มูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็กได้รายงานการละเมิดสิทธิเด็กไว้ในรายงานการวิจัยแนวทางในการคุ้มครอง ช่วยเหลือพัฒนาสภาพแรงงานเด็กต่างชาติในประเทศไทยว่า เด็กต่างชาติถูกเอาเปรียบด้านแรงงานทั้งในเรื่องค่าแรงที่ต่ำกว่าค่าแรงขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนด ถูกใช้แรงงานหนัก มีระยะเวลาทำงานที่ยาวนานและไม่ได้รับการคุ้มครองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากปัญหาที่ตัวเด็กที่ไม่สามารถมาเรียกร้องสิทธิของตนเอง เนื่องจากเกรงกลัวนายจ้าง และกลัวความผิดที่ลักลอบเข้าเมือง ทำใหเด็กต้องยอมทันกลับสภาพปัญหาและบางคนต้องหนีออกจากบ้านนายจ้าง โดยไม่ได้เรียกร้องสิทธิค่าจ้างตามที่ตนเองควรจะได้รับ อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก เป็นข้อตกลงระหว่างประเทศที่กำหนดขึ้นตามหลักการของกฎบัตรแห่ง สหประชาชาติ ที่ว่าด้วยศักดิ์ศรีและคุณค่าของมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน โดยการไม่เลือกปฏิบัติ โดยระลึกว่าเด็กมีสิทธิพิเศษที่จะได้รับการดูแลช่วยเหลือ และคุ้มครองทั้งจากครอบครัวและสภาพแวดล้อมอื่นๆ ประเทศไทยได้ลงนามเข้าเป็นภาคีเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2535 และอนุสัญญามีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ.2535 หลักการของอนุสัญญา อนุสัญญานี้มีทั้งสิ้น 54 ข้อ โดย 40 ข้อแรกมีสาระสำคัญเกี่ยวกับสิทธิพื้นฐานของเด็ก 4 ประการ ส่วนอีก 14 ข้อนั้นเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการที่จะทำให้เกิดการตามพันธกรณีที่ระบุไว้ในอนุสัญญา ตลอดจนสิทธิหน้าที่ของรัฐภาคีที่ร่วมลงนามในสนธิสัญญาฉบับนี้ โดยจะมีอยู่ 3 ส่วน ดังนี้ อนุสัญญานี้มีทั้งสิ้น 54 ข้อ โดย 40 ข้อแรกมีสาระสำคัญเกี่ยวกับสิทธิพื้นฐานของเด็ก 4 ประการ ส่วนอีก 14 ข้อนั้นเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการที่จะทำให้เกิดการตามพันธกรณีที่ระบุไว้ในอนุสัญญา ตลอดจนสิทธิหน้าที่ของรัฐภาคีที่ร่วมลงนามในสนธิสัญญาฉบับนี้ โดยจะมีอยู่ 3 ส่วน ดังนี้ โดยจะเน้น หลักการคุ้มครองจากการเลือกปฏิบัติ เพื่อประโยชน์สูงสุดของเด็ก การเคารพในสิทธิหน้าที่ของบิดามารดา และการปกป้องสิทธิเด็กด้วยมาตรการทางนิติบัญญัติ เนื้อหาของอนุสัญญาแต่ละข้อ ผมจะนำมาโพสต์ในอนาคตครับ เด็กตามความหมายของอนุสัญญาฉบับนี้หมายถึง มนุษย์ทุกคนที่อายุต่ำกว่าสิบแปดปี เว้นแต่จะบรรลุนิติภาวะ ก่อนหน้านั้นตามกฎหมายที่บังคับใช้แก่เด็กนั้น โดยพอที่จะสรุปสิทธิขั้นพื้นฐานของเด็กได้ 4 ประการ ดังนี้ วันนี้ผมจะขอพูดถึงสิทธิที่จะมีชีวิตและอยู่รอด ก่อนที่จะไปถึงสิทธิข้ออื่นๆ สิทธิที่จะมีชีวิตอยู่และอยู่รอดนั้น เด็กคงจะมีไม่ได้ ถ้าเด็กขาดโภชนาการที่ดี ความรักความเอาใจใส่จากครอบครัวและสังคม การบริการด้านสุขภาพ ให้ทักษะชีวิตที่ถูกต้อง ให้การศึกษา ให้ที่อยู่อาศัยการเลี้ยงดู และปัจจัยสี่ รัฐต้องรองรับการมีชีวิตรอดหรือส่งเสริมการมีชีวิตของเด็ก ไอ้ที่กล่าวมาทั้งหมด อาจจะเป็นแค่ตัวหนังสือที่อยู่ในอนุสัญญาฯ หรือในกฎหมาย ที่มีการกำหนดไว้ ผมไม่ค่อยจะเชื่อหรอกนักว่า เด็กจะได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานเหล่านี้จากรัฐทั้งหมดหรอกครับ อาหารการกินนั้นพ่อแม่อาจจะหามาให้เด็กกินได้พออิ่ม บ้านที่ร่ำรวยก็คงกินกันอย่างสำราญบานตะไท แต่ในส่วนของบ้านไหนที่ยากจน ยากไร้ ก็ยังคงต้องอดมื้อกินมื้อต่อไป ตราบใดที่หน่วยงานรัฐที่มีส่วนรับผิดชอบยังไม่มีการลงไปปฏิบัติงานโดยถึงตัวเด็กและครอบครัวอย่างทั่วถึงจริง ๆ จะสังเกตง่าย ๆ จากบ้านพักเด็กอ่อนต่าง ๆ เจ้าหน้าที่พอหรือไม่? อาหารเด็กพอหรือไม่ในแต่ละวัน? สารอาหารที่เด็กแต่ละคนได้รับนั้นเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายรึเปล่า? ผมไม่อยากตัดสินหรอกครับ ว่าเป็นอย่างไร แต่จากที่เห็น ผมเป็นห่วงเด็ก ๆ ที่กำลังจะเติบโตเหล่านั้น จะเติบโตขึ้นมาอย่างไม่ค่อยจะสมบูรณ์นัก ใครที่สมบูรณ์ดีอยู่แล้วก็คิดกันเอาเองครับ ยิ่งเรื่องความรักความเอาใจใส่จากครอบครัว นี่ไม่ต้องพูดถึงเลยครับ ถ้าพ่อแม่ไม่มีเวลามาสั่งสอนลูกจะเป็นยังไง หลายครอบครัวใน กทม. ยิ่งในสภาพชุมชนแออัด ที่พ่อแม่ไม่มีเวลาสอนลูกหลาน ต้องทำงานแข่งกับเวลาเพื่อหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง และเลี้ยงลูกหลาน แค่นี้วัน ๆ นึงก็หมดเวลาแล้ว จะไปสอนใครได้ ช่วยเหลือตัวเองยังจะไม่รอดเลยครับ เรื่องทักษะชีวิตน่ะเหรอ ถ้าไม่ใช่ครอบครัวที่พอจะมีจะกินพอมีการมีงานดี ๆ ส่งลูกไปเรียนโรงเรียนดี ๆ หรือโอกาสของครอบครัวในการที่จะสอนลูกด้วยเหตุผล สิ่งเหล่านี้จะหาได้รึเปล่าในครอบครัวที่ยากจนและครอบครัวที่อยู่ในชนบท ท่านผู้อ่านก็ลองคิดดูก็แล้วกัน การบริการด้านสุขภาพ ถ้าจะให้รัฐมาจัดให้อย่างทั่วถึงเหรอมันคงไม่ทั่วหรอกครับ ผมเคยคุยกับแพทย์ และพยาบาลหลายๆท่าน แต่ละท่านก็บอกว่าเวลาที่จะรักษาพยาบาลเด็ก ๆ เด็กไร้สัญชาติ เด็กชาวเขา เด็กแรงงานต่างด้าว เด็กเร่ร่อน หรือเด็กด้อยโอกาสอื่น ๆ ผู้ให้บริการสาธารณสุขเหล่านั้น ท่านก็รักษาให้เด็ก ๆ ฟรีด้วยจรรยาบรรณของผู้ให้บริการ แต่ถ้าถามถึงเรื่องของงบประมาณที่จะลงไปให้เด็ก ๆ เหล่านั้นในการรักษาพยาบาลน่ะเหรอ ไม่มีหรอกครับ ตัวบทกฎหมายเองก็บอกว่าต้องเป็นเด็กไทยมีเลขบัตรประชาชน 13 หลักถึงจะมีงบนะ ถ้าไม่ใช่เด็กไทย ใครรักษาก็เรื่องท่าน ไม่เห็นจะมีองค์กรไหนรับรองหรอกนะ จะมีบ้างก็บางองค์กรที่ทำงานกับเด็ก ๆ ที่ออกเงินให้เด็กเอง (นี่รับฟังมาจากองค์กรที่ทำงานกับเด็กองค์กรหนึ่งที่ภาคเหนือ ที่ออกเงินค่ารักษาพยาบาลให้เด็กเอง) ทั้ง ๆ ที่ตัวอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กก็บอกไว้โทนโท่ว่า เด็กทุกคนต้องได้รับบริการสาธารณสุขที่ดีที่สุดเท่าที่จะจัดหาได้แก่เด็กนั้น และรัฐจะต้องมีระบบที่ประกันว่า สิทธิเหล่านี้จะเข้าถึงทุกคนบนแผ่นดินนี้ แล้วมันมีหรือยัง??? มันครอบคลุมแล้วหรือยัง นี่อาจจะเป็นคำถามที่เด็ก ๆ เหล่านั้นเองก็คงรอคอยคำตอบหน่วยงานที่รับผิดชอบอยู่ โอ๊ย ผมพูดไป เขียนไป ก็จะว่ามากความ หาว่าเรียกร้องนู่นนี่อีก แต่ถามจริง ๆ เถอะว่า รัฐบาลไทยทำได้จริงแค่ไหน ทำได้มากเท่าใด เรื่องการบริการด้านสุขภาพ และการทำให้เด็กคนนึงอยู่รอดและเติบโตอย่างสมบูรณ์พูนสุขทั้งกายและใจ มันคงเป็นเรื่องที่เราคงไม่ต้องรอหวังจากรัฐบาลหรอกครับ ช่วยกันเองจะดีกว่า และเห็นผลกว่าเยอะครับ ผมหวังว่าเรื่องการเจริญเติบโตของเด็ก การทำให้เค้าอยู่รอดได้ในสังคมนี้จะดีขึ้น แม้ว่ามันอาจจะเป็นเรื่องยาก เรื่องใหญ่สำหรับใครบางคน แต่หากไม่มีการแก้ไขเรื่องเหล่านี้ก็จะเป็นปัญหาต่อไป ถ้าไม่มีใครกล้าที่จะก้าวออกมาเพื่อที่ช่วยเหลือเด็ก ๆ รัฐบาล ผู้เกี่ยวข้อง และพวกเราทุกคน คงต้องเก็บมาคิดเป็นการบ้านแล้วละครับ ไม่อย่างนั้นก็คงต้องคอยดูกันต่อไปว่าเด็กไทยจะเข้าถึงการอยู่รอด และการมีชีวิตอยู่มากน้อยแค่ไหน |