สมเด็จพระบรมราชชนกบิดาแห่งการแพทย์ไทยทรงมีพระมหากรุณาธิคุณแก่วงการแพทย์ไทยและประชาชนทรงพัฒนาการแพทย์เพื่อประชาชนมีสุขภาพที่ดี ดุจเดียวกับพระปิยะมหาราชผู้เป็นที่รักร.๕ที่ปลดปล่อยทาสให้เป็นไทและพาประเทศชาติให้พ้นภัยรักษาเอกราชความเป็นไทรอดพ้นจากการตกเป็นเมืองขึ้นของลัทธิล่าอาณานิคม
เสด็จศึกษาในต่างประเทศ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริให้พระราชโอรส 3 พระองค์ ที่ทรงอยู่ใน วัยที่สมควรและทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์ เสด็จไปทรงศึกษาต่อที่ยุโรป ดังที่เคยทรง ปฏิบัติมากับพระราชโอรสที่ทรงแข็งแรงพอ ในครั้งนี้พระราชโอรส ทั้ง 3 พระองค์ คือ สมเด็จเจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธฯ กรมขุน นครราชสีมา สมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล อดุลยเดชฯ กรมขุนสงขลานครินทร์ และสมเด็จเจ้าฟ้าจุฑารุชธราดิลกฯ กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทรา ไชย ได้เสด็จออกจากกรุงเทพ ฯ วันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2448 (ค.ศ.1905) ถึงลอนดอนวันที่ 11 มิถุนายน ปีเดียวกัน สมเด็จพระบรมราชชนก เสด็จไปประทับกับครอบครัวนายคอลเชสเตอร์วิมส์ ในเมืองเล็ก ๆ เพื่อให้ภาษาอังกฤษ และความรู้อื่น ๆ ดีขึ้น ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2449 (ค.ศ.1906) ได้เสด็จไปทรงศึกษาที่โรงเรียนแฮร์โรว์เป็นเวลาปีครึ่ง ในปี พ.ศ. 2450 (ค.ศ.1907) ได้เสด็จไปทรงศึกษาวิชาทหารบกที่เมืองปอตสดัม ประเทศเยอรมณี ทรง ศึกษาที่โรงเรียนนายร้อยชั้น ต้น พระเจ้าไกเซอร์วิลเฮล์ม ได้จัดนายร้อยเอกเอ็กเป็นพระอภิบาล เมื่อทรงจบหลักสูตรโรงเรียนนายร้อยชั้นต้นแล้ว เสด็จเข้าโรงเรียนนายร้อยชั้นสูงที่ โกรสลิชเตอร์เฟลเด้ (Gross Lichterfelde) ทรงศึกษาโรงเรียนนี้ 2 ปี ในปีสุดท้ายทรงมีพระประสงค์จะเปลี่ยนเหล่าทัพ ไปศึกษาวิชาทหารเรือแทนที่จะเป็น ทหารบก พระเจ้าไกเซอร์ทรงอนุญาตด้วยเงื่อนไขว่า ต้องทรงสอบวิชาทหารบกได้ก่อน ซึ่งก็ทรงทำได้อย่างดี สมเด็จพระ บรมราชชนก ได้เสด็จไปทรงศึกษาในโรงเรียนนายเรือที่ Imperial German Naval College ระหว่างที่ทรงศึกษาอยู่ ทรงสอบได้เป็นที่ 1 และในปีสุดท้ายของการศึกษา ทรงชนะการประกวดการออกแบบเรือดำน้ำ ในปี พ.ศ. 2454 (ค.ศ.1911) ทรงสำเร็จการศึกษาเป็นนายเรือตรีในกองทัพเรือเยอรมัน และได้รับพระ ราชทานยศจากเมืองไทย เป็นนายเรือตรีแห่งราชนาวีไทย เมื่อพระชนมายุได้ 21 พรรษา ทรงรับราชการในกองทัพเรือเยอรมันเป็นเวลา 3 ปีเจ้าฟ้าทหารเรือ ในปีพุทธศักราช 2457 (ค.ศ.1914) เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 อุบัติขึ้น สมเด็จพระบรมราชชนกทรง ลาออกจากกองทัพเรือเยอรมัน เสด็จนิวัติประเทศไทย และเข้ารับราชการในกระทรวงทหารเรือ ในตำแหน่งสำรองราชการ กรมเสนาธิการทหารเรือได้รับพระราชทานยศเป็นนายเรือโท ตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2458 หลังจากทรง ศึกษาระเบียบราชการทหารเรือ และวิธีบริหารราชการจาก กรมเสนาธิการทหารเรือ ประมาณ 4 เดือน ทรงย้ายไปรับตำแหน่งในกองอาจารย์นายเรือ แผนกตำรากรมยุทธศึกษาทหารเรือ เพื่อจะได้ทรงมีเวลาศึกษาเกี่ยวกับหลักสูตรของวิชา และวิธีการสอนในโรงเรียนนายเรือ ทรงสนพระทัยในการสอนนักเรียนนายเรือเป็นอย่างยิ่ง สมเด็จพระบรมราชชนก ทรงสนพระทัยและเชี่ยวชาญทาง เรือดำน้ำและเรือตอร์บิโดรักษาฝั่งซึ่งทรงศึกษามาจากประเทศเยอรมัน ในปีพุทธศักราช 2458 (ค.ศ.1915) เป็นรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระ ราชประสงค์จะบูรณะกองทัพเรือซึ่งขณะนั้นเล็กมาก จึงได้จัดให้มีการประชุมนายทหารเรือ สมเด็จพระบรมราชชนกถวายความเห็นว่าเมืองไทยเป็นประเทศเล็ก ไม่มีฐานทัพเรือและอู่ใหญ่ๆ จึงไม่มีประโยชน์ที่จะมีเรือรบใหญ่ ควรใช้เรือเล็ก ๆ เช่นเรือดำน้ำ และเรือตอร์ปิโด ซึ่งเข้าแม่น้ำได้สะดวกจะมีประโยชน์กว่า แต่ในสมัยนั้นผู้ใหญ่ส่วนมาก ได้ศึกษามาจากประเทศอังกฤษ มีความเห็นว่าควรมีเรือใหญ่ เพื่อจะได้ฝึกทหารไปในตัว และคิดว่าจะใช้เรือขนาดครูเซอร์ สมเด็จพระบรมราชชนก ขณะ นั้นดำรงพระยศสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ ก็มิได้ทรงถืออำนาจ ทรงยอม รับฟัง แต่น้อยพระทัยว่าอุตส่าห์ไปทรงศึกษาวิชานี้โดยตรงจากประเทศเยอรมัน ครั้นถึงเวลาปฏิบัติงานจริง กลับไม่ได้ดังพระประสงค์ ต่อมาทรงลาออกจากประจำการเมื่อ วันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2459 (ค.ศ.1916) รวมเวลาที่ทรงรับราชการในกระทรวงทหารเรือ 9 เดือน 18 วัน ภายหลังได้พบเอกสารลายพระหัตถ์เป็นภาษา เยอรมันและ มีภาพร่างเรือรบแบบต่าง ๆ หลังจากดำเนินการแปลแล้ว ทำให้ทราบว่า ขณะที่สมเด็จพระบรมราชชนกยังทรงรับราชการทหารเรือนั้น ทรงจัดทำโครงการเกี่ยวกับเรือดำน้ำ และทรงร่างโครงการสร้างกำลังทางเรือทั้งกองทัพไว้อีกด้วย แต่ยังไม่ได้ทรงจัดทำเป็นการงานให้ เรียบร้อย ก็ทรงลาออกจากกระทรวงทหารเรือในสมัยนั้นเสียก่อนองค์บิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบัน และการสาธารณสุขไทย ในปี พ.ศ. 2459 (ค.ศ.1916) สมเด็จกรมพระยาชัยนาทนเรนทร ทรง ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยปลัดทูลฉลอง และ ผู้บัญชาการราชแพทยาลัย ทรงพิจารณาเห็นว่า โรงเรียนแพทย์อยู่ในฐานะล้าหลังมาก เมื่อเทียบกับโรงเรียน แพทย์ ในทวีปยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านวิทยาศาสตร์ ทรงตกลงพระทัยที่จะปรับปรุงเป็นการใหญ่ แต่ต้องประสบ อุปสรรค คือ หาผู้ที่มีวิชามาเป็นอาจารย์ไม่ได้ จึงได้ทรงพยายามชักชวนผู้ที่มีความรู้มาร่วมงาน พร้อมทั้งได้ขอร้องให้กระทรวงธรรมการติดต่อกับมูลนิธิร็อกกี เฟลเลอร์ ให้ช่วยจัดอาจารย์ในวิชากายวิภาคศาสตร์ , สรีรวิทยา , พยาธิวิทยาและศัลยกรรม ซึ่งในครั้งกระนั้นประเทศไทยได้ผู้เชี่ยวชาญมาเพียงคนเดียว คือ ดร . เอ จี เอลลิส ซึ่งต่อมาได้เป็นกำลังสำคัญในการปรับปรุง โรงเรียนแพทย์ สมเด็จกรมพระยาชัยนาทนเรนทร ได้เสด็จไปเฝ้าสมเด็จพระบรมราชชนก และทรง โน้มน้าวให้หันมาสนพระทัยการแพทย์ และสาธารณสุข เสด็จในกรม ฯ ได้ทรงออกอุบายเชิญเสด็จประทับเรือยนต์ประพาสทางน้ำ เรือแล่นไปตามคลองบางกอกใหญ่ ผ่านเข้าคลองบางกอกน้อย พอเรือออกปากคลองบางกอกน้อย จึงทูลเชิญขอให้ทรงแวะที่ศิริราชพยาบาล ซึ่งเป็นที่ทำงานของเสด็จในกรมฯ สมเด็จพระบรมราชชนกได้ทอดพระเนตรโรงคนไข้ ซึ่งเป็นเรือนไม้หลังคาจาก มีที่ไม่พอรับคนไข้ มีคนไข้นั่งรอนอนรออยู่ตามโคนไม้ อุปกรณ์การรักษา พยาบาลขาดแคลน โรงเรียนแพทย์มีเครื่องมือในการเรียนไม่พอเ พียง สมเด็จพระบรมราชชนก ทรงทราบถึงความยากลำบากและขาดแคลนของศิริราช ทรงสลดพระทัยเป็นอันมาก เสด็จในกรมฯ กราบทูลวิงวอนให้สมเด็จพระบรมราชชนก ทรงช่วยจัดการการศึกษาแพทย์ เสด็จในกรมฯ ประทานเหตุผลที่ทรงทำเช่นนั้นว่า เพราะสมเด็จเจ้า ฟ้ากรมขุนสงขลานครินทร์ทรงเป็นเจ้าฟ้าชั้นสูง ถ้าเข้ามาทรง จัดการเรื่องนี้แล้วจะทำให้กิจการแพทย์เด่นขึ้น มีผู้โดยเสด็จช่วยเหลืองานมากขึ้น อนึ่งทูลกระหม่อมทรงมีรายได้สูงแต่พอพระทัยจะใช้ในการบำเพ็ญพระกุศลสาธารณะ และประการสำคัญที่สุดทรงเป็นเจ้าฟ้าที่มีพระปัญญาหลักแหลม มีความเพียรกล้า จะทรงทำอะไรก็ทรงทำจริงไม่ย่อท้อ กิจการแพทย์จะเจริญก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว ถ้าสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนสงขลานครินทร์ ทรงตกลงพระทัยที่จะจัดการเรื่องการแพทย์ "สมเด็จพระบรม ราชชนก ทรงรับสั่งว่าพระองค์เป็นทหารเรือจะช่วยได้อย่างไร" ในที่สุดก็ตกลงพระทัยจะทรงช่วย ในการปรับปรุงการแพทย์ของประเทศไทย โดยเสด็จไปทรงศึกษาวิชาเฉพาะเสียก่อน เพื่อจะให้งานได้ผลจริง ๆ
ด้วย สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจ อันเป็นประโยชน์ต่อวงการทหารเรือ จนเป็นที่ประจักษ์และทรงได้รับการยกย่องเป็น “เจ้าฟ้าทหารเรือ” ดังนั้น กองทัพเรือ จึงได้เสนอรัฐบาลขอให้นำความกราบบังคมทูล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขอพระราชทานพระยศ “จอมพลเรือ” ถวายแด่พระองค์ท่านในการนี้ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระยศ “จอมพลเรือ” เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระองค์ท่าน เมื่อ 8 มกราคม 2541 |