สำหรับใครที่มีรายได้พอจะมีเงินเก็บแล้ว แต่ยังคิดไม่ออกว่าควรเก็บเงินไว้ที่ไหนดี หรือควรนำเงินไปลงทุนอะไรให้งอกเงยได้บ้าง บทความนี้จะขอมาแนะนำ 5 ทางเลือก ว่าถ้าหากเรานำเงินของเราไปลงทุนในแต่ละทางเลือก ทางเลือกไหนจะให้ผลตอบแทนประมาณเท่าไหร่ และแต่ละทางเลือกมีความเสี่ยงมากน้อยเพียงใด Show
1. ออมเงินในเงินฝากออมทรัพย์เชื่อว่าทุกคนน่าจะมีบัญชีออมทรัพย์กันอยู่แล้ว แล้วส่วนใหญ่จะเก็บไว้ที่นี่กัน แต่รู้ไหมว่าผลตอบแทน หรือดอกเบี้ยที่ได้จากเงินฝากออมทรัพย์นั้น ไม่สามารถสู้เงินเฟ้อได้เลย โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปนั้นอยู่ที่ 1.25% ขณะที่ดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์จะอยู่ที่ประมาณ 0.125% - 1.00% ซึ่งดอกเบี้ยส่วนที่เกิน 20,000 บาท ผู้ฝากเงินจะต้องเสียภาษี ณ ที่จ่าย 15% ของดอกเบี้ยที่ได้รับอีกด้วย ผลตอบแทน : ประมาณ 0.125% - 1.00% ความเสี่ยง : ต่ำ (แต่ทั้งนี้หากเรานำเงินเฟ้อมาหักลบกับดอกเบี้ยแล้ว ถือว่าเงินต้นเรามีอำนาจในการจับจ่ายลดลง พูดง่าย ๆ ก็คือ เงินเท่าเดิม แต่ซื้อของได้ไม่เท่าเดิมนั่นเอง) 2. ฝากเงินกับเงินฝากประจำขยับขึ้นมาหน่อยจากเงินฝากออมทรัพย์ เป็นการฝากเงินแบบกำหนดระยะเวลาฝากถอนชัดเจน ซึ่งจะมีระยะเวลาให้เลือก เช่น 3, 6, 12, 24 เดือน ดอกเบี้ยเงินฝากประจำจะมากกว่าดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ และพอจะสู้กับเงินเฟ้อได้นิดหน่อย แต่ต้องแลกมากับสภาพคล่อง ส่วนดอกเบี้ยจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่เลือก โดยจะอยู่ที่ประมาณ 0.30% – 1.35% ซึ่งหากมีการถอนเงินก่อนครบกำหนดก็อาจจะไม่ได้รับดอกเบี้ยในอัตราที่ธนาคารประกาศ และหากดอกเบี้ยส่วนที่เกิน 20,000 บาท ผู้ฝากเงินจะต้องเสียภาษี ณ ที่จ่าย 15% ของดอกเบี้ยที่ได้รับเช่นเดียวกัน ผลตอบแทน : ประมาณ 0.30% – 1.35% ความเสี่ยง : ต่ำ (แต่ข้อจำกัดของการออมเงินประเภทนี้คือ อาจทำให้เราขาดสภาพคล่องได้ เนื่องจากหากเราถอนเงินก่อนครบกำหนด ก็อาจจะไม่ได้รับดอกเบี้ยในอัตราที่ควรจะได้ในตอนแรก) อัตราดอกเบี้ยเงินฝากสำหรับบุคคลธรรมดา ของธนาคารพาณิชย์ วันที่ 8 เมษายน 2565 ที่มา :https://www.bot.or.th/thai/statistics/_layouts/application/interest_rate/in_rate.aspx 3. ลงทุนในหุ้นในปัจจุบันการลงทุนในหุ้นเรียกได้ว่าเป็นที่นิยม และเป็นเรื่องใกล้ตัวมากขึ้น เพราะผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้น หากเราเลือกหุ้นได้ถูกตัว ก็จะสามารถสร้างผลกำไรได้อย่างมากมาย แต่ทั้งนี้ผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นก็ไม่ค่อยแน่นอน ขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานของบริษัทนั้น ๆ ซึ่งถือเป็น “ความเสี่ยง” หากเราลงทุนในหุ้นผิดตัว ก็สามารถขาดทุนได้เช่นกัน ดังคำกล่าวที่ว่า High Risk... High Return ดังนั้นการจะลงทุนในหุ้นนั้นจึงควรศึกษาข้อมูลต่าง ๆ อย่างละเอียดรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน ผลตอบแทน : สามารถกำไร หรือขาดทุนได้มากกว่า 50% ทำให้นักลงทุนมือใหม่หลายคนเลือกที่จะกระจายความเสี่ยงไปเป็นการซื้อ “กองทุนรวมหุ้น” แทน เพื่อให้ได้ผลตอบแทนเฉลี่ยใกล้เคียงกับ SET Index ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 8-10% ต่อปีหากลงทุนเป็นระยะยาวอย่าง 10 ปีขึ้นไป ความเสี่ยง : สูง (หากซื้อหุ้นถูกตัวก็สามารถสร้างผลตอบแทนได้มาก กลับกันหากซื้อหุ้นผิดตัวก็สามารถขาดทุนได้มากเช่นกัน) 4. ลงทุนในกองทุนรวมกองทุนรวมเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับนักลงทุนทั้งหน้าใหม่และหน้าเก่า เพราะเราสามารถลงทุนได้หลากหลายสินทรัพย์ ไม่ใช่เฉพาะหุ้นอย่างเดียว โดยมีตั้งแต่ เงินฝาก ตราสารหนี้ในประเทศ ตราสารหนี้ต่างประเทศ หุ้นในประเทศ และหุ้นนอกประเทศ ฯลฯ อีกทั้งยังได้ในเรื่องของการกระจายความเสี่ยงอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น “กองทุนรวมหุ้น” จากการที่เราจะซื้อหุ้นเป็นตัว ๆ การซื้อกองทุนรวมหุ้น ก็จะทำให้เงินของเราสามารถกระจายไปในหุ้นหลาย ๆ ตัวได้ โดยใช้เงินเท่าเดิม เป็นต้น อีกทั้งการลงทุนในกองทุนรวมนั้น ยังมี Fund Manager หรือผู้เชี่ยวชาญ คอยเลือกสินทรัพย์ให้เราอีกด้วย ซึ่งจะแตกต่างกับการลงทุนในหุ้นที่เราต้องศึกษา และเลือกหุ้นลงทุนด้วยตัวเอง ผลตอบแทน : เนื่องจากกองทุนรวมนั้นมีหลากหลายประเภท และลงทุนได้หลากหลายสินทรัพย์ ผลตอบแทนจากกองทุนรวมจึงขึ้นอยู่กับประเภทของสินทรัพย์ต่าง ๆ ซึ่งในแต่ละช่วงเวลา ก็จะให้ผลตอบแทนที่แตกต่างกัน ความเสี่ยง : ต่ำ - สูง (อยู่ที่เราจะเลือกลงทุนในประเภทไหน เช่น กองทุนตราสารหนี้ กองทุนผสม กองทุนรวมหุ้น หรือกองทุนทองคำ ผลตอบแทนก็จะสูงขึ้นมาตามแต่ละสินทรัพย์ เห็นไหมว่าแม้เราจะกระจายความเสี่ยงไปลงทุนในกองทุนแล้ว แต่เราก็ยังกระจายไม่พอ หากเราไม่มีการลงทุนแบบกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์อื่น ๆ) ภาพแสดงผลตอบแทนของสินทรัพย์แต่ละประเภททั่วโลก ที่มา : https://novelinvestor.com/asset-class-returns/ อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงจะสนใจลงทุนผ่านกองทุนรวม เพราะเราสามารถเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายประเภทได้ โดยดูจากนโยบายการลงทุนของกองทุนรวมนั้น ๆ แต่จะดีกว่าไหม หากเราสามารถจัดพอร์ตการลงทุนตามความเสี่ยงที่เรารับได้ พร้อมกับมีผู้เชียวชาญคอยดูแลคัดสรรกองทุน พร้อมการจัดและปรับพอร์ตการลงทุนตามสถานการณ์ที่สำคัญให้เรา ขณะเดียวกันเรายังสามารถกระจายการลงทุนไปในหลากหลายสินทรัพย์ เช่น ตราสารหนี้ในประเทศ ตราสารหนี้ต่างประเทศ หุ้นในประเทศ และหุ้นต่างประเทศ มาดูทางเลือกอย่างที่ 5 กันเลย 5. ลงทุนด้วย ttb smart portttb smart port คือ เครื่องมือทางการลงทุน ที่ออกแบบมาเพื่อเปลี่ยนการลงทุนให้เป็นเรื่องง่ายขึ้น ซึ่งเหมาะกับนักลงทุนที่ยังไม่มีเวลาติดตามสภาวะตลาด หรือไม่รู้ว่าจะเลือกลงทุนในกลุ่มไหนดี โดย ttb smart port จะมีมืออาชีพซึ่งเป็นผู้เชียวชาญด้านการลงทุนระดับโลกมาช่วยดูแล คัดสรรกองทุน จัดและปรับสัดส่วนการลงทุนให้อย่างสม่ำเสมอ ตามสภาวะของตลาด อีกทั้งยังมีหลากหลายโมเดลให้เราเลือกตามความเสี่ยงที่เหมาะสมกับเรา ทำให้เรามั่นใจได้ว่าจะมีโอกาสไปถึงเป้าหมายทางการเงินได้เร็วขึ้น ต่อไปเรามาดูสัดส่วนการลงทุนกระจายความเสี่ยงของ ttb smart port แต่ละแผนกันว่ามีหน้าตาอย่างไรกันบ้าง สัดส่วนการลงทุนในแต่ละแผนของ ttb smart port1. tsp1-preserver - ลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศ 80% และตราสารหนี้ต่างประเทศ 20% ผลตอบแทน : กองทุนนี้เหมาะกับคนที่ต้องการควบคุมความเสี่ยงเป็นหลัก เน้นรักษาเงินต้น ความเสี่ยง : ระดับ 4 (ต่ำสุดใน ttb smart port ทั้งหมด)
ผลตอบแทน : กองทุนนี้เหมาะกับคนที่ต้องการชนะเงินเฟ้อ และไม่ต้องการรับความผันผวน ความเสี่ยง : ระดับ 5
ผลตอบแทน : กองทุนนี้เหมาะกับคนที่อยากกระจายเงินลงทุนในสินทรัพย์หลากหลาย ผลตอบแทนกำลังพอดี ไม่เสี่ยงมากไปหรือน้อยไป ความเสี่ยง : ระดับ 5
ผลตอบแทน : กองทุนนี้เหมาะกับคนที่เน้นเรื่องการเติบโตโดยเฉพาะ และพร้อมจะรับความเสี่ยงและความผันผวนที่สูงขึ้นได้ในระยะเวลา 3-5 ปี ความเสี่ยง : ระดับ 5
ผลตอบแทน : กองทุนนี้เหมาะกับคนที่ต้องการโอกาสรับผลตอบแทนสูงสุด จาการลงทุนในหุ้นทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ความเสี่ยง : ระดับ 6 (สูงสุดใน ttb smart port ทั้ง 5 แผน) จะเห็นได้ว่า จากทางเลือกที่เราเสนอมาทั้งหมด 5 ทางเลือก การลงทุนแบบจัดพอร์ตกับ tsp นั้นดูจะมีความยืดหยุ่นที่สุด เพราะเราสามารถเลือกระดับความเสี่ยงเองได้ และได้ทำการกระจายการลงทุนไปด้วย โดยมีผู้เชี่ยวชาญคอย คัด จัด ปรับพอร์ต ให้เรา ซึ่งเราสามารถนำเงินเก็บในแต่ละเดือนของเรามาลงทุนใน ttb smart port ได้ง่าย ๆ ไม่ยุ่งยาก สุดท้ายขอจากกันด้วยรูปตัวอย่างผลตอบแทนย้อนหลัง ด้วยการลงทุนเดือนละ 5,000 บาท ระหว่าง ttb smart port กับการลงทุนในดัชนี SET Index เพียงอย่างเดียว ว่าผลตอบแทน และความเสี่ยงที่ได้จะเป็นอย่างไร โดยในที่นี้จะขอยกตัวอย่างเป็น tsp3-balancer สำหรับคนชอบทางสายกลางกันนะครับ https://www.investing.com/indices/thailand-set-historical-data จากตารางจะเห็นได้ว่าหากเราลงทุนต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ โอกาสจะเป็นเจ้าของเงินล้าน ก็อยู่ไม่ไกลเกินฝัน เพียงเราเลือกลงทุนให้ถูกที่ และมีวินัยสม่ำเสมอ จากเงิน 5,000 บาท ก็มีโอกาสกลายเป็นเงินล้านได้ ไม่ยากเกินฝันเช่นกัน หากใครต้องการเครื่องมือช่วยลงทุนดี ๆ แบบนี้ สามารถเริ่มต้นลงทุนได้ง่าย ๆ ด้วย ttb smart port ซึ่งมีโปรโมชันพิเศษ 3 ต่อ !!
ขั้นตอนการตั้งรายการลงทุนรายเดือนอัตโนมัติผ่านแอป ttb touchรายละเอียดและเงื่อนไข การรับ 5 wow
รายละเอียดและเงื่อนไข การรับ 60 wow
รายละเอียดและเงื่อนไข ของการรับหน่วยลงทุนพิเศษเพิ่มอีก 0.2%
|