เรามาทำความรู้จักกับสารที่เป็นตัวกลางในระบบทำความเย็นกันครับ โดยหน้าที่หลักของ สารทำความเย็น นี้คือการทำให้อุณหภูมิของสารตัวกลาง เช่น อากาศหรือน้ำ เย็นตัวลงตามที่ต้องการนั่นเอง จากบทความก่อนหน้าดังกล่าวนั้นเรารู้จักกับหลักการทำงานของเครื่องทำความเย็น
ซึ่งคุณจะเห็นว่าสารทำความเย็นนั้นเป็นสารสำคัญในการสร้างความเย็นที่เดินทางไปทั่วทั้งระบบผ่านอุปกรณ์ต่างๆ เช่น คอยล์เย็น,วาล์วลดความดัน และ Condensing Unit เพื่อทำให้อากาศเย็นลง โดยความสำคัญของสารทำความเย็นนี้อยู่ที่การเลือกใช้ให้เหมาะกับขนาดของระบบทำความเย็น เนื่องจากระบบทำความเย็นมีอยู่หลายขนาดและวัตถุประสงค์แตกต่างกันออกไป สารทำความเย็น (Refrigerants) เป็นตัวกลางสำคัญในการทำให้เกิดความเย็น เพราะสารนี้จะเดินทางไปที่ทุกอุปกรณ์สำคัญที่ทำให้เกิดความเย็นของระบบทำความเย็น (Refrigeration System)
ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ด้วยคุณสมบัติในตัวเองที่สามารถดูดซับและนำพาความร้อนด้วยการเปลี่ยนสถานะจากของเหลวให้เป็นไอ จากนั้นสามารถเปลี่ยนกลับมาเป็นของเหลวเพื่อเข้าสู่กระบวนการทำความเย็นอีกครั้งได้โดยไม่เสื่อมสถานะ เมื่อสารทำความเย็นต้องทำงานอยู่ในระบบทำความเย็นอยู่ตลอด สารนี้จึงต้องมีคุณสมบัติที่นอกจากมีเสถียรภาพในการทนความร้อนและเปลี่ยนสถานะได้ดีแล้ว ต้องไม่มีสารผสมที่กัดกร่อนหรือทำปฎิกิริยากับโลหะของระบบทำความเย็นเพื่อป้องกันการเสื่อมสภาพของอุปกรณ์ทำความเย็นอื่นๆ
นอกจากนี้จะต้องไม่ติดไฟง่ายเนื่องจากต้องรับความร้อนสูงที่อาจส่งผลให้เกิดการระเบิดได้ การเดินทางของสารทำความเย็นในระบบทำความเย็น การเดินทางของสารทำความเย็นเริ่มเมื่ออุปกรณ์ควบคุมสารทำความเย็นหรือวาล์วลดความดัน(Expansion Valve)ฉีดสารทำความเย็นไปที่อุปกรณ์ทำความเย็นอีวาโปเรเตอร์ (Evaporator) ที่กำลังดูดความร้อนจากพื้นที่ภายในที่จะทำความเย็น (Inside Area Being Cooled)เข้ามา ทำให้สารทำความเย็นในสถานะที่เป็นของเหลวรับความร้อนจนเดือดเปลี่ยนสถานะเป็นไอที่ความดันต่ำ โดยในขณะที่สารความเย็นมีสถานะเป็นไอนี้จะสามารถดูดซับความร้อนจากบริเวณที่ต้องการทำความเย็นรอบๆ อีวาโปเรอเตอร์โดยอาศัยอากาศและน้ำเป็นสื่อกลาง จากนั้นสารทำความเย็นนี้จะเดินทางไปต่อที่คอมเพรสเซอร์ (Compressor) เพื่ออัดให้มีความดันสูงขึ้น สารทำความเย็นก่อนจะเดินทางต่อไปที่คอนเดนเซอร์ (Condenser) เพื่อระบายความร้อนออกจากสารทำความเย็นและทำให้สารทำความเย็นเกิดการควบแน่นเปลี่ยนสถานะมาเป็นของเหลวอีกครั้งโดยที่ความดันยังคงสูงอยู่ ก่อนสารความเย็นจะกลับไปสู่วาล์วลดความดัน (Expansion Valve) เพื่อลดความดันของสารทำความเย็นให้กลับสู่สภาพพร้อมใช้งานอีกครั้งและจะวนเป็นวัฏจักรแบบนี้ไปเรื่อยๆ ด้วยการทำงานในระบบทำความเย็นทำให้คุณสมบัติของสารทำความเย็นทางเทอร์โมไดนามิกส์โดยทั่วไปที่ดีต้อง
R22 เป็นชื่อย่อของสารประกอบฮาโลคาร์บอน (Halocarbon) ClCF2H เมื่อถูกใช้เป็นสารทำความเย็นโดย R จะหมายถึง Refrigerant หรือสารทำความเย็น และสำหรับเลข 2 หมายถึงจำนวนอะตอมของฟลูออรีนในสารประกอบ R22 มีคุณสมบัติที่สามารถทำอุณภูมิต่ำสุดได้ถึง -40.80 ºC ด้วยอุณหภูมิจุดเดือดที่ต่ำที่ความดันบรรยากาศสารทำความเย็นชนิดนี้ถูกพัฒนาขึ้นมาสำหรับระบบทำความเย็นทั่วไปทั้งในที่อยู่อาศัย ห้องเย็นที่เก็บรักษาวัตถุดิบห้องเย็นเก็บสินค้า ปลอดภัยต่อการใช้งานโดยไม่มีพิษ ไม่ติดไฟ ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ทำให้ระบบทำความเย็นมีความปลอดภัยสูง แม้ว่า R22 จะสามารถผสมกับน้ำมันหล่อลื่นได้ค่อนข้างง่ายเมื่ออยู่ในสภาวะอุณหภูมิและความดันสูงในคอนเดนเซอร์ แต่เมื่อสารทำความเย็นดังกล่าวเดินทางไปถึงอีวาโปเรเตอร์น้ำมันที่ปนอยู่กับสารทำความเย็นจะแยกตัวออกไป แต่ในปัจจุบันน้ำมันหล่อลื่นถูกพัฒนาให้ดีขึ้นโดยจะไม่ปนกับ R22 ในขณะทำความเย็น ทำให้ง่ายต่อการทำความเย็นมากขึ้น Tetrafluoroethane (CH2FCF3) ได้แก่ R134a R134a เป็น Hydrofluorocarbon (HFC) ที่ส่งผลกระทบต่อชั้นบรรยากาศน้อย มีความคล้ายคลึงกับ R-22 มากมีคุณสมบัติคือ ไม่กัดกร่อน ไม่ติดไฟ และไม่เป็นพิษ โดยทั่วไปจะใช้ในระบบทำความเย็นที่มีอุณหภูมิปานกลางหรือระบบปรับอากาศ เช่น ระบบปรับอากาศในอาคาร รถยนต์หรือตู้เย็น กลุ่มสารผสม แบ่งเป็น 3 ชนิดคือ1. R404A (R125/ R143a/ R134a) 2. R407C (R32/ R125/ R134a) 3. R410A (R125/ R32) การเปลี่ยนสารทำความเย็นในระบบทำความเย็น ก่อนที่จะบรรจุสารทำความเย็นใหม่ต้องแน่ใจว่าได้ทำความสะอาดระบบทำความเย็นเรียบร้อยแล้ว โดยใช้แก๊สไนโตรเจนไล่สิ่งสกปรกที่ตกค้างออกจากระบบให้หมดก่อน และต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องใหม่ รวมถึงตัวดูดความชื้นทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนสารทำความเย็นใหม่ด้วย เพื่อช่วยรักษาอายุการใช้งานระบบทำความเย็นให้ทำงานได้อย่างปกติ สรุปการเลือกใช้สารทำความเย็นควรคำนึงถึงระบบการทำความเย็นเป็นหลักเพราะสารทำความเย็นแต่ละชนิดนั้นมีอุณหภูมิจุดเดือดและราคาที่แตกต่างกัน จึงต้องเลือกใช้สารทำความเย็นที่ตอบสนองประสิทธิภาพของเครื่องทำความเย็นมากที่สุด รวมถึงการเลือกสารทำเย็นที่ปลอดภัยทั้งกับระบบทำความเย็น สิ่งแวดล้อม และไม่เป็นพิษต่อสุขภาพด้วย ถ้าคุณมีข้อสงสัยหรือต้องการคำปรึกษาเกี่ยวกับการเลือกใช้สารทำความเย็นให้กับระบบทำความเย็นของคุณ ติดต่อเราเข้ามาที่นี่หรือคอมเมนต์ที่ใต้บทความนี้ เราพร้อมจะให้คำปรึกษากับคุณอย่างเต็มที่ เมื่อคลิก “อนุญาตคุกกี้ทั้งหมด” หมายความว่าผู้ใช้งานยอมรับที่จะเปิดการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ เพื่อให้เว็บไซต์สามารถทำงานได้อย่างถูกต้องและเต็มประสิทธิภาพ เพื่อเปิดใช้คุณสมบัติของโซเชียลมีเดีย และเพื่อวิเคราะห์การเข้าใช้งานเพื่อนำข้อมูลไปใช้ในการทำการตลาดและการโฆษณา รวมถึงการแบ่งปันข้อมูลการใช้งานกับพาร์ทเนอร์โซเชียลมีเดีย แรงดันน้ำยาในระบบเครื่องปรับอากาศ R22 ควรมีความดันอยู่ที่เท่าไรน้ำยา R22 ของแอร์บ้าน (เช็คกระแส compresser เป็นหลัก Amp ) แรงดัน LOW 55 - 75 PSIG. แรงดัน HI 270-280 PSIG. น้ำยา R12 ของตู้เย็น (เช็คกระแส compresser เป็นหลัก Amp )
แรงดันด้านความดันต่ำของเครื่องปรับอากาศที่ใช้สารทำความเย็น Rความดันต่ำของ R22 ที่ อุณหภูมิคอยล์เย็น 0 oC มีค่าอุณหภูมิเปลี่ยนสถานะ 57.53 psi (เกจ) ความดันต่ำของ R22 ที่ อุณหภูมิคอยล์เย็น -5 oC มีค่าอุณหภูมิเปลี่ยนสถานะ 46.48 psi (เกจ) หมายเหตุ แรงดันต่ำในคอยล์เย็น(แรงดันต่ำ) เปลี่ยนแปลงได้ง่ายและบ่อย ส่วนแรงดันในคอยล์ร้อน (แรงดันสูง) จะค่อนข้างเปลี่ยนแปลงน้อย
แรงดันน้ำยาแอร์ R22 กี่ PSIน้ำยา R22 เติมน่้ำยาอยู่ที่ 60-80 psi.
การเติมสารทำความเย็น rน้ำยา R134a ของตู้เย็น
แรงดัน LOW 25 - 35 PSIG.
|