พ่อแม่หลายท่านมาปรึกษาหมอ เพราะกังวลใจเมื่อเห็นลูกไม่ยอมเดินเหมือนเด็กคนอื่น ๆ เป็นห่วงว่าลูกอาจมีพัฒนาการที่ผิดปกติ วันนี้หมอขอเล่าพัฒนาการด้านกล้ามเนื้อมัดใหญ่ที่ควรมาตามลำดับ ดังนี้... Show ❤︎ ช่วงอายุ 3 - 4 เดือน ❤︎ ในท่านอนคว่ำ เด็กใช้แขนยันตัวเองหน้าอกพ้นพื้นได้เล็กน้อย เป็นการฝึกกล้ามเนื้อลำตัวให้แข็งแรงเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการนั่งและยืนต่อไป ❤︎ ช่วงอายุ 5 เดือน ❤︎ เด็กจะถีบตัวขึ้น - ลงบนพื้น เวลาที่คุณแม่ประคองลำตัวไว้ เป็นการฝึกกล้ามเนื้อขาให้แข็งแรง การสังเกตุพัฒนาการด้านการเดินของลูกก่อนที่จะมานั่งกังวลใจว่าทำไมลูกยังไม่เดิน คุณแม่ลองมาเรียนรู้ถึง พัฒนาการด้านการเดินของเด็กกันดูก่อน
สิ่งแวดล้อมรอบตัวส่งผลต่อการหัดเดิน
เทคนิคช่วยลูกหัดเดินเป็นแบบอย่างให้ลูกๆ ฝึก : การฝึกให้ลูกเดินนั้น พ่อแม่ควรคอยช่วยเหลือ ชักจูง และเป็นแบบอย่างให้ลูก โดยเฉพาะช่วงกำลังหัดยืน หัดเดิน อาจเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย ข้อดี คือ นอกจากจะป้องกันอันตรายให้ลูกแล้ว ยังเป็นการช่วยสร้าง ความมั่นใจให้กับลูกอีกด้วย ดึงลูกน้อยให้ยืน : ปล่อยให้ลูกน้อยจับนิ้วมือของคุณ และดึงพวกเขาขึ้น ให้อยู่ในท่ายืน เพื่อให้พวกเขารับน้ำหนัก ของตัวเองเป็นพื้นฐาน ปล่อยให้พวกเขาเดินไปมาขณะที่คุณประคองใต้แขนของพวกเขา ยิ่งลูกน้อยของคุณใช้เวลา ออกกำลังขาของพวกเขามากเท่าไร พวกเขายิ่งจะเริ่ม พยายามก้าวเท้าเดินด้วยตัวเองเร็วขึ้นเท่านั้น การจับลูกน้อยของคุณไว้ ในขณะที่พวกเขายืนอยู่ จะช่วยให้ขาของพวกเขาตรงขึ้น และป้องกันไม่ให้ขาโก่งในภายหลัง อาการขาโก่งมักจะหายไป เมื่อลูกของคุณอายุ 18 เดือน แต่ปัญหานี้ อาจจะยังคงอยู่จนพวกเขาอายุ 3 ขวบก็ได้ ใช้ของเล่นวางล่อ :แรงจูงใจที่จะสร้างให้ลูกนั้น อาจเป็นของเล่นที่ลูกชอบวางล่อไว้ใกล้ ๆ และ พ่อแม่คอยล่อให้ลูก พยายามเคลื่อนไหวเข้าไปหา ไม่ควรรีบร้อนเร่งรัดลูก : พ่อคุณแม่ไม่ควรรีบร้อนเร่งรัด ให้ลูกเดินเร็วกว่าความสามารถของเขา ปล่อยไปตามธรรมชาติ ของพัฒนาการของลูกจะดีกว่า จัดสถานที่ให้เหมาะสม : การจัดสถานที่ให้เหมาะสม ก็เป็นสิ่งจำเป็น พื้นไม่ควรแข็งเกินไป เช่น เป็นพื้นปูน หรือ หิน ควรมีที่ให้ลูกเกาะยืนเดินได้ และ มีบริเวณกว้างขวาง พอที่จะค่อย ๆ หัดก้าวเดิน ที่สำคัญคือ ไม่มีของวางขวางเกะกะ ถ้ามีขอบโต๊ะ หรือมุม ก็ควรจะมีฟองน้ำ หรือผ้านุ่ม ๆ บุกันไว้ เพื่อป้องกันอันตราย ไม่ควรใช้รถหัดเดิน : การใช้รถหัดเดิน นอกจากไม่ช่วยให้ระบบการทรงตัว และการเคลื่อนไหว ของร่างกายพัฒนาไปตามปกติแล้ว ยังทำให้เกิดอุบัติเหตุมากขึ้นด้วย ไม่ต้องซื้อรองเท้าสำหรับเดินในบ้าน : ไม่จำเป็นต้องลงทุนซื้อรองเท้าให้ลูกน้อยเพราะว่ารองเท้าที่ดีที่สุดสำหรับลูกน้อยของคุณ คือ การไม่ใส่รองเท้าเลย ตราบใดที่พื้นผิวภายในบ้านสะอาด และปลอดภัยต่อการเดินของลูกน้อย ก็ปล่อยให้พวกเดินและสำรวจด้วยเท้าเปล่า (หรือถุงเท้ากันลื่น) ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อช่วยสร้างกล้ามเนื้อเท้า และข้อเท้า ช่วยให้ส่วนโค้ง ของพวกเขาพัฒนา และช่วยให้พวกเขา เรียนรู้การทรงตัว และความสัมพันธ์ในการทำงานของอวัยวะ ถ้าลูกน้อยของคุณ กำลังจะไปหัดเดินนอกบ้าน รองเท้าควรมีน้ำหนักเบา และยืดหยุ่น หลีกเลี่ยงรองเท้าบู๊ตสูง หรือ รองเท้าผ้าใบแบบสูง เพราะว่า การพยุงข้อเท้ามากเกินไป อาจจะชะลอการเคลื่อนไหว ทำให้ลูกน้อยเดินได้ช้าลง ปล่อยให้ล้มบ้างตราบใดที่ยังปลอดภัยอยู่ : เมื่อลูกน้อยเริ่มเดิน พวกเขาอาจจะผงกหัว เซ และแม้กระทั่ง ล้มทิ้งตัวแหมะในขณะที่พวกเขา พยายามจะพัฒนาทักษะ การเดินของพวกเขาให้ดีขึ้น ตราบใดที่บ้านของคุณมีการป้องกันให้ ไม่เป็นอันตรายต่อเด็กเล็ก ที่กำลังเดิน และคุณเฝ้าดูพวกเขา อย่างระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา ก็อย่าเครียดกับการล้ม ลูกเพียงแค่ตกใจ ไม่ได้บาดเจ็บอะไร ทำไมลูกไม่ยอมเดินเด็กทุกคนไม่สามารถเดินได้เลยภายใน 1 ขวบ กล้ามเนื้อมัดใหญ่ของลูกจะต้องพัฒนาจนแข็งแรงเพียงพอที่จะรองรับการเดินให้ได้ก่อน หนทางสู่ก้าวแรกของลูกนั้นเริ่มตั้งแต่การนอนคว่ำแล้วค่ะ เพราะการนอนคว่ำต้องใช้ความแข็งแรงของคอและหัวเพื่อทรงตัว หลังจากนั้นก็เริ่มใช้ความแข็งแรงตั้งแต่สะโพกขึ้นไปเพื่อพลิกคว่ำพลิกหงายและนั่ง เมื่อลูก ...
ทำยังไงลูกถึงจะเดิน4 เทคนิคฝึกลูกตั้งไข่ หัดเดินเองได้ก่อนอายุ 1 ขวบ. 1. จัดพื้นที่และสิ่งแวดล้อมเหมาะสม ... . 2. ไม่ใช้รถหัดเดินหรืออุปกรณ์เสริมประเภทจั้มเปอร์ ... . 3. เดินด้วยเท้าเปล่า ... . 4. ปล่อยให้ลูกหัดเดินด้วยตัวเอง. 1 ขวบ 3 เดือน พูดได้กี่คำเด็กจะพูดคำที่มีความหมายได้คำแรกเมื่ออายุประมาณ 1 ขวบ โดยจะพูดคำที่ออกเสียงง่ายๆ ได้ก่อน เช่น หม่ำๆ แม่ ปาป๊า มาม้า และจะพูดได้ 2-3 คำติดกันเมื่ออายุประมาณ 2 ขวบ โดยทั่วไปเด็กที่ถือว่ามีปัญหาพูดช้า ก็คือเด็กที่อายุ 2 ขวบแล้ว แต่ไม่สามารถพูดคำที่มีความหมายได้เลย ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ไม่ควรรอให้ลูก 2 ขวบแล้วจึงสังเกต
|