Show
ลาออกก่อน 55 ปี รับบำนาญชราภาพประกันสังคมได้\n\t\t\n\t ขั้นตอนการขอรับประโยชน์ทดแทน กรอกแบบ สปส. 2-01 ลงรายมือชื่อพร้อมแนบหลักฐานต่างๆ นำมายื่นที่สำนักงานประกันสังคม หรือยื่นผ่านทางไปรษณีย์ จากนั้นรอหนังสือแจ้งผลการพิจารณา และนี่คืออีกหนึ่งสิทธิจากประกันสังคม
อย่าเสียรู้ ทิ้งเงินก้อนโต เงื่อนไขรับเงินคืนจาก ”ประกันสังคม” บางคนได้เกือบแสนสำหรับคนที่เป็นมนุษย์เงินเดือน ที่จะต้องจ่ายเงินประกันสังคม จะต้องสมทบเงินประกันสังคมทุกเดือน ซึ่งจะหักจากเงินเดือนประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์แต่สูงสุดได้ไม่เกิน 750 บาท นั่นก็คือคนที่ได้รับเงินเดือน 15,000 บาทขึ้นไปนั้นเอง แต่เราเคยสงสัยกันบ้างหรือไม่ว่า สำนักงานประกันสังคมนั้น เขาเอาเงินที่เราจ่ายทุกเดือนไปทำอะไรกันบ้างระบบงานประกันสังคม
เป็นสิ่งที่ต่างประเทศมีมานานแล้ว แต่บ้านเรานั้นเพิ่งจะเริ่มมี โดยประกันสังคมนั้นเป็นระบบที่บังคับให้ทุกคนออมเงินส่วนหนึ่ง มันก็คือ 5 เปอร์เซ็นต์ของเงินเดือนข้อดีของเงินประกันสังคม คือลูกจ้างอย่างเราจะจ่ายเงินประกันสังคมอย่างนี้เพียง 1 ใน 3 ส่วนเท่านั้น เพราะผู้ที่มีหน้าที่จะต้องจ่ายประกันสังคมสมทบกองทุนประกันสังคม ประกอบด้วย 3 ฝ่ายนั้นก็คือ 1. ฝ่ายรัฐบาล 2. ส่วนนายจ้าง 3. ลูกจ้าง ดังนั้นลูกจ้างจึง จ่ายเงินเข้ากองทุนเพียง 5% ของค่าจ้าง และรัฐบาลสมทบอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งทำให้เราได้รับผลประโยชน์มากขึ้น คุ้มค่าเกินกว่ามูลค่าเงินที่เราลงไป
2. 75 บาท สำหรับใช้ประกันการว่างงาน ถ้าว่างงานเมื่อไหร่ สามารถเอาเงินส่วนนี้มาใช้ในระหว่างตกงานหรือรอหางานใหม่ แต่ถ้าไม่ว่างงานเลย เงินส่วนนี้ก็จะหายไป ไม่ได้รับคืน เงิน 750 บาท ในแต่ละเดือนของประกันสังคม จะถูกแบ่งเป็น– 225 บาท ดูแลเรื่องเจ็บป่วย ทุพพลภาพ คลอดบุตร และเสีย ถ้าไม่ใช้สิทธิ เงินส่วนนี้ก็จะหายไป ไม่ได้คืน – 75 บาท ใช้ประกันการว่างงาน ถ้าว่างงานเมื่อไหร่ ก็เอาเงินส่วนนี้มาใช้ในระหว่างที่หางานใหม่ แต่ถ้าไม่ว่างงานเลย เงินส่วนนี้ก็จะหายไป ไม่ได้คืน – 450 บาท เก็บเป็นเงินออม จะได้คืนเมื่ออายุครบ 55 ปี โดยเงื่อนไขการได้เงินก้อนสุดท้าย (เงินออม เมื่ออายุครบ 55 ปี) คืน คือ 1. จ่ายประกันสังคมไม่ครบ 1 ปี ได้คืนส่วนที่จ่ายเป็นเงินก้อน เรียกว่าบำเหน็จชราภาพ เช่น จ่ายเดือนละ 750 บาทมาโดยตลอด 10 เดือน (750 บาท จะถูกหักเป็นเงินออม 450 บาท) เมื่ออายุครบ 55 ปี จะได้คืน 450 บาท x 10 เดือน = 4,500 บาท 2. จ่ายครบ 1 ปี แต่ไม่ถึง 15 ปี จะได้เป็นเงินก้อนเรียกว่าบำเหน็จเช่นกัน แต่จะมากกว่าข้อ 1. คือ ได้ส่วนที่นายจ้างสมทบด้วย เช่น จ่าย 750 บาท ตลอด 7 ปี (84 เดือน) ที่จะได้รับคืนเมื่ออายุครบ 55 ปี คือ 450 บาท (ส่วนที่ตนเองจ่าย) + 450 บาท (ส่วนที่นายจ้างจ่าย) x 84 เดือน = 75,600 บาท 3. จ่ายตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป จะได้รับเป็นเงินรายเดือน เรียกว่า บำนาญชราภาพ โดยคำนวณ 2 กรณี คือ– กรณีจ่ายครบ 15 ปีเป๊ะๆ จะได้รับรายเดือน คือ 20% ของเฉลี่ยเงินเดือน 60 เดือนสุดท้าย สมมติ 60 เดือนสุดท้าย เฉลี่ยแล้วเท่ากับ 15,000 บาท จะได้รับ 20% คือ เดือนละ 3,000 บาท ไปจนเสีย– กรณีสมทบมากกว่า 15 ปี จะได้รับโบนัสเพิ่ม 1.5% ของเงินเดือน 60 เดือนสุดท้าย หากครบปี เช่น จ่ายครบ 20 ปี รายเดือนที่จะได้รับ คือ 20% ของเงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือน + 1.5% ของเงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือน x 5 ปี (จ่าย 20 ปี เกินจากที่กำหนดขั้นต่ำมา 5 ปี)สมมติเฉลี่ยเงินเดือน 60 เดือนสุดท้าย เท่ากับ 15,000 บาท จะได้รายเดือน คือ (20% x 15,000 บาท = 3,000 บาท) + (1.5% x 15,000 บาท x 5 ปี) = 3,375 บาท รวมเป็น 6,375 บาท ต่อเดือน ไปจนเสียกรณีที่ได้รับเงินบำนาญชราภาพแล้ว ยังไม่ครบ 5 ปีเลย แต่เสียซะละ กรณีนี้จะได้รับบำเหน็จ 10 เท่าของเดือนสุดท้ายของเงินบำนาญที่ได้รับ เช่น รับรายเดือน เดือนล่าสุด 6,375 บาท เสียปุ๊บ รับ 63,750 บาท เรียบเรียงโดย : Postsara เงินชราภาพประกันสังคม ไม่ว่าจะเป็นบำเหน็จ หรือบำนาญ ถ้าอายุยังไม่ถึง แต่อยากได้เงินบางส่วนมาก่อนจะทำได้ไหม มาตอบคำถามคาใจ
สิทธิประกันสังคม มาตรา 33 และมาตรา 39 ได้ให้ความคุ้มครองผู้ประกันตนหลายส่วน หนึ่งในนั้นก็คือ กรณีชราภาพที่จะได้รับเงินไว้ใช้ในยามเกษียณ คือ เมื่ออายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป และต้องเป็นไปตามเงื่อนไขอื่น ๆ ที่กำหนดไว้ แต่ที่ผ่านมาก็มีหลายคนตั้งคำถามว่า เราจะสามารถขอคืนเงินชราภาพบางส่วนออกมาก่อนครบกำหนดได้หรือไม่ เพื่อให้มีเงินเยียวยาในช่วงเวลาที่ชีวิตประสบปัญหาทางการเงิน หรืออย่างน้อยก็สามารถนำเงินส่วนนี้ไปค้ำประกันเงินกู้จากธนาคารได้ เอาเป็นว่าใครกำลังสงสัยประเด็นนี้อยู่ ลองมาทำความเข้าใจกัน เช็กเงินชราภาพประกันสังคม มีสะสมอยู่เท่าไร
แล้วเงินก้อนนี้มาจากไหนล่ะ ? ไม่ต้องสงสัยไป เพราะนี่คือเงินสมทบที่เราจ่ายไว้ทุกเดือนนั่นเอง บวกกับเงินสมทบที่นายจ้างร่วมจ่ายให้เราด้วย โดยสำหรับผู้ประกันตน มาตรา 33 จะต้องจ่ายเงินสมทบ 5% ของเงินเดือน สูงสุดไม่เกิน 750 บาท (คิดจากฐานเงินเดือน 15,000 บาท) และในเงิน 5% นี้ จะถูกแบ่งเป็นกรณีสงเคราะห์บุตรและชราภาพถึง 3% เท่ากับว่า หากเดือนนั้นเราจ่ายเงินสมทบประกันสังคม 750 บาท ก็จะถูกแบ่งเป็นเงินกรณีสงเคราะห์บุตรและชราภาพถึง 450 บาท โดยมีนายจ้างสมทบให้อีก 450 บาท เมื่อรวม ๆ กันหลายปีก็มีเงินสมทบถึงหลักแสนได้เลย เงินชราภาพประกันสังคม มีกี่แบบ ต่างกันอย่างไร เราจะได้รับเงินชราภาพในรูปแบบใดนั้นไม่สามารถเลือกเองได้ เพราะต้องขึ้นอยู่กับจำนวนปีที่ส่งเงินสมทบเข้าประกันสังคมที่แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 1. เงินบำเหน็จชราภาพ : จ่ายก้อนเดียวจบ
2. เงินบำนาญชราภาพ : จ่ายทุกเดือนตลอดชีวิต
เงินชราภาพจะได้คืนเมื่อไร ลูกจ้างจะได้รับเงินชราภาพคืนก็ต่อเมื่อมีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์
หมายความว่า เมื่ออายุครบ 55 ปีบริบูรณ์แล้ว ไม่ใช่ว่าจะได้เงินทันที เราจะต้องลาออกจากงาน และลาออกจากประกันสังคมด้วย แต่หากเรายังทำงานอยู่ และส่งเงินสมทบไม่ว่าจะเป็นผู้ประกันตน มาตรา 33 หรือมาตรา 39 แม้อายุครบ 55 ปีบริบูรณ์แล้วก็ยังไม่มีสิทธิรับเงินชราภาพ สำหรับผู้ที่ต้องการขอรับเงินคืน จะต้องทำเรื่องขอคืนเงินชราภาพประกันสังคมภายใน 1 ปี หลังลาออกจากกองทุนประกันสังคม ไม่เช่นนั้นจะถูกตัดสิทธิรับเงินบำเหน็จ-บำนาญทันที โดยศึกษาขั้นตอนการขอคืนเงินได้ที่นี่ ทั้งนี้ ต้องทราบก่อนว่า เมื่อลาออกจากประกันสังคมเพื่อรับเงินชราภาพ จะทำให้เราเสียสิทธิอื่น ๆ ของประกันสังคมไปด้วย โดยเฉพาะสิทธิการรักษาพยาบาลที่ต้องเปลี่ยนไปใช้บัตรทอง หรือหากไม่มีประกันสุขภาพ หรือประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล ก็ต้องควักเงินจ่ายเองเมื่อเจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาล ขอคืนเงินชราภาพก่อนอายุ 55 ปีได้หรือไม่
สมมติว่า คุณเอ ส่งเงินสมทบครบ 15 ปีแล้ว และได้ลาออกจากงานพร้อมกับลาออกจากประกันสังคมเมื่ออายุ 40 ปี แบบนี้คุณเอจะขอรับเงินชราภาพเลยได้ไหม ? คำตอบคือ ไม่ได้ แม้ว่าจะส่งเงินมาครบ 15 ปี แต่ถ้าคุณเออายุยังไม่ถึง 55 ปีบริบูรณ์ ก็ต้องรอจนกว่าอายุจะครบเท่านั้น ถึงจะได้รับเงินส่วนนี้ เพราะหลักการของเงินชราภาพก็คือ ต้องการให้ทุกคนมีบำนาญรายเดือนหลังเกษียณ โดยไม่ต้องห่วงว่าหากตัวเองอายุยืนแล้วจะมีเงินสมทบไม่พอใช้ ยกเว้น 2 กรณีที่จะสามารถรับเงินชราภาพคืนก่อนอายุ 55 ปีได้ คือ 1. ผู้ประกันตนกลายเป็นผู้ทุพพลภาพก่อนอายุ 55 ปี จะคืนเป็นเงินบำเหน็จ 2. ผู้ประกันตนถึงแก่ความตายก่อนอายุ 55 ปี ทายาทจะได้รับเป็นเงินบำเหน็จเท่านั้น ไม่มีสิทธิรับเป็นเงินบำนาญ แม้จะส่งเงินสมทบครบ 15 ปีแล้วก็ตาม ลุ้น ! แก้ไขสิทธิประโยชน์
จะเห็นได้ว่ากรณีการขอรับเงินชราภาพมีข้อจำกัดหลายประการ ทำให้ผู้ประกันตนเรียกร้องให้สำนักงานประกันสังคมพิจารณาปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน เนื่องจากกฎหมายดังกล่าวประกาศใช้มามากกว่า 20 ปีแล้ว นั่นจึงเป็นเหตุให้สำนักงานประกันสังคมพิจารณาแก้ไขกฎหมายเรื่องนี้ โดยมี 3 ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจก็คือ ขอเลือก ขอคืน ขอกู้ 1. ขอเลือก : ให้ผู้ประกันตนที่มีสิทธิรับบำนาญ ขอเลือกรับบำเหน็จแทนได้
เนื่องจากปัจจุบันผู้ประกันตนไม่สามารถเลือกได้ว่าจะรับเงินแบบไหน เพราะกฎหมายให้คำนวณจากจำนวนปีที่ส่งเงินสมทบเป็นเกณฑ์ กล่าวคือ หากส่งเงินสมทบไม่ครบ 180 เดือน ก็จะได้เงินบำเหน็จ แต่หากส่งเงินสมทบตั้งแต่ 180 เดือนขึ้นไป ถึงจะได้รับเงินบำนาญ ดังนั้น คนที่ทำงานมาเกิน 15 ปี จะต้องรับบำนาญเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถเลือกรับบำเหน็จได้ ทั้งนี้ การรับเงินบำเหน็จมีข้อดีตรงที่ได้เงินก้อนใหญ่มาเลยทีเดียว เหมาะกับคนที่ต้องการใช้เงินก้อน แต่ก็มีข้อเสียคือ ในกรณีที่เราอายุยืน เราจะได้บำเหน็จน้อยกว่าบำนาญ และมีโอกาสที่จะใช้เงินหมดก่อน อาจไม่มีเงินใช้ในบั้นปลายชีวิต 2. ขอคืน : ให้ผู้ประกันตนขอรับเงินชราภาพบางส่วน ก่อนอายุ 55 ปีโดยปกติเราจะได้รับเงินชราภาพเมื่ออายุ 55 ปี และลาออกจากประกันสังคมเท่านั้น แต่ขณะนี้กำลังศึกษาแนวทางที่จะให้ผู้ประกันตนเลือกขอรับบำเหน็จหรือบำนาญชราภาพล่วงหน้าได้บางส่วนก่อนอายุ 55 ปี ซึ่งมีข้อดีคือ สามารถบรรเทาความเดือดร้อนทางการเงินได้ แต่มีข้อเสียคือ หากใช้สิทธิรับเงินล่วงหน้าไปแล้วจะเหลือเงินบำเหน็จหรือบำนาญลดลง 3. ขอกู้ : ให้ผู้ประกันตนนำเงินชราเป็นหลักประกันเงินกู้ผ่านธนาคาร
กล่าวคือ ให้ผู้ประกันตนนำสิทธิประโยชน์กรณีชราภาพซึ่งมีเงินสมทบอยู่จำนวนหนึ่งไปใช้เป็นหลักประกันเมื่อต้องการขอกู้เงินจากธนาคารได้ ซึ่งจะช่วยให้คนที่ได้รับความเดือดร้อนทางการเงิน และไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน สามารถยื่นขอกู้ธนาคารได้ แต่ก็ต้องระวังว่าหากผู้ประกันตนไม่ผ่อนชำระเงินคืนธนาคารตามกำหนด อาจถูกยึดหลักทรัพย์ค้ำประกัน และต้องถูกปรับลดเงินบำเหน็จหรือบำนาญลงตามจำนวนเงินที่นำไปค้ำประกัน ครม. ไฟเขียวหลักการ เพิ่มสิทธิประโยชน์ผู้ประกันตน สำหรับความคืบหน้าล่าสุดเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2565 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติหลักการเพิ่มสิทธิประโยชน์กรณีชราภาพ 3 ประเด็น ทั้งขอเลือก, ขอคืน และขอกู้ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและเป็นการปรับให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ดังนี้
นอกจากนี้ยังเพิ่มสิทธิประโยชน์อื่น ๆ แก่ผู้ประกันตน อาทิ
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนที่ ครม. อนุมัติหลักการแล้ว และต้องรอการประกาศให้มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการต่อไป |