กระเพาะปัสสาวะอักเสบโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ (Cystitis, Lower Urinary tract infection) เป็นโรคที่พบได้บ่อยในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายหลายเท่า เนื่องจากท่อปัสสาวะของผู้หญิงจะสั้น และอยู่ใกล้ทวารหนักซึ่งเป็นแหล่งที่มีเชื้อโรคมาก เชื้อโรคจากบริเวณดังกล่าวจึงเข้าทางท่อปัสสาวะของผู้หญิงได้ง่ายกว่าผู้ชาย Show โรคนี้สามารถป้องกันและรักษาได้ง่าย ๆ แต่ถ้าไม่ได้รับการรักษา เชื้อโรคอาจลุกลามขึ้นไปที่ไตทำให้เป็นกรวยไตอักเสบ และถ้าปล่อยให้เป็นเรื้อรังก็อาจทำให้เกิดภาวะไตวายเรื้อรังแทรกซ้อน ซึ่งยากแก่การเยียวยารักษาได้ ผู้หญิงแทบทุกคนมีโอกาสเป็นโรคนี้ในทุกช่วงของชีวิต นับตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยสูงอายุ (พบได้สูงในช่วงอายุ 20-50 ปี) พบได้มากในผู้หญิงที่ชอบกลั้นปัสสาวะเป็นเวลานาน ๆ หรือในหญิงตั้งครรภ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในไตรมาสสุดท้ายของการตั้งครรภ์ ส่วนในผู้ชายนั้นมีโอกาสเป็นโรคนี้น้อยมาก เนื่องจากมีสรีระที่ยากต่อการติดเชื้อ ถ้าพบว่าเป็นก็มักจะมีความผิดปกติอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น เนื้องอกกระเพาะปัสสาวะ ก้อนเนื้องอกในช่องท้อง ต่อมลูกหมากโต หรือมีความผิดปกติทางโครงสร้างของทางเดินปัสสาวะ
สาเหตุของกระเพาะปัสสาวะอักเสบส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียกลุ่มแกรมลบที่มีอยู่ในอุจจาระของคนเรา เช่น อีโคไล (E.coli), เคล็บซิลลา (Klebsiella), สูโดโมแนส (Pseudomonas), เอนเทอโรแบกเตอร์ (Enterobacter) เป็นต้น (แต่ส่วนใหญ่แล้วประมาณ 75-95% เกิดจากเชื้ออีโคไล) ซึ่งเชื้อเหล่านี้จะมีอยู่มากที่บริเวณรอบ ๆ ทวารหนัก เนื่องมาจากการชำระหลังถ่ายอุจจาระไม่ถูกต้องสมบูรณ์ เชื้อโรคจึงปนเปื้อนผ่านเข้าท่อปัสสาวะ เข้ามาในกระเพาะปัสสาวะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้หญิงที่ปกติท่อปัสสาวะจะสั้นและอยู่ใกล้กับทวารหนัก จึงง่ายที่เชื้อโรคจะปนเปื้อนเข้าไปในกระเพาะปัสสาวะ ส่วนในผู้ชายจะมีโอกาสติดเชื้อได้น้อยมาก เนื่องจากมีท่อปัสสาวะยาวและอยู่ห่างจากทวารหนักมาก อีกทั้งเมื่อเชื้อโรคเข้าไปอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ ถ้ามีการถ่ายปัสสาวะทุกครั้งที่รู้สึกปวดก็จะสามารถขับเอาเชื้อโรคนั้นออกมาได้ จึงไม่ทำให้เกิดการอักเสบของกระเพาะปัสสาวะ แต่ในกรณีที่กลั้นปัสสาวะนาน ๆ เช่น รถติดหรือเดินทางไปต่างจังหวัด (ไม่มีห้องน้ำให้เข้าหรือกลัวการใช้ห้องน้ำสาธารณะที่ไม่สะอาด) หรือหน้าน้ำท่วมที่ไม่กล้าเข้าห้องน้ำเพราะกลัวสัตว์มีพิษ หรือนอนกลางคืนแล้วขี้เกียจลุกไปเข้าห้องน้ำ หรือทำอะไรเพลิน ๆ จนลืมเข้าห้องน้ำ เป็นต้น เชื้อโรคที่เข้าไปในกระเพาะปัสสาวะจึงมีเวลานานพอที่จะแบ่งตัวเจริญแพร่พันธุ์ จนทำให้เกิดการอักเสบของกระเพาะปัสสาวะ เกิดอาการขัดเบาขึ้นมาได้ ด้วยเหตุนี้ โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบจึงมักพบได้ในผู้หญิงทั่วไปที่ไม่ระมัดระวังการชำระล้างทวารหนักและชอบกลั้นปัสสาวะเป็นเวลานาน ๆ ในผู้หญิงที่แต่งงานใหม่หรือหลังร่วมเพศ อาจมีอาการขัดเบาแบบกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้ เรียกว่า “โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบจากฮันนีมูน” (Honeymoon cystitis) ซึ่งมีสาเหตุมาจากการฟกช้ำจากการร่วมเพศ แล้วทำให้มีอาการอักเสบของท่อปัสสาวะ ปัจจัยเสี่ยงของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบในบางคนยังอาจมีเหตุชักนำให้เกิดโรคนี้ได้มากกว่าทั่วไป (จัดเป็นกลุ่มเสี่ยง) เช่น
อาการของกระเพาะปัสสาวะอักเสบผู้ป่วยจะมีอาการขัดเบา คือ ถ่ายปัสสาวะกะปริดกระปรอย (ออกมาทีละน้อยแต่บ่อยครั้ง) รู้สึกปวดขัดหรือแสบร้อนเวลาถ่ายปัสสาวะ โดยเฉพาะตอนถ่ายปัสสาวะสุด มักต้องเข้าห้องน้ำทุกชั่วโมงหรือชั่วโมงละหลายครั้ง มีอาการคล้ายถ่ายปัสสาวะไม่สุดอยู่ตลอดเวลา ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการปวดที่ท้องน้อยหรือบริเวณหัวหน่าวร่วมด้วย ปัสสาวะอาจมีกลิ่นเหม็น สีมักใส แต่บางรายปัสสาวะอาจมีสีขุ่นหรือมีเลือดปน มักไม่มีไข้ (ยกเว้นถ้ามีกรวยไตอักเสบร่วมด้วย ผู้ป่วยจะมีไข้สูง หนาวสั่น ปัสสาวะสีขุ่น และมีอาการปวดเอวร่วมด้วย) ส่วนในเด็กเล็กอาจมีอาการปัสสาวะรดที่นอน และอาจมีไข้ เบื่ออาหาร อาเจียนร่วมด้วย โดยอาการมักเกิดขึ้นหลังกลั้นปัสสาวะเป็นเวลานาน ๆ มีการสวนปัสสาวะ หรือหลังจากการร่วมเพศ ภาวะแทรกซ้อนของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบส่วนมากโรคนี้มักจะไม่มีภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง แต่ในผู้ป่วยบางรายอาจเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง ซึ่งถ้าไม่ได้รับการรักษา เชื้อโรคอาจลุกลามขึ้นไปที่ไตทำให้เป็นกรวยไตอักเสบ และถ้าปล่อยให้เป็นเรื้อรังก็อาจทำให้เกิดภาวะไตวายเรื้อรังแทรกซ้อนได้ ส่วนในผู้ชายเชื้ออาจลุกลามเข้าไปทำให้ต่อมลูกหมากอักเสบ นอกจากนี้ เมื่อการอักเสบติดเชื้อรุนแรง อาจลุกลามเป็นการอักเสบติดเชื้อในกระแสเลือดจนเป็นเหตุทำให้เสียชีวิตได้ การวินิจฉัยโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบแพทย์มักวินิจฉัยโรคนี้ได้จากอาการที่แสดง คือ อาการขัดเบา ถ่ายปัสสาวะกะปริดกระปรอย โดยไม่มีอาการผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย ส่วนในรายที่มีอาการแยกจากสาเหตุอื่นไม่ชัดเจน หรือเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง อาจมีการตรวจอื่น ๆ เพิ่มเติมด้วย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วยและดุลยพินิจของแพทย์ เช่น การตรวจปัสสาวะ (ถ้าเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบจะพบปริมาณเม็ดเลือดขาวในปัสสาวะมากกว่าปกติ) นำปัสสาวะไปเพาะหาเชื้อซึ่งจะพบเชื้อที่เป็นต้นเหตุ การตรวจเลือด การส่องกล้องตรวจกระเพาะปัสสาวะ (Cystoscopy) ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้มักตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติที่ชัดเจน บางรายอาจมีอาการกดเจ็บเล็กน้อยตรงกลางท้องน้อย ในเด็กเล็กที่มีอาการปัสสาวะรดที่นอนบ่อย ๆ หรือมีไข้ และอาเจียนโดยไม่ทราบสาเหตุ ควรนึกถึงโรคนี้ไว้เสมอ ซึ่งการตรวจปัสสาวะจะช่วยให้วินิจฉัยโรคได้แน่ชัด กระเพาะปัสสาวะอักเสบเป็นสาเหตุอันดับต้น ๆ ของอาการขัดเบา แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีโรคอื่น ๆ อีกหลายชนิดที่อาจมีอาการแสดงคล้ายกับโรคนี้ หากสงสัยควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยให้แน่ชัดและรับการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ เช่น
ปัสสาวะบ่อยมีหลายสาเหตุ ในคนปกติถ้าดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้ว (1,500-2,000 ซี.ซี.) จะปัสสาวะประมาณวันละ 3-5 ครั้ง และหลังเข้านอนจะไม่ตื่นมาปัสสาวะเลย แต่อาการปัสสาวะบ่อย ๆ (มากกว่า 5 ครั้งต่อวัน) อย่าเข้าใจว่าเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบเพียงอย่างเดียว เพราะอาจมีสาเหตุดังต่อไปนี้
วิธีรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
วิธีป้องกันโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบในผู้ที่เคยเป็นโรคนี้และรักษาหายแล้วควรป้องกันมิให้เป็นซ้ำโดยการ
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
เอกสารอ้างอิง
ภาพประกอบ : www.theayurveda.org, www.wikihow.com เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai) ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะมีอาการยังไงอาการของการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะส่วนบน
รู้สึกเจ็บปวดหรือแสบร้อนขณะปัสสาวะ ถ่ายปัสสาวะกะปริดกะปรอย ปัสสาวะบ่อยครั้ง หรืออั้นปัสสาวะไม่ได้ รู้สึกปัสสาวะไม่สุด ปัสสาวะมีกลิ่นเหม็นกว่าปกติ อาจมีสีขุ่น หรือมีเลือดปน
โรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ มีอะไรบ้างโรคติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ (urinary tract infection หรือ UTI) หมายถึง การเกิดการอักเสบของระบบทางเดินปัสสาวะรวมถึงการติดเชื้อตั้งแต่กระเพาะปัสสาวะ ท่อปัสสาวะ ไปจนถึงไต ทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ได้ดังนี้ โรคท่อปัสสาวะอักเสบ (Urethritis) โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ (Cystitis) โรคกรวยไตอักเสบ (Pyelonephritis)
ทำไมติดเชื้อทางเดินปัสสาวะการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ เกิดขึ้นเมื่อมีเชื้อแบคทีเรียจากทางเดินอาหาร จากอุจจาระ เดินทางมายังท่อปัสสาวะ แล้วลุกลามต่อเข้ากระเพาะปัสสาวะหรือท่อไต โดยปัจจัยที่ทำให้เชื้อแบคทีเรียเดินทางมายังทางเดินปัสสาวะในผู้ป่วยเด็ก ส่วนใหญ่มักเกิดจากการกลั้นปัสสาวะ และการทำความสะอาดหลังขับถ่ายไม่ถูกวิธี
ทาง เดิน ปัสสาวะ อักเสบ กี่ วัน หายเมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ การรักษาหลักๆ คือ การกินยาปฏิชีวนะ ประมาณ 3-5 วัน ขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อ ร่วมกับการรักษาตามอาการ เช่น ยาแก้ปวด ยากลายการบีบตัวของกระเพาะปัสาวะ เป็นต้น ซึ่งผู้ป่วยควรรับประทานยาปฏิชีวนะให้ครบตามคำแนะนำของแพทย์ แม้อาการจะดีขึ้นก่อนก็ตาม เนื่องการรับประทานยาปฏิชีวนะไม่ ...
|