งานศิลปะในยุโรปสมัยกลาง

แม้แต่ชื่อเรียกยุคสมัยต่างๆ แห่งประวัติศาสตร์ของตะวันตก ก็เป็นถ้อยคำที่มีความหมายเกี่ยวข้องกับคริสต์ศาสนา ตั้งขึ้นโดยปรารภความเป็นไปที่เกี่ยวข้องกับคริสต์ศาสนา หรือแม้แต่เป็นคำเรียกเหตุการณ์ในคริสต์ศาสนาโดยตรง กล่าวคือ

๑. Middle Ages หรือ สมัยกลาง (แห่งยุโรป) ค.ศ.476-1453 เป็นระยะเวลา ๑ พันปีที่คริสต์ศาสนามีกำลังและอิทธิพลเป็นเอกอันเดียวในยุโรป วัฒนธรรมมีแหล่งกำเนิดจากคริสต์ศาสนาแผ่ครอบคลุมชีวิตทุกด้านของสังคม รวมทั้งเศรษฐกิจ การเมือง และการทหาร

แต่ในสมัยกลางเองนั้น คำว่า “สมัยกลาง” หรือ “Middle Ages” ยังไม่เกิดขึ้น

ต่อมา เมื่อชาวยุโรปหลุดพ้นออกมาจากยุคสมัยนี้ พวกนักปราชญ์ตะวันตกผู้มองเห็นว่ายุโรปมีโอกาสหวนกลับคืนสู่ศิลปวิทยาการของกรีกและโรมันโบราณอีกครั้งหนึ่ง จึงเรียกชื่อยุคสมัยที่ผ่านมา นั้นว่า “Middle Ages” (“สมัยกลาง”) ในความหมายว่าเป็นช่วงเวลาท่ามกลางระหว่างการเสื่อมสลายของศิลปวิทยาของกรีกและโรมันโบราณ จนกระทั่งศิลปวิทยานั้นกลับฟื้นคืนขึ้นมาใหม่อีกในยุคของพวกตน ที่เรียกว่า Renaissance

อนึ่ง ในระยะที่หลุดพ้นออกมาใหม่ๆ นั้น (จนถึงยุค Enlightenment ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘) ความรู้สึกที่เป็นปฏิกิริยาต่อสภาพของสมัยกลางนั้นยังเด่นแรงอยู่ คนยุโรปจึงเรียกชื่อสมัยกลางนั้นอีกอย่างหนึ่งว่า Dark Ages แปลว่า ยุคมืด หมายถึงช่วงเวลาอันยาวนาน ที่อารยธรรมคลาสสิกอันอุดมด้วยศิลปวิทยาการของกรีกและโรมันโบราณได้เลือนลับไป ทำให้ยุโรปตกอยู่ในความมืดมนอับปัญญา

พวกนักมนุษยนิยม (humanists) ที่คิดศัพท์ Middle Ages ขึ้นมาใช้ มองช่วงเวลาที่ล่วงผ่านไปก่อนยุคของพวกเขาว่า เป็นพันปีแห่งความมืดมัวและโมหะ (a thousand-year period of darkness and ignorance; บางทีก็เรียกสั้นๆว่า the age of ignorance หรือ a period of intellectual darkness and barbarity คือ ยุคแห่งความโหดและโฉดเขลา หรือยุคเฉาโฉดโหดเหี้ยม) จึงเรียกว่าเป็น Dark Ages

(บางทีนักประวัติศาสตร์ก็จำกัดช่วงเวลาให้จำเพาะลงไปอีกว่า Dark Ages เป็นช่วงต้นๆ ของสมัยกลางนั้น คือ ราว ค.ศ. 500-1000 และบางทีก็จำกัดสั้นลงไปอีกเป็น ค.ศ.476-800)

ต่อมา คนสมัยหลังที่ห่างเหตุการณ์มานาน มีความรู้สึกที่เป็นปฏิกิริยาต่อสภาพของยุคสมัยนั้นเบาบางลง ก็เริ่มกลับไปเห็นคุณค่าบางอย่างของความเป็นไปในสมัยกลางนั้น เช่นว่า ถึงอย่างไรสมัยกลาง หรือยุคมืดนั้น ก็เป็นรากฐานที่ช่วยให้เกิด Renaissance

โดยเฉพาะที่สำคัญยิ่ง คือการที่ศาสนจักรคริสต์ได้เผชิญและผจญกับศาสนาอิสลาม ในสงครามครูเสดเป็นต้น ในหลายแห่งที่ฝ่ายคริสต์ชนะ ก็พลอยได้ตำรับตำราวิชาการต่างๆ ของกรีกและโรมันโบราณ ที่ชาวมุสลิมนำไปเก็บรักษา ถ่ายทอดและพัฒนาสืบมา

ตำรับตำราเหล่านี้ นักบวชคริสต์ได้คัดลอก เก็บรักษา หรือไม่ก็แปลกลับจากภาษาอาหรับเป็นภาษาละติน ซึ่งกลายมาเป็นแหล่งความรู้ให้แก่ยุค Renaissance (ยุคคืนชีพ)

ต่อมา ปราชญ์ชาวตะวันตกยุคหลังๆ จึงเห็นว่า ในสมัยกลางนั้น ประทีปแห่งวิทยาการยังส่องแสงอยู่บ้าง แม้จะริบหรี่ แต่ก็ไม่ถึงกับดับมืดเสียทีเดียว

ดังนั้น บัดนี้คำว่า Dark Ages จึงไม่เป็นที่นิยมใช้กันอีก (บางท่านแปลคำว่า ยุคมืด/Dark Ages นั้นให้หมายความว่าเป็นช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ที่เรารู้เรื่องกันน้อย)

ในสมัยกลางนี้ ผู้ที่จะเป็นจักรพรรดิก็ต้องให้องค์สันตะปาปา (Pope) สวมมงกุฏให้ จักรวรรดิโรมันที่เจ้าเยอรมันรื้อฟื้นตั้งขึ้นใหม่ ก็มาเรียกโดยเติมคำว่า “holy” เข้าข้างหน้า เป็น the Holy Roman Empire (ช่วง ค.ศ.962-1806)

การที่ศาสนาคริสต์มีอำนาจยิ่งใหญ่ครอบคลุมอย่างนี้ ก็ทำให้เกิดมีความคิดที่ให้ถือยุโรป(ตะวันตก) เป็นศาสนรัฐที่กว้างใหญ่อันหนึ่งอันเดียว เรียกว่า “Christendom” (แปลได้ว่า “คริสต์จักร” หรือ “คริสต์อาณาจักร”)

Christendom นี้ ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่หรือข้าราชการ ๒ ฝ่าย คือ ฝ่ายศาสนาธิการ (sacerdotium) ซึ่งองค์สันตะปาปา (Pope) มีอำนาจสูงสุด กับฝ่ายรัฏฐาธิการ (imperium) ซึ่งมีจักรพรรดิ (Emperor) ทรงอำนาจสูงสุด โดยทั้งสองฝ่ายปฏิบัติงานเสริมซึ่งกันและกัน (นี้เป็นเพียงทฤษฎี แต่ในทางปฏิบัติสองฝ่ายได้ขัดแย้งแย่งชิงอำนาจกันมาตลอด)

ในสมัยกลางนี้เช่นกัน ที่คริสต์ศาสนจักรได้รวมพลังกษัตริย์ ขุนพล และพลเมืองของประเทศทั้งหลายทั่วยุโรป ทำสงครามศักดิ์สิทธิ์ หรือสงครามเพื่อพระผู้เป็นเจ้า (holy war) เพื่อปลดปล่อยดินแดนศักดิ์สิทธิ์ (Holy Land คือ เมืองเยรูซาเลม) จากการยึดครองของพวกมุสลิมเตอร์กส์ อันมีชื่อเรียกเฉพาะว่า “ครูเสด” (Crusades) ซึ่งเป็นสงครามกับมุสลิมที่ยืดเยื้อยาวนานประมาณ ๒๐๐ ปี (ค.ศ.1096-1270) นับเป็นครูเสดครั้งใหญ่ทั้งหมด ๘ ครั้ง กับครูเสดเด็กอีก ๒ ครั้ง

นั่นคือสัญลักษณ์ของคริสเตียนยุคแรก ลักษณะเหล่านี้ผสมผสานกับวัฒนธรรมทางศิลปะของ “อนารยชน” ของยุโรปเหนือ ทำให้เกิดงานศิลปะที่ทรงคุณค่าซึ่งเป็นรากฐานของศิลปะยุโรปในเวลาต่อมา และในความเป็นจริงศิลปะยุคกลางเป็นประวัติศาสตร์ของการผสมผสานองค์ประกอบของศิลปะคลาสสิก ศาสนาคริสต์ยุคแรกและอนารยชน นอกจากรูปแบบที่เป็นทางการของศิลปะคลาสสิกแล้ว ยังเป็นประเพณีของการสร้างสรรค์ผลงานที่สะท้อนความเป็นจริงของการสร้างสรรค์ 

สิ่งนี้สามารถเห็นได้ในศิลปะไบแซนไทน์ตลอดช่วงเวลานี้และยังคงมีอยู่ในปัจจุบัน ดังนั้นตะวันตกจึงดูเหมือนจะผสมผสานหรือบางครั้งก็แข่งขันกับการแสดงออกทางศิลปะของการผลิตแบบตะวันตกและองค์ประกอบการตกแต่งทางจิตวิญญาณของยุโรปเหนือ ศิลปะยุคกลางถึงจุดสูงสุดในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา ได้เวลากลับมาแล้ว ทวงคืนพลังและคุณค่าของศิลปะคลาสสิก จากนั้นศิลปะยุคกลางก็หมดความสำคัญและถูกดูถูกมาหลายศตวรรษ ด้วยการกำเนิดของศตวรรษที่ 19 ศิลปะยุคกลางได้รับการฟื้นฟู และถือเป็นโลกศิลปะอันอุดม. เป็นพื้นฐานของศิลปะตะวันตกยุคหลังวิวัฒนาการ

  • Introductionศิลปะสมัยกลาง
  • เครื่องดนตรีในยุคกลาง
  • อ้างอิง
  • บรรณานุกรม
  • ดูเพิ่ม
  • แหล่งข้อมูลอื่น

ศิลปะยุคกลาง (อังกฤษ: Medieval art) “ศิลปะยุคกลาง” ในโลกตะวันตกครอบคลุมเนื้อหาทั้งทางเวลาและภูมิภาคที่ยืนยาวกว่า 1,000 ปีของประวัติศาสตร์ศิลปะของยุโรป ตะวันออกกลาง และ แอฟริกาเหนือ บริบทของศิลปะยุคกลางรวมขบวนการทางศิลปะและสมัยศิลปะที่สำคัญ ๆ ทั้งระดับชาติ ระดับท้องถิ่น ประเภทงาน การฟื้นฟู งานศิลปะ และ ศิลปินเอง

ค.ศ.

บทความนี้อ้างอิงคริสต์ศักราช/คริสต์ทศวรรษ/คริสต์ศตวรรษ ซึ่งเป็นสาระสำคัญของเนื้อหา

Quick facts: ศิลปะยุคกลาง Medieval art, ประวัติศาสตร์ศิลปะ... ศิลปะยุคกลาง
Medieval artส่วนหนึ่งของ: ศิลปะตะวันตก

งานศิลปะในยุโรปสมัยกลาง

งานโมเสกขนาดมหึมาแบบไบแซนไทน์ซึ่งเป็นงานที่แสดงถึงความสำเร็จของศิลปะยุคกลาง การตกแต่งในภาพอยู่ที่มอนริอาลในซิซิลีจากปลายคริสต์ศตวรรษที่ 12ประวัติศาสตร์ศิลปะภูมิภาคยุโรปเกี่ยวข้องศิลปะไบแซนไทน์
ศิลปะเกาะ,
ศิลปะไบแซนไทน์,
ศิลปะเคลติก,
ศิลปะนอร์สสมัยก่อนหน้ายุคโบราณตอนปลายสมัยต่อมายุคฟื้นฟูศิลปวิทยาศิลปะตะวันตกClose

งานศิลปะในยุโรปสมัยกลาง
ประติมากรรมโรมาเนสก์

นักประวัติศาสตร์ศิลป์พยายามที่จะให้ความหมายและนิยามศิลปะยุคกลางออกเป็นสมัยและ ลักษณะแต่ก็ประสบกับปัญหา โดยทั่วไปแล้วก็จะรวมคริสเตียนยุคแรก ศิลปะสมัยการโยกย้ายถิ่นฐาน ศิลปะไบแซนไทน์ ศิลปะเกาะ ยุคก่อนโรมาเนสก์ and ศิลปะโรมาเนสก์ และศิลปะกอธิค และยังรวมไปถึงสมัยอื่นๆ อีกหลายสมัยภายในกลุ่มลักษณะนี้ นอกจากการแบ่งแยกลักษณะไปตามภูมิภาคแล้วลักษณะของสังคมโดยทั่วไปในช่วงนี้เป็นสังคมที่อยู่ในระหว่างการสร้างตนเองให้เป็นชาติเป็นวัฒนธรรม และจะมีลักษณะศิลปะที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง เช่นศิลปะแองโกล-แซ็กซอน หรือ ศิลปะนอร์ส งานศิลปะยุคกลางมีหลายรูปแบบแต่สิ่งที่ยังคงหลงเหลืออยู่ให้เห็นก็ได้แก่งานประติมากรรม หนังสือวิจิตร งานกระจกสี งานโลหะ และ งานโมเสกซึ่งเป็นงานที่มีความเป็นถาวรภาพมากกว่าจิตรกรรมฝาผนัง งานไม้ หรือ ผ้าและเครื่องแต่งกาย, รวมทั้งพรมแขวนผนัง

ศิลปะยุคกลางในยุโรปวิวัฒนาการมาจากต้นรากของธรรมเนียมนิยมทางศิลปะของจักรวรรดิโรมันรูปสัญลักษณ์คริสเตียนของสมัยคริสเตียนตอนต้น ลักษณะดังกล่าวมาผสมผสานกับวัฒนธรรมทางศิลปะของ “อนารยชน” จากทางตอนเหนือของยุโรปออกมาเป็นศิลปะอันมีคุณค่าที่เป็นงานศิลปะที่วางรากฐานของศิลปะของยุโรปต่อมา และอันที่จริงแล้วศิลปะยุคกลางก็คือประวัติศาสตร์ของปฏิกิริยาระหว่างองค์ประกอบของศิลปะคลาสสิก คริสเตียนตอนต้น และอนารยชน[1] นอกไปจากลักษณะที่ออกจะเป็นทางการของศิลปะคลาสสิกแล้ว ก็เป็นธรรมเนียมนิยมในการสร้างงานที่แสดงสัจนิยมของสิ่งที่สร้างที่จะเห็นได้จากงานศิลปะไบแซนไทน์ตลอดยุคนี้ที่ยังคงมีเหลืออยู่ให้เห็น ขณะเดียวกันกับที่ทางตะวันตกดูจะผสานหรือบางครั้งก็จะเป็นการแข่งขันกับการแสดงออกที่เกิดขึ้นในศิลปะตะวันตก และ องค์ประกอบของการตกแต่งอันมีชีวิตจิตใจของทางตอนเหนือของยุโรป ศิลปะยุคกลางมาสิ้นสุดลงในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา ที่เป็นสมัยของการหวนกลับมาฟื้นฟูความเชี่ยวชาญและคุณค่าของศิลปะคลาสสิก จากนั้นศิลปะยุคกลางก็หมดความสำคัญลงและได้รับการดูแคลนต่อมาอีกหลายร้อยปี เมื่อมาถึงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ศิลปะยุคกลางก็ได้รับการฟื้นฟูกันขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง และเห็นกันว่าเป็นสมัยศิลปะที่มีความรุ่งเรืองเป็นอันมากและเป็นพื้นฐานของการวิวัฒนาการของศิลปะตะวันตกต่อมา

Oops something went wrong:

HomeAbout usFAQPressSite mapTerms of servicePrivacy policy

ศิลปะยุคกลาง (อังกฤษ: Medieval art) “ศิลปะยุคกลาง” ในโลกตะวันตกครอบคลุมเนื้อหาทั้งทางเวลาและภูมิภาคที่ยืนยาวกว่า 1,000 ปีของประวัติศาสตร์ศิลปะของยุโรป ตะวันออกกลาง และ แอฟริกาเหนือ บริบทของศิลปะยุคกลางรวมขบวนการทางศิลปะและสมัยศิลปะที่สำคัญ ๆ ทั้งระดับชาติ ระดับท้องถิ่น ประเภทงาน การฟื้นฟู งานศิลปะ และ ศิลปินเอง

ค.ศ.

บทความนี้อ้างอิงคริสต์ศักราช/คริสต์ทศวรรษ/คริสต์ศตวรรษ ซึ่งเป็นสาระสำคัญของเนื้อหา

Quick facts: ศิลปะยุคกลาง Medieval art, ประวัติศาสตร์ศิลปะ... ศิลปะยุคกลาง
Medieval artส่วนหนึ่งของ: ศิลปะตะวันตก

งานศิลปะในยุโรปสมัยกลาง

งานโมเสกขนาดมหึมาแบบไบแซนไทน์ซึ่งเป็นงานที่แสดงถึงความสำเร็จของศิลปะยุคกลาง การตกแต่งในภาพอยู่ที่มอนริอาลในซิซิลีจากปลายคริสต์ศตวรรษที่ 12ประวัติศาสตร์ศิลปะภูมิภาคยุโรปเกี่ยวข้องศิลปะไบแซนไทน์
ศิลปะเกาะ,
ศิลปะไบแซนไทน์,
ศิลปะเคลติก,
ศิลปะนอร์สสมัยก่อนหน้ายุคโบราณตอนปลายสมัยต่อมายุคฟื้นฟูศิลปวิทยาศิลปะตะวันตกClose

งานศิลปะในยุโรปสมัยกลาง
ประติมากรรมโรมาเนสก์

นักประวัติศาสตร์ศิลป์พยายามที่จะให้ความหมายและนิยามศิลปะยุคกลางออกเป็นสมัยและ ลักษณะแต่ก็ประสบกับปัญหา โดยทั่วไปแล้วก็จะรวมคริสเตียนยุคแรก ศิลปะสมัยการโยกย้ายถิ่นฐาน ศิลปะไบแซนไทน์ ศิลปะเกาะ ยุคก่อนโรมาเนสก์ and ศิลปะโรมาเนสก์ และศิลปะกอธิค และยังรวมไปถึงสมัยอื่นๆ อีกหลายสมัยภายในกลุ่มลักษณะนี้ นอกจากการแบ่งแยกลักษณะไปตามภูมิภาคแล้วลักษณะของสังคมโดยทั่วไปในช่วงนี้เป็นสังคมที่อยู่ในระหว่างการสร้างตนเองให้เป็นชาติเป็นวัฒนธรรม และจะมีลักษณะศิลปะที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง เช่นศิลปะแองโกล-แซ็กซอน หรือ ศิลปะนอร์ส งานศิลปะยุคกลางมีหลายรูปแบบแต่สิ่งที่ยังคงหลงเหลืออยู่ให้เห็นก็ได้แก่งานประติมากรรม หนังสือวิจิตร งานกระจกสี งานโลหะ และ งานโมเสกซึ่งเป็นงานที่มีความเป็นถาวรภาพมากกว่าจิตรกรรมฝาผนัง งานไม้ หรือ ผ้าและเครื่องแต่งกาย, รวมทั้งพรมแขวนผนัง

ศิลปะยุคกลางในยุโรปวิวัฒนาการมาจากต้นรากของธรรมเนียมนิยมทางศิลปะของจักรวรรดิโรมันรูปสัญลักษณ์คริสเตียนของสมัยคริสเตียนตอนต้น ลักษณะดังกล่าวมาผสมผสานกับวัฒนธรรมทางศิลปะของ “อนารยชน” จากทางตอนเหนือของยุโรปออกมาเป็นศิลปะอันมีคุณค่าที่เป็นงานศิลปะที่วางรากฐานของศิลปะของยุโรปต่อมา และอันที่จริงแล้วศิลปะยุคกลางก็คือประวัติศาสตร์ของปฏิกิริยาระหว่างองค์ประกอบของศิลปะคลาสสิก คริสเตียนตอนต้น และอนารยชน[1] นอกไปจากลักษณะที่ออกจะเป็นทางการของศิลปะคลาสสิกแล้ว ก็เป็นธรรมเนียมนิยมในการสร้างงานที่แสดงสัจนิยมของสิ่งที่สร้างที่จะเห็นได้จากงานศิลปะไบแซนไทน์ตลอดยุคนี้ที่ยังคงมีเหลืออยู่ให้เห็น ขณะเดียวกันกับที่ทางตะวันตกดูจะผสานหรือบางครั้งก็จะเป็นการแข่งขันกับการแสดงออกที่เกิดขึ้นในศิลปะตะวันตก และ องค์ประกอบของการตกแต่งอันมีชีวิตจิตใจของทางตอนเหนือของยุโรป ศิลปะยุคกลางมาสิ้นสุดลงในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา ที่เป็นสมัยของการหวนกลับมาฟื้นฟูความเชี่ยวชาญและคุณค่าของศิลปะคลาสสิก จากนั้นศิลปะยุคกลางก็หมดความสำคัญลงและได้รับการดูแคลนต่อมาอีกหลายร้อยปี เมื่อมาถึงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ศิลปะยุคกลางก็ได้รับการฟื้นฟูกันขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง และเห็นกันว่าเป็นสมัยศิลปะที่มีความรุ่งเรืองเป็นอันมากและเป็นพื้นฐานของการวิวัฒนาการของศิลปะตะวันตกต่อมา

Oops something went wrong:

งานศิลปะสมัยกลางของยุโรปมีลักษณะอย่างไร

งานศิลปะยุคกลางมีหลายรูปแบบ แต่สิ่งที่ยังคงหลงเหลืออยู่ให้เห็นก็ได้แก่ งานประติมากรรม หนังสือวิจิตร งานกระจกสี งานโลหะ และ งานโมเสกซึ่งเป็นงานที่มีความเป็นถาวรภาพมากกว่าจิตรกรรมฝาผนัง งานไม้ หรือ ผ้าและเครื่องแต่งกาย, รวมทั้งพรมแขวนผนัง

ศิลปะยุคกลางมียุคอะไรบ้าง

ศิลปะยุคกลาง (ค.ศ. 375 – 500).
ศิลปะคริสเตียนยุคแรก (พ.ศ.640 - 1040).
ศิลปะไบเซนไทน์ (พ.ศ.1040 - 1996).
ศิลปะโรมาเนสก์ (พ.ศ.1540 - 1740).
ศิลปะโกธิค (พ.ศ. 1690 - 1940).
ศิลปะเรอเนซองส์ (พ.ศ.1940 - 2140).
ศิลปะแมนเนอร์ริสม์ (พ.ศ.2063-2143).
ศิลปะบาโรก (Baroque พ.ศ.2143-2293).

ศิลปะยุคกลางมีชื่อเรียกว่าอะไร

ศิลปะยุคกลาง Medieval art. ส่วนหนึ่งของ: ศิลปะตะวันตก งานโมเสกขนาดมหึมาแบบไบแซนไทน์ซึ่งเป็นงานที่แสดงถึงความสำเร็จของศิลปะยุคกลาง การตกแต่งในภาพอยู่ที่มอนริอาลในซิซิลีจากปลายคริสต์ศตวรรษที่ 12.

งานศิลปะของยุโรปสมัยกลางสะท้อนให้เห็นถึงอะไร

งานศิลปะในยุโรปสมัยกลางสะท้อนให้เห็นอะไรมากที่สุด อิทธิพลการครอบงำทางศาสนาคริสต์ พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ความงดงามของศิลปะแบบคลาสสิก ความสนใจธรรมชาติของประชาชน