จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี Show
ระบบขับถ่ายปัสสาวะ หรือ ระบบทางเดินปัสสาวะ ประกอบด้วยไต ท่อไต กระเพาะปัสสาวะ และท่อปัสสาวะ หน้าที่ของระบบขับถ่ายปัสสาวะ คือ กำจัดของเสียออกจากร่างกาย ควบคุมความดันเลือดและปริมาตรเลือดในกาย ควบคุมระดับอิเล็กโทรไลต์และเมแทบอไลต์ และควบคุมค่าความเป็นกรดเบสของเลือด ทางเดินปัสสาวะเป็นระบบระบายน้ำของร่างกายโดยการขับปัสสาวะออกในท้ายที่สุด[1] ที่ไตมีปริมาณเลือดไหลเข้าจำนวนมากโดยผ่านหลอดเลือดแดงไต และออกจากไตโดยผ่านหลอดเลือดดำไต ไตแต่ละข้างประกอบด้วยหน่วยการทำงานขนาดเล็ก เรียกว่า หน่วยไต เลือดจะถูกกรองและผ่านกระบวนการต่าง ๆ ทำให้ได้ของเสียในรูปของปัสสาวะและออกจากไตทางท่อไต ซึ่งเป็นท่อที่ประกอบด้วยเส้นใยกล้ามเนื้อเรียบที่ดันให้ปัสสาวะไหลสู่กระเพาะปัสสาวะ ซึ่งเป็นที่เก็บปัสสาวะและขับออกนอกร่างกายโดยการถ่ายปัสสาวะ ระบบขับถ่ายปัสสาวะของเพศหญิงและเพศชายคล้ายกันมาก ต่างกันเพียงความยาวของท่อปัสสาวะ[2] โดยปกติแล้วจะมีปัสสาวะที่ถูกขับออกมา 800 – 2,000 มิลลิลิตรต่อวันในมนุษย์สุขภาพดี ปริมาณนี้จะแตกต่างกันไปตามการได้รับของเหลวเข้าสู่ร่างกายและการทำงานของไต โครงสร้าง[แก้]แบบจำลองสามมิติของระบบขับถ่ายปัสสาวะ
จุลกายวิภาคศาสตร์[แก้]ภายใต้กล้องจุลทรรศน์ ผนังด้านในของระบบขับถ่ายปัสสาวะจะถูกคลุมด้วยเนื้อเยื่อบุผิวชนิดแปรเปลี่ยน แตกต่างกับเนื้อเยื่อบุผิวที่บุอวัยวะส่วนใหญ่ในร่างกาย เนื้อเยื่อบุผิวชนิดแปรเปลี่ยนนี้มีลักษณะทั้งราบเรียบและโป่งขยายได้ โดยจะคลุมส่วนใหญ่ของระบบขับถ่ายปัสสาวะ รวมไปถึงกรวยไต ท่อไต และกระเพาะปัสสาวะ อ้างอิง[แก้]
อาการปวดปัสสาวะบ่อย ๆ และเข้าห้องน้ำหลายครั้ง อาจทำให้หลายคนชะล่าใจคิดว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ความจริงแล้วอาจกำลังเผชิญอยู่กับภาวะกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน (Overactive Bladder – OAB) ที่ส่งผลกระทบกับคุณภาพชีวิตได้ในระยะยาว ถ้าไม่รีบรักษาอย่างทันท่วงที รู้จักกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกินภาวะกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน (Overactive Bladder – OAB) เป็นโรคที่ยังไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน ที่เกิดจากการรับรู้ของกระเพาะปัสสาวะที่เร็วกว่าปกติ ทำให้กล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะบีบตัวบ่อย ส่งผลให้มีอาการปัสสาวะบ่อยทั้งในตอนกลางวันและกลางคืน ไม่ว่าจะดื่มน้ำในปริมาณมากหรือน้อยก็ตาม ทำให้เกิดความรำคาญ ขาดความมั่นใจ วิตกกังวล รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน โดยจะพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย พบได้ตั้งแต่ผู้ที่อยู่ในวัยทำงานช่วงอายุ 30 – 40 ปี และพบมากในผู้สูงวัยช่วงอายุตั้ง 50 ปีขึ้นไป อาการบอกโรคอาการที่อาจบ่งบอกว่าเป็นกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน ได้แก่
ตรวจเช็กให้รู้ทันการตรวจเช็กภาวะกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกินสามารถประเมินได้โดยแพทย์เฉพาะทาง ซึ่งแพทย์จะทำการซักถามและให้ทำแบบประเมินโดยละเอียด ซึ่งจะพิจารณาจาก
นอกจากนี้จะมีการเก็บตัวอย่างปัสสาวะไปตรวจการติดเชื้อ ตรวจปัสสาวะตกค้าง ตรวจการทำงานของกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะขณะที่มีการเติมน้ำเข้าไปในกระเพาะปัสสาวะ เพื่อวินิจฉัยแทรกโรคอื่น ซึ่งการส่งตรวจขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์เป็นสำคัญ รักษากระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกินภาวะกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกินจัดเป็นโรคเรื้อรังที่ต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแนวทางการรักษาแพทย์จะพิจารณาโดยละเอียด มีหลายวิธี ได้แก่ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ประกอบไปด้วย
การใช้ยารับประทานยาที่ใช้รักษาภาวะกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกินจะมีผลในการลดการบีบตัวของกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยกลั้นปัสสาวะได้นานขึ้น ความถี่ในการปัสสาวะลดลง และเพิ่มความจุของกระเพาะปัสสาวะ โดยจะต้องมีการรับประทานยาอย่างต่อเนื่องตามคำแนะนำของแพทย์เฉพาะทางและต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมควบคู่กันไป ปัจจุบันการใช้ยารับประทานได้รับความนิยมมากเพราะผลข้างเคียงน้อย ฉีดยาโบทูลินัมท็อกซิน (Botulinum Toxin)การฉีดยาโบทูลินัมท็อกซิน (Botulinum Toxin) เข้ากล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะผ่านการส่องกล้องตรวจกระเพาะปัสสาวะจะใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยดื้อยาหรือไม่ตอบสนองต่อยาที่รับประทาน ซึ่งวิธีนี้ผู้ป่วยอาจต้องได้รับการฉีดซ้ำ รวมถึงอาจมีผลข้างเคียงคือ ปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะไม่ออกหรือออกไม่หมด จำเป็นจะต้องสวนปัสสาวะทิ้งด้วยตนเอง กระตุ้นเส้นประสาทควบคุมระบบทางเดินปัสสาวะวิธีนี้จะใช้กระแสไฟฟ้าเข้าไปกระตุ้นเส้นประสาทที่ควบคุมการทำงานของกระเพาะปัสสาวะ โดยมีทั้งวิธีการรักษาแบบชั่วคราวและแบบถาวร จำเป็นต้องทำการรักษากับแพทย์เฉพาะทางที่มีความชำนาญเท่านั้น ผ่าตัดเพื่อขยายกระเพาะปัสสาวะหากผู้ป่วยทำการรักษาทุกวิธีแล้วยังไม่เห็นผลอาจจำเป็นจะต้องผ่าตัดเพื่อขยายกระเพาะปัสสาวะเพื่อให้เก็บปริมาณปัสสาวะได้มากขึ้น วิธีนี้ไม่ค่อยได้รับความนิยม เพราะมีผลข้างเคียงค่อนข้างมาก ได้แก่ ปัสสาวะออกไม่แรง ปัสสาวะออกไม่หมด ปัสสาวะมีตะกอน เพิ่มโอกาสติดเชื้อทางเดินปัสสาวะและเป็นนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ จึงจำเป็นต้องปรึกษาแพทย์เฉพาะทางอย่างละเอียด แม้ภาวะกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกินจะไม่ได้ส่งผลร้ายแรงกับร่างกาย แต่รบกวนการใช้ชีวิตและการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในแต่ละวัน รวมถึงส่งผลกับสุขภาพได้ในระยะยาว ดังนั้นการหมั่นสังเกตตนเองแล้วรีบพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อทำการรักษาทันทีและถูกวิธี ย่อมช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีไปอีกนาน |