ราวตากผ้าอัตโนมัติ ความสำคัญและที่มา เนื่องจากพระหรือสามเณรที่วัดไม่ค่อยมีใครอยู่ที่วัดเพราะเรียนหนังสือเลยไม่มีใครเก็บผ้าให้เวลาฝนตก จึงได้มีแนวคิดทำราวตากผ้าอัตโนมัติเพราะไม่มีใครเก็บผ้าให้ในเวลาที่ฝนตก จึงเห็นปัญหาและได้คิดค้นประดิษฐ์ ราวตากผ้าอัตโนมัติ
ขึ้นมาใช้งานจะได้นำเวลาส่วนที่เหลือไปใช้ในการทำงานอย่างอื่นหรือเมื่อออกไปเรียนหนังสือ ในการตากผ้าแต่ละครั้งต้องตากในที่มีแสงแดด จะทำให้ผ้าแห้งไวและไม่มีกลิ่นอับ แต่ในการตากผ้าแต่ละครั้งต้องมีคนคอยเก็บผ้าเมื่อผ้าแห้ง เมื่อฝนตกผ้าที่ตากไว้อาจเปียกได้ ดังนั้นราวตากผ้าอัตโนมัติ นั้นจะทำงานเมื่อมีฝนตกลงมาโดนที่หน้าสัมผัสของเซนเซอร์ตรวจจับฝนตก เมื่อมีฝนตกมากระทบเข้ากับหน้าสัมผัสจะ
จะทำให้เครื่องเก็บผ้าทำงานเก็บผ้าที่ตากไว้เข้าที่ร่มและเมื่อฝนได้อยู่ตกจะทำให้หน้าสัมผัสที่เปียกฝนในตอนแรกนั้นแห้งลงจะทำให้ราวตากผ้าอัตโนมัติ ได้ทำการนำผ้าที่ตากอยู่หรือผ้าอาจยังไม่แห้ง นำออกมาตากใหม่ให้ผ้าที่ยังไม่แห้งนั้นแห้ง วัตถุประสงค์ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
ขั้นตอน และวิธีการทำโครงงาน
ระยะเวลาและแผนงานในการดำเนินงานโครงงาน ระยะเวลาที่ใช้ทั้งหมด 6 เดือน ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2558 ถึง เดือนมกราคม 2559 แผนงานในการทำโครงงาน (ตัวอย่างตารางแผนงาน) ภาพหรือแผนผังหรือไดอะแกรมหรือแนวคิด/ของผลงาน “เมื่อเซนเซอร์วัดความชื้นสัมพัทธ์ตรวจพบว่าความชื้นในอากาศมีปริมาณเพิ่มขึ้น หรือเซนเซอร์น้ำฝนตรวจพบน้ำฝนมอเตอร์จะทำการดึงผ้าที่ตากไว้เข้าไปเก็บไว้ในที่ร่ม จนกว่า จะโดน สวิตซ์ A และเมื่อเซนเซอร์วัดความชื้นสัมพัทธ์วัดความชื้นในอากาศแล้วพบว่ามีปริมาณความชื้นลดลงจนถึง ที่กำหนด หรือเซนเซอร์วัดปริมาณน้ำฝนตรวจไม่พบน้ำฝนแล้ว มอเตอร์จะดึงผ้ากลับออกมาตาก และหยุดเมื่อชนกับสวิตซ์ B” code คำสั่ง วัสดุอุปกรณ์ และงบประมาณในการทำโครงงาน (ไม่รวมค่าจ้าง)
การทดสอบโครงงาน และเก็บผลการทดสอบ
ประมวลภาพกิจกรรม วีดิทัศน์ แนวคิดทางวิทยาศาสตร์ที่นำมาใช้ ฝน เกิดจากอนุภาคของไอน้ำขนาดต่างๆในก้อนเมฆเมื่อมีขนาดใหญ่ขึ้นจนไม่สามารถลอยตัวอยู่ในก้อนเมฆได้ก็จะตกลงมาเป็นฝน ฝนจะตกลงมายังพื้นดินได้นั้นจะต้องมีเมฆเกิดในท้องฟ้าก่อน เมฆมีอยู่หลายชนิด มีเมฆบางชนิดเท่านั้นที่ทำให้มีฝนตก เราทราบแล้วว่าไอน้ำจะกลั่นตัวเป็นเมฆก็ต่อเมื่อมีอนุภาคกลั่นตัวเล็กๆอยู่เป็นจำนวนมากเพียงพอและไอน้ำจะเกาะตัวบนอนุภาคเหล่านี้รวมกันทำให้เกิดเป็นเมฆ เมฆจะกลั่นตัวเป็นน้ำฝนได้ก็ต้องมีอนุภาคแข็งตัว(Freezing nuclei) หรือเม็ดน้ำขนาดใหญ่ซึ่งจะดึงเม็ดน้ำขนาดเล็กมารวมตัว กันจนเป็นเม็ดฝน สภาวะของน้ำที่ตกลงมาจากท้องฟ้า อาจเป็นลักษณะของฝน ฝนละออง หิมะหรือลูกเห็บ ซึ่งเรารวมเรียกว่าหยาดน้ำฟ้า (Precipitation) ซึ่งจะตกลงมาในลักษณะไหน ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของอากาศในพื้นที่นั้นๆ หยาดน้ำฟ้าต้องเกิดจากเมฆ แต่เมื่อมีเมฆไม่จำเป็นต้องมีหยาดน้ำฟ้าเสมอไป แสงอาทิตย์ ประกอบด้วยรังสีที่เห็นด้วยตาและไม่เห็น รังสีที่ไม่เห็นด้วยตาที่สำคัญคือ ultraviolet-A (UVA) และ ultraviolet-B (UVB) รังสี UV นี้จะทำให้เกิดผลเสียต่อผิวหนังคือ suntan, sunburn, และ sun damage ปัจจัยที่ทำให้เราได้รับรังสีเพิ่มขึ้นได้แก่ ลม การสะท้อนรังสีจากน้ำ ทราย และหิมะ แม้กระทั่งวันที่มีเมฆมากก็มีรังสี UV เล็ดรอดออกมา รังสี UVC. เป็นรังสีที่มีความยาวคลื่นสั้นที่สุด แต่ให้พลังงานสูงสุดและมีอำนาจทำลายสูงสุด รังสีนี้จะถูกโอโซนที่ชั้นบรรยากาศดูดซึมเกือบหมด แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือชั้นโอโซนถูกทำลายจากสายเคมีทำให้รังสีนี้มายังโลกมากขึ้น รังสี UVB จะมีความยาวคลื่นมากกว่ารังสี UVC แต่ให้พลังงานต่ำกว่า UVCดังนั้นจะทำลายผิวหนังน้อยกว่า จะมีปริมาณเพียงร้อยละ 5 ของรังสีที่หลุดมายังผิวโลก รังสี UVB เมื่อกระทบผิวหนังเป็นเวลานานจะทำให้เกิดอาการผิวไหม้จากแดด ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าผู้ที่มีผิวไหม้บ่อยจะมีโอกาศเกิดมะเร็งไฝมากกว่าผู้อื่น รังสี UVA. เป็นรังสีที่มีความยาวคลื่นมากที่สุดเป็นรังสีที่เป็นต้นเหตุของการเสื่อมของผิวหนัง และเกิดมะเร็ง ประมาณร้อยละ95 ของรังสี UV ที่มายังผิวโลกจะเป็นรังสี UVA รังสีนี้จะทำลายชั้นผิวหนังแท้ |