวเรือนมีการออม 66.7% ในปี 2559 และ 72.7% ในปี 2561) สะท้อนให้เห็นว่าตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมาสัดส่วนของครัวเรือนมีการเก็บออมเพิ่มขึ้น

แม้ว่าจำนวนครัวเรือนที่มีการออมจะเพิ่มขึ้นอย่างไรก็ตามยังมีครัวเรือนไทยอีกจำนวนมากที่ยังคงมีความไม่แน่นอนในการจัดสรรเงินออมซึ่งอาจเกิดจากความกังวลในหลายๆปัจจัยเช่นปัญหาค่าครองชีพสูง หรืออาชีพที่ยังไม่มีความมั่นคงพอที่จะวางแผนการออมรวมทั้งภาวะหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูงนับเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ส่งผลให้การออมภาคครัวเรือนลดลงขณะเดียวกันภาวะการออมยังขึ้นอยู่กับผลทางด้านรายได้ซึ่งเป็นผลมาจากทิศทางการขยายตัวของเศรษฐกิจด้วย

"ประชาชนจำนวนมากอาจยังไม่ได้เตรียมความพร้อมเพื่อเกษียณ สวนทางกับแนวโน้มผู้สูงอายุที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว"

อย่างไรก็ดีเงินออมภาคครัวเรือนอาจไม่ได้อยู่ในรูปเงินฝากเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ในรูปของเงินลงทุนด้วย ข้อมูลจากสมาคมบริษัท จัดการลงทุน ระบุว่า การออมและการลงทุนของครัวเรือนไทยในปัจจุบัน มียอดรวมทั้งสิ้น 20.4 ล้านล้านบาท แบ่งเป็น

  • การฝากเงิน 38.0%
  • การออมผ่านกองทุนรวม 24.9%
  • เงินสำรองประกันภัย 13.4%
  • กองทุนส่วนบุคคล 4.6%
  • การออมเงินผ่านกองทุนการออมเพื่อการเกษียณ อาทิ กองทุนประกันสังคม กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กองทุนสารองเลี้ยงชีพ และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) มีสัดส่วนรวม 19.2%

ทั้งนี้ เงินฝากของภาคครัวเรือนมีมูลค่า 7.8 ล้านล้านบาท ณ มิ.ย.62 สัดส่วน 38.0% ของขนาดการออมและการลงทุนทั้งหมด โดยสัดส่วนดังกล่าวได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเนื่องจากภาคครัวเรือน ได้มีการจัดสรรเงินออมในรูปแบบต่างๆ ดังกล่าว นอกเหนือไปจากการฝากเงินผ่านสถาบันการเงินนั่นเอง

สำหรับแนวโน้มการออมภาคครัวเรือนในระยะถัดไป คาดว่ามีหลายปัจจัยที่อาจเข้ามากระทบต่อระดับการออม อาทิ การเร่งลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ (Mega-projects) ที่ต้องการเม็ดเงินลงทุนจำนวนมากยิ่งทำให้ประเทศไทยต้องมีความพร้อมด้านเงินออมมากขึ้นการเข้าสู่สังคมสูงอายุ (aging society) ทำให้จำเป็นต้องใช้งบประมาณด้านสวัสดิการสังคมจำนวนมากเพื่อดูแลผู้สูงอายุที่อาจมีรายได้ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพความต้องการลงทุนเพิ่มเติมเพื่อชดเชย "แรงงานที่อาจหายไปจากระบบทำให้การออมเป็นปัจจัยสำคัญที่ทวีความสำคัญขึ้นในอนาคตเพื่อนำเงินออมไปลงทุนตลอดจนพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ ที่อาจเร่งให้ใช้จ่ายหรือสินค้าผ่านระบบออนไลน์มากขึ้น

ขณะเดียวกันก็ยังต้องเผชิญข้อจำกัดการออม อาทิประชาชนจำนวนมากอาจยังไม่ได้เตรียมความพร้อมเพื่อการเกษียณสวนทางกับแนวโน้มผู้สูงอายุที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วขณะเดียวกันปัญหาหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้นทั้งจำนวนเงินกู้และจำนวนผู้กู้ โดยเฉพาะกลุ่มวัยเริ่มทำงานที่เป็นหนี้เร็วขึ้นย่อมทำให้การขาดการออมหรือไม่มีเงินออมตลอดจนทิศทางเศรษฐกิจและระดับราคาสินค้าเกษตรทำให้ครัวเรือนภาคเกษตรซึ่งเป็นประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศยังมีระดับรายได้ไม่สูงนัก

ซึ่งทุกภาคส่วนควรร่วมกันส่งเสริมให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของการออมเล็งเห็นความสำคัญด้านการออมในทุกมิติ ทั้งการให้ความรู้ทางการเงินการวางแผนทางการเงินและการเข้าถึงบริการทางการเงิน