เป็นวงดนตรีประเภทหนึ่ง ที่มีเครื่องดนตรีประเภทที่มีสาย ใช้ดีดและสี เช่น จะเข้และซอ เป็นประหลัก มีเครื่องเป่าที่เรียกว่า “ ขลุ่ย “ เป็นประธาน เลือกเครื่องหนังที่เห็นว่ามีเสียงดังเหมาะสม กลมกลืน เช่น โทน-รัมนา เป็นเครื่องกำกับจังหวะหน้าทับ และใช้ฉิ่งตีเป็นเครื่องกำกับจังหวะย่อย ( หนัก-เบา ) และฉาบ กรับ โหม่ง เป็นเครื่องประกอบจังหวะ จัดแบ่งการประสมวงเป็น ๒ ขนาดคือ เครื่องสายวงเครื่องเล็ก ( วงเครื่องเดี่ยว ) และเครื่องสายวงใหญ่ ( วงเครื่องคู่ ) ใช้บรรเลงและขับร้องประกอบพิธีในงานมงคล เช่น งานมงคลสมรส หรืองานเลี้ยงรับรองต่างๆที่ไม่ต้องการเสียงดังมาก วงเครื่องสายอาจเป็นวงที่มีวิวัฒนาการด้วยตนเอง ซึ่งแต่เดิมอาจไม่เกี่ยวข้องกับวงปี่พาทย์เลยก็ได้ เพราะมีการกล่าวถึงเครื่องดนตรีหลายชิ้นที่มีใช้อยู่แล้วในสมับกรุงศรีอยุธยาตอนต้น เช่น ระบุถึงไว้ในกฏมณเฑียรบาลว่า “ ร้อง (เพลง) เรือ เป่าขลุ่ย ตีโทนขับรำโห่นี่นั่น “ และ “ ร้องเพลงเรือ เป่าปี่เป่าขลุ่ย สีซอ ดีดจะเข้ ตีโทนทับ “ ดังนี้คงหมายถึงเครื่องดนตรีบางอย่างที่มีอยู่ในสมัยนั้น เป็นต่างคนต่างเล่น คงมิได้หมายถึงการประสมวงตามแบบฉบับ จึงไม่พบหลักฐานว่าเครื่องสายมีการประสมวงมาแต่เดิม สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงประธานอธิบายถึงกำเนิดวงเครื่องสายไว้ว่า “ ผู้ชายบางพวกซึ่งหัดเล่นเครื่องสายอย่างจีน จึงคิดกันเอาซอด้วง ซออู้ ปี่อ้อ เข้าเล่นประสมกับเครื่องกลองแขก เครื่องสายอย่างนี้เรียกกันว่า “ กลองแขกเครื่องใหญ่ “ ซึ่งภายหลังเราเรียกว่าผสมนี้ว่า “ เครื่องสายปี่ชวา “ แล้วทรงกำหนดเวลาไว้ว่า เห็นจะเกิดขึ้นในราวตอนปลายรัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ด้วยเมื่อตอนต้นรัชกาลที่ ๕ ยังถือกันว่าเป็นของเกิดใหม่ ครั้นต่อมาเอากลองแขกกับปี่อ้อออกเสีย ใช้ทับกับรัมนา ขลุ่ยแทน เรียกว่า “ มโหรีเครื่องสาย “ บางวงก็เติมระนาดและฆ้องเข้าด้วย จึงเกิดมีมโหรีผู้ชายเล่นแทนผู้หญิงอย่างเดิมสืบมาทุกวันนี้ ที่ผู้หญิงหัดเล่นก็มีแต่น้อยกว่าผู้ชายเล่น มโหรีในชั้นหลังดูไม่มีกำหนดจำนวนเครื่องเล่น เช่น ซอด้วง ซออู้ แล้วแต่จะมีคนสมัครเล่นเท่าใดก็เข้าเล่น มาปัจจุบันบางวงแก้ไขเอาซอด้วง ซออู้ออก ใช้ขิมและฮามอเนียฝรั่งเข้ามาผสมแทนก็มี ต่อมาภายหลังเราไม่เรียกวงแบบนี้ว่ามโหรีเครื่องสาย แต่เรียกกันว่า “ วงเครื่องสาย “ แต่นั้นเป็นมา และตั้งแต่รัชกาลที่ ๖ เป็นต้นมา มีผู้นำเอาขิมบ้าง ไวโอลินบ้าง ออร์แกนบ้าง ตลอดจนเครื่องอื่นเข้ามาเล่นเป็นวง เรียกกันว่า “ วงเครื่องสายผสม “ โดยเรียกชื่อวงไปตามดนตรีที่นำเข้ามาผสม เช่น วงเครื่องสายผสมออร์แกน วงเครื่องสายผสมเปียนโน วงเครื่องสายผสมขิม เป็นต้น วงเครื่องสายที่ถือว่าเป็นมาตรฐาน ที่ใช้บรรเลงและขับร้องกันอยู่ในปัจจุบันคือ เครื่องสายวงเล็ก ( เครื่องเดี่ยว ) ประกอบด้วยเครื่องดนตรีดังนี้ เครื่องสายวงเครื่องใหญ่ ( วงเครื่องคู่ ) ประกอบด้วยเครื่องดนตรีดังนี้ เป็นวงเครื่องสายที่ประสมกับวงกลองแขก ซึ่งเดิมเรียกว่า “ กลองแขกเครื่องใหญ่ “ เกิดขึ้นในราวปลายรัชสมัยรัชกาลที่ ๔ ปัจจุบันใช้บรรเลงในงานอวมงคล ไม่กำหนดเครื่องที่ตายตัว แล้วแต่ความเหมาะสม มีเครื่องดนตรีดังนี้ วงเครื่องสายผสมขิม วงเครื่องสายผสมเปียนโน ประกอบด้วยเครื่องดนตรีดังนี้ ขอบคุณเว็บไซต์ https://www.gotoknow.org/posts/170305 |