สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 สุนทรภู่ได้ออกจากราชการ และไปบวชที่วัดราชบูรณะ (วัดเลียบ) และเดินทางไปจำพรรษาตามวัดในหัวเมืองต่างๆ อยู่ระยะหนึ่ง แล้วลาสิกขา ต่อมาไม่นานก็ได้กลับมาบวชใหม่ และได้เข้ามาอยู่ที่วัดราชบูรณะ วัดอรุณราชวราราม วัดพระเชตุพน กระทั่งสุดท้ายมาพำนักอยู่วัดเทพธิดาราม ระหว่างพ.ศ.2383 - 2385 ก็ลาสิกขา ในสมัยรัชกาลที่ 3 นี้สุนทรภู่ได้รับการอุปถัมภ์จากเจ้านายหลายพระองค์ อาทิพระองค์เจ้าลักขณานุคุณ เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ และกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ ซึ่งเป็นพระเจ้าลูกเธอในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันสุนทรภู่ 26 มิถุนายนของทุกปี เราจะมาขอย้อนรอยกลอนสอนใจที่เราเคยเรียน เคยอ่านกันตอนเด็ก ๆ ยังจำกันได้หรือเปล่าเอ่ย? “ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์ มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต แม้พูดชั่วตัวตายทำลายมิตร จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจา” กลอนสอนใจจาก "นิราศภูเขาทอง" สอนว่าคำพูด เมื่อพูดไปแล้วไม่สามารถนำกลับมาได้ หากจะพูดอะไรต้องคิดก่อนพูด “อันอ้อยตาลหวานลิ้นแล้วสิ้นซาก แต่ลมปากหวานหูไม่รู้หาย แม้นเจ็บอื่นหมื่นแสนจะแคลนคลาย เจ็บจนตายเพราะเหน็บให้เจ็บใจ” กลอนสอนใจจาก "เพลงยาวถวายโอวาท" สอนให้รู้ว่าไม่มีของหวานใดที่จะหวานไปกว่าคำพูด คำพูดหวาน ๆ ไม่กี่คำก็อาจทำให้คนหลงตายทั้งเป็นได้ “จะหักอื่น ขืนหัก ก็จักได้ หักอาลัย นี้ไม่หลุด สุดจะหัก สารพัด ตัดขาด ประหลาดนัก แต่ตัดรัก นี้ไม่ขาด ประหลาดใจ” กลอนสอนใจจาก "นิราศอิเหนา" สอนให้รู้ว่าเมื่อเรารักสักคน การตัดใจเป็นเรื่องยาก “เขาย่อมเปรียบเทียบความว่ายามรัก แต่น้ำผักต้มขมชมว่าหวาน ครั้นรักจางห่างเหินไปเนิ่นนาน แต่น้ำตาลว่าเปรี้ยวไม่เหลียวแล” กลอนสอนใจจาก "พระอภัยมณี" สอนให้รู้ว่าเมื่อยามรักกันอะไรก็ดีไปหมด แต่เมื่อหมดรักแล้วอะไรที่ว่าดี ก็กลายเป็นไม่ดีได้ นอกจากจะมีที่เรายกตัวอย่างมาข้างต้นแล้ว สุนทรภู่ยังมีผลงานกลอนเตือนใจอีกมากมาย รอให้ทุกคนได้เข้ามาเรียนรู้และเปิดในสู่โลกของกวีไทย อย่าลืมเปิดโลกความรู้และค้นหาสิ่งที่ชอบในทุกวัน เนื้อหาของสุภาษิตสอนสตรีเป็นหลักประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ทั้งส่วนที่เกี่ยวกับครอบครัวและเกี่ยวกับสังคม เป็นคำสอนที่ใช้ได้กับสตรีทุกชนชั้น มีทั้งข้อห้ามและข้อควรปฏิบัติ และมีตัวอย่างผลร้ายเมื่อไม่ปฏิบัติตามและผลดีเมื่อปฏิบัติตามคำสอน คำสอนเริ่มจากเรื่องการแต่งกาย ให้สตรีแต่งกายอย่างพอดี เหมาะสมตามฐานะและเหมาะกับรูปร่างหน้าตาของตน การแต่งหน้าแต่งผมก็ให้สุภาพ แต่งแต่พองามอย่างคนรู้จักแต่ง จึงจะเป็นที่ชื่นชมแก่ผู้ที่พบเห็น กวีสอนเรื่องการแสดงกิริยาในที่สาธารณะ เช่น ให้เดินอย่างระมัดระวังและสงบเสงี่ยม ไม่ไกวแขนมากไปจนสุดแขน ไม่ขยับผ้านุ่งผ้าแถบหรือเสยผมขณะที่เดิน การพูดต้องพูดอย่างมีสติ ไม่พูดเพ้อเจ้อ ในที่สาธารณะให้สำรวมกิริยา ไม่ชม้ายชายตาให้ผู้ชาย ความยับยั้งชั่งใจที่จะแสดงอารมณ์รักก็เป็นเรื่องสำคัญสำหรับสตรี ความรักระหว่างหญิงชายเป็นเรื่องธรรมดา แต่หญิงจะต้องรู้เท่าทันความรักของชาย ว่ารักแบบจริงจังหรือรักเพื่อหลอกเชยชม จะต้องไม่ใจเร็วและอย่าเชื่อแม่สื่อมากนัก ต้องฟังหูไว้หู เพราะหากตัดสินใจพลาดก็จะต้องเสียใจอยู่ฝ่ายเดียว กวีสอนเรื่องการเลือกสามี โดยยกตัวอย่างชายชั่วหลายจำพวก เช่น พวกสูบฝิ่นกินสุราจะไม่ยอมทำมาหากินคอยแต่เบียดเบียนเงินทองของภรรยาหรือไปฉกชิงวิ่งราวมาซื้อสิ่งเสพติด พวกนักเลงหัวไม้จะทำให้เดือดร้อนใจ ต้องคอยหาเงินทองมาไถ่ตัวเมื่อสามีต้องโทษ พวกติดพนันก็จะทำให้เสียทรัพย์ เมื่อเสียพนันมากเข้าก็อาจขายภรรยาได้ สตรีทั้งหลายจึงควรหลีกเลี่ยงชายชั่วเหล่านี้ อย่าเลือกมาเป็นสามี กวีเน้นย้ำเรื่องการมีสามีว่าเป็นเรื่องสำคัญสำหรับสตรี จึงต้องระมัดระวังและไม่ชิงสุกก่อนห่าม ให้เชื่อฟังคำสั่งสอนของผู้ใหญ่ ไม่หลงเชื่อคารมของชายที่เฝ้าแต่ป้อนคำหวาน ถ้าเขารักจริงก็ควรจะมาสู่ขอกับพ่อแม่ตามประเพณี ไม่ใช่ให้ผู้หญิงหนีไปอยู่ด้วยกัน ทำให้พ่อแม่อับอายและเสื่อมเสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูล ฉะนั้นลูกผู้หญิงจะทำอะไรต้องไตร่ตรองให้รอบคอบ ต้องรักนวลสงวนตัว ครองตนให้เป็นศรีแก่ครอบครัว เป็นความภาคภูมิของวงศ์ตระกูล การมีคู่ควรรอให้ถึงเวลาอันเหมาะสม ระหว่างนั้นก็เตรียมตนให้พร้อมสำหรับการเป็นแม่เรือน ไม่เกียจคร้านการงาน คอยดูแลเหย้าเรือนมิให้บกพร่อง ต้องรู้จักประหยัด กตัญญูต่อบิดามารดา สตรีที่อุปถัมภ์แทนคุณบิดามารดาจะได้รับกุศลอันยิ่งใหญ่และเทวดาจะสรรเสริญ ส่วนสตรีที่เนรคุณบิดามารดา ตายไปจะตกนรก อยู่บนโลกเทพเจ้าก็สาปแช่งให้ทุกข์ใจและจะประสบแต่ความพินาศ การพูดจาไม่ควรตะคอกหรือใช้คำหยาบ โดยเฉพาะผู้ที่มีอาชีพค้าขายถ้าพูดจาดีก็จะขายดีมีกำไร คำพูดที่ไพเราะช่วยให้มีคนเมตตา สตรีที่ดีต้องระมัดระวังตัวทุกอิริยาบถ ไปนอนเรือนผู้อื่นต้องไม่ตื่นสาย ควรหัวเราะและยิ้มแต่พอดีและควรแต่งกายแต่พองาม สตรีสามัญพึงเสียเวลากับการแต่งตัวเฉพาะเมื่อมีงานเทศกาลเท่านั้น ในเวลาปกติต้องให้ความสำคัญกับกิจการงานเรือน หมั่นหาวิชาความรู้ประดับตน เพราะเมื่อต้องคุมบ่าวไพร่ในเรือนเจ้านายต้องเก่งกว่าบ่าว ให้เกรงกลัวที่จะทำชั่ว อย่าใช้เงินเกินฐานะ ไม่ไปทำตัวแข่งกับชาววัง ถ้าใช้เงินหรือแต่งตัวตามเขาจะเดือดร้อน |