ปัจจุบันโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ ในพื้นที่อีอีซี ซึ่งเป็นโครงการร่วมลงทุน รัฐ - เอกชน หรือ PPP (Public Private Partnership) ได้เซ็นสัญญาร่วมลงทุนกับเอกชนแล้ว 4 โครงการ ได้แก่ โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก โครงการท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 และโครงการท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 ในส่วนของท่าเทียบเรือ F โดยมีมูลค่าลงทุนรวมสูงถึง 654,921 ล้านบาท เป็นการลงทุนภาคเอกชน 416,080 ล้านบาท (ร้อยละ 64) และเป็นการลงทุนของภาครัฐ 238,841 ล้านบาท (ร้อยละ 36) โดยภาคเอกชนจะให้ผลตอบแทนภาครัฐ 440,193 ล้านบาท และรัฐได้ผลตอบแทนสุทธิ 210,352 ล้านบาท Show ทั้งนี้ ถือเป็นผลสำเร็จครั้งสำคัญของอีอีซี ที่ได้ขับเคลื่อนการลงทุนเพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่ทำให้เกิดผลประโยชน์ต่อประเทศและประชาชนคนไทยทั้งในปัจจุบันและอนาคต ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงหลักฐานเชิงประจักษ์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่เพื่อการลงทุนของประเทศ ภายใต้หลักคิด 4 ประการ ได้แก่
การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานหลักในอีอีซีครั้งนี้ ไม่พึ่งพิงเงินกู้จากต่างประเทศต่างจากอดีตที่ผ่านมา ที่การลงทุนต้องกู้เงินต่างประเทศมาทำโครงการ อันจะทำให้เกิดภาระทางการคลังในระยะยาวที่ต้องทยอยชำระเงินต้นและดอกเบี้ยเงินกู้
ความร่วมมือภาครัฐและเอกชนแบบลงตัว สะท้อนถึงภาคเอกชนไทยมีความแข็งแกร่งเป็นแกนหลักนำพันธมิตรบริษัทต่างชาติ มาร่วมทำงานให้คนไทยด้วยกัน แนวทางใหม่ที่เกิดขึ้นนี้ คือ การใช้บริษัทไทย ใช้คนไทย และใช้เงินไทยในการลงทุนที่จะสร้างงานและเงินหมุนเวียนในประเทศ เกิดการทวีคูณต่อระบบเศรษฐกิจ (Multiplier effect) เพิ่มขึ้นหลายเท่า กว่ามูลค่าการลงทุน 6 แสนล้าน
สินทรัพย์ที่นำมาดำเนินการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานโดยบริหารร่วมกับเอกชนถือเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่ม เกิดมูลค่าลงทุนมากกว่า 650,000 ล้านบาท ทำให้รัฐบาลประหยัดงบประมาณของประเทศ และยังสร้างรายได้สุทธิให้กับภาครัฐ เป็นมูลค่าปัจจุบันมากกว่า 200,000 ล้านบาท การศึกษาความเหมาะสมของโครงการทางด้านเศรษฐศาสตร์เป็นการวิเคราะห์ในแง่มุมมองของประเทศหรือของสังคมโดยรวมเพื่อพิจารณาถึงการจัดสรรทรัพยากรทุกอย่างของประเทศที่มีอยู่อย่างจำกัด เพื่อใช้ในการดำเนินงานตามแผนงานและหรือโครงการต่างๆ ว่าการใช้ทรัพยากรดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และให้ผลประโยชน์แก่ประเทศชาติและสังคมโดยรวม มีความคุ้มค่ากับทรัพยากรที่ได้จากการเสียสละการใช้ประโยชน์ในทางเลือกอื่นๆ มาใช้ตามแผนงานโครงการนั้นมากน้อยเพียงไร ทั้งนี้ โดยใช้ปัจจัยชี้วัดความเหมาะสมทางด้านเศรษฐศาสตร์เป็นเกณฑ์ในการพิจารณา โดยการเปรียบเทียบต้นทุนการใช้ทรัพยากรและผลประโยชน์ที่ได้รับกลับคืนระหว่างสถานการณ์ที่มีโครงการ (With Project Situation) กับไม่มีโครงการ (Without Project Situation) โดยใช้วิธีการเปรียบเทียบกระแสมูลค่าของการใช้ทรัพยากรและผลประโยชน์ที่แท้จริงที่เกิดจากโครงการ ตามระยะเวลาที่ใช้ในการวิเคราะห์ของโครงการโดยการขจัดความแตกต่างของค่าเงินตามกาลเวลาออกไป (Discounted cash flow analysis) ในการศึกษาความเหมาะสมของโครงการทางด้านเศรษฐกิจ จะพิจารณาจากผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการ เปรียบเทียบกับค่าลงทุนของโครงการ ตลอดระยะเวลาในการวิเคราะห์ โดยจะคำนวณในรูปดัชนีหลักทางด้านเศรษฐกิจ คือ
การวิเคราะห์ผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐศาสตร์เมื่อกล่าวถึงผลจากการมีโครงการการศึกษาแนวทางการเลือกใช้ระบบก่อสร้างชิ้นส่วนสำเร็จรูปที่เหมาะสมกับผู้อยู่อาศัยที่มีรายได้น้อย – ปานกลาง ผลประโยชน์ที่พิจารณากัน คือ ผลที่ทำให้ประชาชนสามารถมีที่พักอาศัยเป็นของตนเอง ลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ลดลง รวมทั้งผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจของพื้นที่ที่ได้รับอิทธิพลดีขึ้น ผลประโยชน์จากการมีโครงการอาจจำแนกออกเป็นผลประโยชน์ทางตรง (Direct Benefit) กับผลประโยชน์ทางอ้อม (Indirect Benefit) ซึ่งมีทั้งผลประโยชน์ด้านบวก และผลประโยชน์ด้านลบ ทั้งที่สามารถคิดเป็นเงินตราและไม่สามารถคิดเป็นเงินตราได้ (Tangible and Intangible Benefit) โดยพิจารณาผลประโยชน์ส่วนเพิ่มของโครงการ ซึ่งเปรียบเทียบจากกรณีไม่มีและมีโครงการ ผลประโยชน์ทางตรง (Direct Benefit) เป็นผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ โดยผลประโยชน์ที่นำมาพิจารณาในการศึกษา ประกอบด้วย
ผลประโยชน์ทางอ้อม (Indirect Benefit) นอกเหนือจากผลประโยชน์ทางตรงที่เกิดขึ้น ยังมีผลประโยชน์อีกประเภทหนึ่งที่ ได้รับจากการเกิดขึ้นของโครงการ หรือเป็นผลประโยชน์ที่ไม่สามารถประเมินเป็นตัวเงินที่ชัดเจน ซึ่งเรียกว่า ผลประโยชน์ทางอ้อม (Indirect Benefit) ประกอบด้วย
ในการศึกษานี้ได้เน้นการวิเคราะห์ผลประโยชน์โดยตรงที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการดำเนินการโครงการ เนื่องจากผลประโยชน์ทางอ้อมนั้นมีความซับซ้อน ทำให้การประเมินค่าทำได้ยาก และอาจเกิดการคิดซ้ำซ้อน กับผลประโยชน์ทางตรงทางใดทางหนึ่งได้
การศึกษานี้ทำการศึกษารายรับที่เกิดขึ้นของโครงการ ในการศึกษานี้จะทำการทบทวนค่าใช้จ่ายของโครงการบ้านเอื้ออาทร ซึ่งโดยหลักจะเป็นรายรับจากราคาขายของห้องพัก ในราคาที่ไม่สูงเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อประชาชน และศึกษาค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการเกิดขึ้นของโครงการ โดยศึกษาราคาขายเริ่มต้นของโครงการต่างๆ ในแต่ละภาคของประเทศไทยดังแสดงในตารางที่ 1 ค่าใช้จ่ายของโครงการจะประกอบด้วยค่าใช้จ่ายของบุคลากรในการบริหารงานโครงการในช่วงที่การก่อสร้างแล้วเสร็จ โดยจำนวนตัวเลขกำหนดเป็นค่าเริ่มต้น ซึ่งอาจปรับเปลี่ยนตามขนาดและความเหมาะสมของโครงการโดยมีการกำหนดบุคลากรใน 2 ปีแรก หลังการก่อสร้างแล้วเสร็จ โดยในปีแรกมีสัดส่วนที่ 100% และในปีถัดไปมีสัดส่วนที่ 50% และค่าประชาสัมพันธ์ของโครงการทั้งในส่วนของการประชาสัมพันธ์ตามสื่อต่าง ๆ และการจัดแสดงตามนิทรรศการ โดยให้มีการประชาสัมพันธ์ในปีแรกที่ก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมขาย ดังแสดงในตารางที่ 2 และ 3 ตารางที่ 1 ตัวอย่างราคาขายของบ้านเอื้ออาทร ประเภท แฟลต 1 ห้องนอน ที่มา: เว็บไซต์การเคหะแห่งชาติ (ราคา ณ เดือนธันวาคม พ.ศ. 2559)ตารางที่ 2 ค่าใช้จ่ายของบุคลากรของโครงการ ดูแลและประสานงาน ตารางที่ 3 การประมาณค่าใช้จ่ายประชาสัมพันธ์ 2. การศึกษามูลค่าจากการเป็นเจ้าของที่พักอาศัยทดแทนการเช่าที่พัก จากการสำรวจพบว่า ผู้อยู่อาศัยที่จ่ายค่าเช่า มีค่าใช้จ่ายที่ 2,803 บาทต่อเดือน ขณะที่ผู้ที่เป็นเจ้าของและจ่ายค่าผ่อนที่ 3,096 บาทต่อเดือน ซึ่งการมีที่พักอาศัยเป็นของตนเอง สามารถวิเคราะห์ในรูปแบบของการลงทุนได้ โดยค่าใช้จ่ายในการลงทุนแสดงในลักษณะของเงินที่จ่ายเป็นค่าของทรัพย์สิน ทดแทนค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายเพื่อเป็นค่าเช่าสำหรับที่พักอาศัยได้ 3. การศึกษามูลค่าเวลาในการเดินทาง ในโครงการบ้านเอื้ออาทรเห็นได้ว่าทำเลที่ตั้งของโครงการจะอยู่ในบริเวณพื้นที่ที่สำคัญของเมือง มีการเชื่อมต่อกับศูนย์กลางเมือง ทำให้เกิดการเดินทางที่สะดวกยิ่งขึ้นสำหรับผู้อยู่อาศัย ซึ่งมูลค่าเวลาในการเดินทางของผู้อยู่อาศัยได้ถูกนำมาวิเคราะห์ ซึ่งเป็นผลประโยชน์ทางตรงที่เกิดขึ้นจากการอยู่อาศัยได้ การวิเคราะห์มูลค่าเวลาในการเดินทางของยานพาหนะ (Value of Time: VOT) จะนำไปใช้ในการหามูลค่าการประหยัดเวลาในการเดินทางของยานพาหนะ ซึ่งพิจารณาจากมูลค่าของเวลาของผู้เดินทางเป็นหลักและแตกต่างกันไปตามวัตถุประสงค์ของการเดินทาง จากข้อมูลการสำรวจ พบว่าสัดส่วนของผู้ใช้งานรถส่วนบุคคล ทั้งรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งสัดส่วนการเดินทางของจำนวนบุคคลในการเดินทางอยู่ที่ 1.55 คน สำหรับรถจักรยานยนต์ และ 2.10 คน สำหรับรถยนต์ส่วนบุคคล ซึ่งหากมีการเดินทางที่ใกล้ขึ้น จะทำให้มีการประหยัดค่าใช้จ่ายได้สูงขึ้น โดยแสดงในตารางที่ 4.12 ว่าค่าใช้จ่ายในการเดินทาง จากที่พักปัจจุบันไปกลับที่ทำงาน พบว่า มีค่าเฉลี่ยในการเดินทาง 121.71 บาท/คน/วัน ส่วนใหญ่เสียค่าใช้จ่ายต่อวัน 100 บาท/คน/วัน และ ค่าใช้จ่ายต่ำที่สุด คือ ไม่เสียค่าใช้จ่ายเลย ในขณะที่ค่าใช้จ่ายสูงที่สุด คือ 400 บาท/คน/วัน นอกจากนี้ได้รวบรวมชั่วโมงการทำงานโดยเฉลี่ยของประชากรที่มีงานทำทั่วประเทศ เพื่อนำมาใช้สำหรับการคาดคะเนเป็นมูลค่าของเวลาในการเดินทางของผู้ที่เดินทาง สรุปได้ว่ามีชั่วโมงทำงานโดยเฉลี่ย 157.02 ชั่วโมงต่อเดือน จากค่าใช้จ่ายในการเดินทางเฉลี่ยที่สำรวจ 121.71 บาท/คน/วัน และชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยของคนทั่วประเทศ ที่ 157.02 ชั่วโมงต่อเดือน โดยหากคิดคำนวณชั่วโมงทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวัน ภายในแต่ละเดือนหยุดงานวันเสาร์อาทิตย์ (คำนวณที่ 22 วัน) ได้ 176 ชั่วโมงต่อเดือน ดังนั้นสัดส่วนการทำงานจริงที่เกิดขึ้นจะอยู่ที่ 0.892 และสมมุติฐานการเดินทางที่สั้นลง โดยสมมุติให้ประหยัดค่าเดินทางเฉลี่ยได้ครึ่งหนึ่ง จะได้ข้อมูลของมูลค่าเวลาได้ดังแสดงในตารางที่ 4 ตารางที่ 4 มูลค่าเวลาที่ประหยัดจากค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ข้อมูลจากการสำรวจ ดังแสดงในตารางที่ 4.43 และ 4.44การวิเคราะห์ค่าใช้จ่ายโครงการระหว่างการก่อสร้างทางทีมวิจัยได้วิเคราะห์ค่าใช้จ่ายโครงการเพื่อนำมาวิเคราะห์ทางด้านเศรษฐศาสตร์นั้น จะประกอบไปด้วยค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับค่าทดแทนที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ค่าก่อสร้าง ค่าบำรุงรักษา ค่าควบคุมงาน เป็นต้น ค่าใช้จ่ายดังกล่าวจะเป็นค่าใช้จ่ายทางการเงินซึ่งจะรวมภาษีต่าง ๆ ดังนั้นจึงไม่ใช่มูลค่าทางทรัพยากรที่แท้จริง ที่ปรึกษาจึงทำการปรับค่าของตัวเลขทางการเงินเพื่อที่จะหักภาษีต่างๆออก โดยใช้ค่าตัวคูณแปลงค่าตามข้อแนะนำของธนาคารโลก (สำหรับโครงการขนาดใหญ่งานโยธาในประเทศไทย) ดังแสดงในตารางที่ 5 ตารางที่ 5 ตัวคูณแปลงค่าเป็นราคาทางเศรษฐศาสตร์ของโครงการ ที่มา : AHMED, S.; EM1. 1983. Shadow prices for economic appraisal of projects : an application to Thailand. Staff working paper ; no. SWP 609. Washington, D.C. : The World Bank., No 609.ในการประเมินความเหมาะสมทางเศรษฐศาสตร์ใช้สมมติฐานให้กระจายในช่วงเวลา 4 ปี เริ่มตั้งแต่การออกแบบจนกระทั่งก่อสร้างแล้วเสร็จ ค่าใช้จ่ายในแต่ละรายการจะคิดเป็นร้อยละในแต่ละปี โดยที่สมมติฐานในการเปิดใช้โครงการกำหนดไว้ที่ปี พ.ศ. 2564 ดังตารางที่ 6 แสดงการกระจายค่าลงทุนของโครงการ ตารางที่ 6 การกระจายค่าลงทุนของโครงการ การวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์ของโครงการศึกษาแนวทางการเลือกใช้ระบบก่อสร้างชิ้นส่วนสำเร็จรูปที่เหมาะสมกับผู้อยู่อาศัยที่มีรายได้น้อย – ปานกลาง ได้ทำการศึกษาการก่อสร้างอาคาร 4 ประเภท ได้แก่อาคารขนาด 2 ชั้น และอาคารขนาด 5 ชั้น โดยในแต่ละประเภทจะมีลักษณะต่างกัน 2 รูปแบบ โดยในการคำนวณค่าใช้จ่ายจะประกอบไปด้วย ค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างอาคาร ค่าใช้จ่ายในการทำระบบสาธารณูปโภคภายในโครงการ ค่าใช้จ่ายในการทำลานผลิตชิ้นส่วนสำเร็จรูป และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ดังสรุปในตารางที่ 7 และ 8 ตารางที่ 7 รูปแบบค่าใช้จ่ายในการลงทุนประเภทต่างๆ *กรณีไม่มีลานผลิต และทำการขนส่งจากโรงงานผลิตตารางที่ 8 มูลค่าการลงทุนของอาคารแบบต่างๆ เมื่อนำค่าใช้จ่ายของการก่อสร้างมาเปรียบเทียบระหว่างการใช้ระบบชิ้นส่วนสำเร็จ และการใช้คอนกรีตแบบดั้งเดิม ในการก่อสร้างอาคารที่จำนวนอาคารแตกต่างกัน โดยการใช้ งานระบบชิ้นส่วนสำเร็จ มีค่าใช้จ่ายเริ่มต้น คือการเตรียมพื้นที่ลานคอนกรีต และแบบหล่อคอนกรีต และค่าใช้จ่ายระยะยาวในการบำรุงรักษาของลานคอนกรีต และการเปลี่ยนแบบหล่อนั้น ขณะเดียวกันค่าได้ ดังแสดงในตารางที่ 9 ในการพิจารณาเบื้องต้น วิเคราะห์การก่อสร้างโดยใช้ลานผลิตที่ 2 ลานเพื่อให้สามารถทำงานได้รวดเร็วขึ้น และสามารถสลับการทำงานในช่วงที่รอคอนกรีตแข็งตัวได้ และไม่ใช้ลานผลิตมากกว่า 2 ลาน เพราะจะทำให้ในกรณีนี้ต้องมีการนำเครื่องจักรเข้ามาในบริเวณก่อสร้างเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันกับที่ความเร็วที่เพิ่มขึ้น มีผลประโยชน์ให้งานเสร็จได้ไวขึ้น แต่จากการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องให้ความเห็นว่า การสร้างงานที่ไวขึ้นในระดับที่มากกว่านี้ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ในมิติของการขาย/การเช่าห้องพักมากกว่าเดิมอย่างมีนัยสำคัญ ตารางที่ 9 ต้นทุนค่าก่อสร้างของอาคารแบบต่าง ๆ แบ่งตามจำนวนอาคาร การประเมินตัวชี้วัดทางเศรษฐศาสตร์ในการวิเคราะห์ความเหมาะสมทางด้านเศรษฐกิจของโครงการนั้น จะเป็นการวิเคราะห์เปรียบเทียบผลตอบแทนและค่าใช้จ่ายของโครงการ โดยจะพิจารณาค่าลงทุนทางเศรษฐกิจของโครงการที่เกิดขึ้น นำมาเปรียบเทียบกับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่คาดว่าจะได้รับจากการก่อสร้างโครงการตลอดระยะเวลาการวิเคราะห์ โดยจะคำนวณในรูปดัชนีหลักทางด้านเศรษฐกิจ 3 ตัว ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
มูลค่าปัจจุบัน หมายถึง ผลต่างระหว่างผลประโยชน์และค่าใช้จ่ายในปีต่างๆ เมื่อคิดเป็นมูลค่าปัจจุบันตลอดอายุโครงการโดยใช้อัตราส่วนลด (Discount Rate) เพื่อประเมินเป็นมูลค่าปัจจุบัน ถ้าโครงการลงทุนมีมูลค่าปัจจุบันสุทธิเป็นบวกหรือมากกว่าศูนย์แสดงว่า โครงการนั้นมีความเหมาะสมในการลงทุนกล่าวคือเมื่อลงทุนไปแล้วมีผลประโยชน์มากกว่าค่าใช้จ่ายตลอดอายุโครงการ อย่างไรก็ตามการประเมินโครงการโดยใช้มูลค่าเงินสุทธิปัจจุบันยังไม่สามารถเปรียบเทียบโครงการที่มีค่าลงทุนที่แตกต่างกันมากได้เด่นชัด เนื่องจากโครงการที่มีขนาดใหญ่ย่อมให้มูลค่าปัจจุบันสูงกว่าโครงการที่มีขนาดเล็กกว่ามาก ถึงแม้ว่าโครงการทั้งสองจะมีอัตราผลตอบแทนเท่ากัน ดังนั้นการประเมินผลด้านเศรษฐกิจจึงควรพิจารณาดัชนีทางด้านเศรษฐกิจอื่น ทั้งนี้ได้แสดงการคำนวณมูลค่าปัจจุบันสุทธิดังสมการนี้ 2. อัตราส่วนมูลค่าปัจจุบันของผลประโยชน์ต่อค่าใช้จ่าย (Benefit Cost Ratio: B/C Ratio) อัตราส่วนผลประโยชน์ต่อค่าใช้จ่าย หมายถึง อัตราส่วนของผลประโยชน์เมื่อคิดเป็นมูลค่าปัจจุบันต่อมูลค่าปัจจุบันของค่าใช้จ่ายของโครงการ โดยใช้อัตราส่วนลด (Discount Rate) เพื่อประเมินเป็นมูลค่าปัจจุบัน ถ้าโครงการลงทุนมีอัตราส่วนผลประโยชน์ต่อค่าใช้จ่ายมากกว่าหนึ่งแสดงว่า โครงการนั้นมีความเหมาะสมในการลงทุน ซึ่งแสดงวิธีการคำนวณดังสมการนี้ 3. อัตราผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ (Economic Internal Rate of Return: EIRR) อัตราผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ หมายถึง ค่าเสียโอกาสของเงินลงทุนหรืออัตราส่วนลด (Discount Rate) ที่ทำให้มูลค่าปัจจุบันของผลประโยชน์และมูลค่าปัจจุบันของค่าใช้จ่ายเท่ากันพอดี ค่าเสียโอกาสของเงินลงทุนที่ใช้ในการศึกษาเท่ากับร้อยละ 12 ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราที่เคยมีการศึกษาถึงต้นทุนของเงินลงทุนในประเทศไทยโดยธนาคารโลกและสานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ดังนั้นโครงการลงทุนที่มีอัตราผลตอบแทนทางเศรษฐกิจของโครงการมากกว่าร้อยละ 12 ต่อปีแสดงว่าโครงการนี้มีความเหมาะสมในการลงทุนซึ่งแสดงการคำนวณดังนี้ ตารางที่ 10 สรุปดัชนีชี้วัดทางเศรษฐศาสตร์ ตารางที่ 11 ตัวอย่างตารางการวิเคราะห์ความเหมาะสมทางด้านเศรษฐศาสตร์ของโครงการ (H1-PC จานวน 40 อาคาร) การศึกษาแนวทางการลงทุนของโครงการในการดาเนินโครงการรัฐ โดยทั่วไปมีทางเลือกในการลงทุนหลักๆ อยู่ 2 รูปแบบ ได้แก่ รัฐเป็นผู้ดาเนินการเองทั้งหมด และให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมดาเนินการบางส่วนหรือทั้งหมด (Public Private Partnership: PPPs) โดยข้อดีและข้อเสียของการลงทุนแสดงดังตารางที่ 12 ตารางที่ 12 การวิเคราะห์รูปแบบการลงทุนที่เหมาะสม โครงการนี้เป็นโครงการที่เน้นการแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยของประชาชนชาวไทยที่มีรายได้น้อยถึงปานกลางมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งเน้นการพัฒนาที่อยู่อาศัย ชุมชนและเมือง เพื่อความมั่นคงและยั่งยืนของสังคมไทย ตามวิสัยทัศน์ของการเคหะแห่งชาติ หากเอกชนเข้ามาร่วมลงทุนอาจไม่ได้รับผลตอบแทนในรูปตัวเงิน เนื่องจากไม่มีกิจกรรมใดๆที่สร้างรายได้แก่เอกชนดังนั้นโครงการนี้ควรเป็นการลงทุนโดยภาครัฐทั้งหมด การลงทุนกับภาครัฐคืออะไรการลงทุนภาครัฐ (Public Investment) มีความสําคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจไทย ซึ่งเป็นการลงทุน ในโครงสร้างขั้นพื้นฐาน (Infrastructure) อันจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ก่อให้เกิด การสร้างงาน เพิ่มผลิตภาพและศักยภาพการผลิตในระยะยาว แต่เนื่องจากการลงทุนดังกล่าวต้องใช้เม็ดเงินจํานวน มหาศาลซึ่งหากเป็นการลงทุนจากภาค ...
การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน คืออะไรการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน คืออะไร
ลงทุนแต่ฝ่ายเดียว โดยวิธีการอนุญาต หรือให้สัมปทาน หรือให้สิทธิไม่ว่าในลักษณะใดตามนิยามคำว่า “ร่วมลงทุน” โดยขอบเขตของ โครงการร่วมลงทุนจะต้องเป็นกิจการเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะตามมาตรา 7 แห่ง พ.ร.บ. การร่วมลงทุนฯ ปี 2562.
หน่วยงานภาครัฐและเอกชนแตกต่างกันอย่างไรงานราชการยากไหม …
...
. ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนคืออะไร โครงการความร่วมมือภาครัฐและภาคเอกชน (Public-Private. Partnership) เป็นโครงการที่ภาคเอกชนได้เข้ามามีส่วนร่วมกับภาครัฐใน การจัดสร้าง ปรับปรุงและพัฒนา บริหารจัดการ สาธารณูปโภคและ สาธารณูปการขั้นพื้นฐานและบริการที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ให้แก่ประชาชนภายใต้ กรอบความเสี่ยงและระยะเวลาที่ก าหนด
|