การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการจัดเก็บภาษีท้องถิ่นขององค์การบริหารส่วนตําบล ในจังหวัดเขตการค้าชายแดนภาคตะวันออก และเพื่อศึกษาแนวทางในการปรับปรุงและพัฒนาการจัดเก็บภาษีท้องถิ่นของ องค์การบริหารส่วนตําบลในจังหวัดเขตการค้าชายแดนภาคตะวันออก 5 ด้าน ได้แก่ ด้านความรู้เกี่ยวกับกฎหมายภาษีท้องถิ่น ของเจ้าหน้าที่ ด้านความรู้เกี่ยวกับกฎหมายภาษีท้องถิ่นของผู้เสียภาษี ด้านเทคโนโลยีที่ใช้ในการจัดเก็บภาษีท้องถิ่น ด้านเอกสารการยื่นแบบภาษีท้องถิ่น และด้านการบริการและประชาสัมพันธ์ ซึ่งทําการเก็บรวบรวมข้อมูลจากหัวหน้างานและ เจ้าหน้าที่ส่วนการคลังที่ทําหน้าที่ด้านบัญชีและการจัดเก็บรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดเขตการค้าชายแดน ภาคตะวันออก จํานวน 138 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์แจกแจงแบบที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทาง เดียว และการวิเคราะห์ความแตกต่างของค่าเฉลี่ยเป็นรายคู่ Show ผลการวิจัยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามมีความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการจัดเก็บภาษีท้องถิ่นของ องค์การบริหารส่วนตําบลในจังหวัดเขตการค้าชายแดนภาคตะวันออก ภาพรวมความคิดเห็นอยู่ในระดับปานกลาง ค่าเฉลี่ย เท่ากับ 3.36 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลกระทบระดับมากที่สุด คือ ด้านความรู้เกี่ยวกับ กฎหมายภาษีท้องถิ่นของผู้เสียภาษี ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.51 ความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลกระทบระดับมาก คือ ด้านการ บริการและประชาสัมพันธ์ ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.92 ความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลกระทบระดับปานกลาง คือ ด้านเทคโนโลยี ที่ใช้ในการจัดเก็บภาษีท้องถิ่น ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.19 และด้านเอกสารการยื่นแบบภาษีท้องถิ่น ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.70 และความ คิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลกระทบระดับน้อย คือ ด้านความรู้เกี่ยวกับกฎหมายภาษีท้องถิ่นของเจ้าหน้าที่ ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.49 ตามลําดับ ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางในการปรับปรุงและพัฒนาการจัดเก็บภาษี ท้องถิ่น ภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณารายประเด็นพบว่า อันดับแรก คือ การจัดทําคู่มือระเบียบปฏิบัติงานเพื่อ เป็นแนวทางการปฏิบัติงานที่ถูกต้อง รองลงมา คือ เชิญผู้เชี่ยวชาญทางด้านการจัดเก็บภาษีมาให้คําแนะนําในเรื่องแนวทางการ ปฏิบัติงานการจัดเก็บภาษีบํารุงท้องถิ่นในองค์การบริหารส่วนตําบล และจัดอบรมเกี่ยวกับกฎหมายภาษีบํารุงท้องถิ่นให้แก่ เจ้าหน้าที่เป็นประจํา ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า เจ้าหน้าที่จัดเก็บรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดเขต การค้าชายแดนภาคตะวันออก ที่มีประสบการณ์การทํางานแตกต่างกัน มีความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการ จัดเก็บภาษีท้องถิ่นขององค์การบริหารส่วนตําบลในจังหวัดเขตการค้าชายแดนภาคตะวันออก ด้านเทคโนโลยีที่ใช้ในการ จัดเก็บภาษีท้องถิ่นแตกต่างกัน อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยเป็นรายคู่ของด้าน เทคโนโลยีที่ใช้ในการจัดเก็บภาษีท้องถิ่น จําแนกตามประสบการณ์การทํางานพบว่า เจ้าหน้าที่จัดเก็บรายได้มีความคิดเห็น เกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการจัดเก็บภาษีท้องถิ่นแตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 มีจํานวน 2 คู่ คือ เจ้าหน้าที่จัดเก็บรายได้ที่มีประสบการณ์การทํางาน 1-5 ปี มีความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการจัดเก็บภาษี ท้องถิ่นมากกว่าเจ้าหน้าที่จัดเก็บรายได้ที่มีประสบการณ์การทํางานน้อยกว่า 1 ปี และเจ้าหน้าที่จัดเก็บรายได้ที่มีประสบการณ์ การทํางาน 6 – 10 ปี มีความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการจัดเก็บภาษีท้องถิ่นมากกว่าเจ้าหน้าที่จัดเก็บรายได้ที่มี ประสบการณ์การทํางาน 1 – 5 ปี PMAT เผยอัตราเงินเดือน-โบนัส ปี2566 และ 5 อาชีพที่มีค่าวิชาชีพสูงสุด ได้แก่ ล่าม วิศวกร เภสัชกร สถาปนิก ทนายความ ฟันธงค่าตอบแทนปี 2566 เงินเดือนขึ้น 4.27% โบนัสคงที่ 1.44 เดือน ส่วนธุรกิจที่มีแนวโน้มจ่ายโบนัสสูงสุดได้แก่ ธุรกิจอุปโภคบริโภค ยานยนต์ ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ วันที่ 21 พฤศจิกายน 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สมาคมการจัดการงานบุคคลแห่งประเทศไทย หรือ PMAT เคาะตัวเลขการปรับอัตราค่าตอบแทนรวม ประจำปี 2565/2566 ตลอดจนวิเคราะห์แนวโน้มสำคัญ ๆ ที่จะเกิดขึ้นในปีถัดไป เพื่อให้เอชอาร์ได้เตรียมความพร้อมในการประเมินกลยุทธ์การบริหารค่าตอบแทนรวม เพื่อดึงดูดคนเก่งและรักษาคนดีมีฝีมือไว้กับองค์กร
เงินเดือนดึงดูดคนเก่ง รักษาคนดีนางสุดคะนึง ขัมภรัตน์ นายกสมาคม PMAT กล่าวว่า กลยุทธ์การบริหารจัดการคนในสถานการณ์ปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว ดังนั้น การดึงดูดและรักษาคนเอาไว้ได้ จำเป็นจะต้องมีฐานข้อมูลที่เชื่อถือได้ PMAT จึงทำการสำรวจผลตอบแทนในภาพรวม ลงลึกไม่ใช่เฉพาะแค่เงินเดือน แต่รวมถึงผลตอบแทนและประโยชน์ตอบแทนอื่น ๆ เพื่อเป็นเครื่องมือหลักสำหรับเอชอาร์ในการนำเสนอต่อผู้บริหาร เพราะท่ามกลางสถานการณ์ไม่แน่นอนในปัจจุบัน เอชอาร์จำเป็นต้องมีข้อมูลที่เชื่อถือได้ สามารถเปรียบเทียบตัวเองกับตลาดได้ “ภาพรวมการจ่ายค่าตอบแทนทั้งระบบ ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ของหลายอุตสาหกรรมในไทย จากการสำรวจ 112 บริษัท พบแนวโน้มการขึ้นเงินเดือนอยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยคาดว่าปีหน้าองค์กรในประเทศไทยจะขึ้นเงินเดือนเฉลี่ย 4.27% โบนัสคงที่ 1.44 เดือน และโบนัสผันแปร 2.31 เดือน” นายวรกิต เตชะพะโลกุล และคณะทำงานผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารเงินเดือน PMAT เปิดเผยว่า โครงการสำรวจแนวโน้มการปรับอัตราค่าตอบแทนรวม เป็นโครงการที่สมาคมได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง สำหรับปี 2565 เป็นปีที่ข้อมูลการจัดเก็บแตกต่างไปจากปี 2564 เพราะจากผลกระทบรอบด้านทั้งจากสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน วิกฤตโควิด และภาวะเศรษฐกิจถดถอย อย่างไรก็ดี การจัดเก็บข้อมูลเชิงลึกในกลุ่มเป้าหมาย 112 องค์กรในทุกขนาดธุรกิจ ยังถือว่ามีฐานข้อมูลขนาดใหญ่ สามารถอ้างอิงและเชื่อถือได้ “กลุ่มเป้าหมายทั้ง 112 บริษัท แบ่งเป็น อุตสาหกรรม 18.8% พาณิชยกรรมและบริการ 18.8% ยานยนต์ 16.1% เกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร 10.7% เทคโนโลยี 9.8% ส่วนที่เหลืออยู่ในธุรกิจปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ อุปโภคบริโภค อสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง ทรัพยากร และการเงิน การสำรวจปีนี้มีบริษัทหน้าใหม่เข้าร่วม 40% อีก 60% เป็นบริษัทที่เข้าร่วมอย่างต่อเนื่อง และมีจำนวนข้อมูลพนักงานรายคนทั้งหมด 27,709 ข้อมูล แยกตามสายอาชีพ สูงสุด 3 อันดับแรกคือ ฝ่ายการผลิต ฝ่ายโลจิสติกส์ และฝ่ายขายและการตลาด ขณะที่บริษัทที่มีจำนวนพนักงาน ตั้งแต่ 1-500 คน เข้าร่วมมากที่สุดเป็นอันดับ 1 และบริษัทที่มีรายได้ตั้งแต่ 1,000-10,000 ล้านบาท เข้าร่วมมากที่สุดเป็นอันดับ 1” แนวโน้มค่าตอบแทนขยับสูงขึ้นการปรับค่าตอบแทน ปี 2565/2566 มีแนวโน้มจะขยับสูงขึ้น เพราะไทยมีทิศทางการขึ้นค่าตอบแทนคล้ายกับสหรัฐอเมริกา โดยปี 2564/2565 สหรัฐปรับขึ้นค่าตอบแทน 4% และคาดว่าจะสูงกว่า 4% ในปีถัดไป
3 อันดับธุรกิจที่มีแนวโน้มปรับขึ้นเงินเดือนประจำปีตามผลงานสูงสุด ในปี 2566 มีอันดับใกล้เคียงกับปีก่อนหน้า ได้แก่ Advertisement
ขณะเดียวกัน 3 อันดับธุรกิจที่มีแนวโน้มจ่ายโบนัสคงที่สูงสุด ในปี 2566 ได้แก่
3 อันดับธุรกิจที่มีแนวโน้มจ่ายโบนัสผันแปรสูงสุด ในปี 2566 ได้แก่
ในส่วนของการปรับเงินเดือนประจำปีตามผลงานทุกอุตสาหกรรม ประจำปี 2566 ค่าเฉลี่ย 4.27% สูงสุด 7.0% ต่ำสุด 1.60%
ขณะที่ 3 อันดับแรกของการจ่ายเงินได้อื่นที่ได้รับความนิยม ได้แก่ โบนัส 96.4% เบี้ยขยัน 56.3% และค่าตำแหน่งที่รั้งมาอันดับ 3 5 อาชีพทำเงิน และตำแหน่งหาคนยากนายวรกิตกล่าวว่า การบริหารค่าตอบแทนรวมยังคงยึดแบบแผนหลักอย่างต่อเนื่อง ตลอดหลายปีที่ผ่านมาคือ ให้น้ำหนักกับเงินเดือน 68% แล้วตามด้วยโบนัสคงที่ รายได้อื่น เบี้ยกันดาร และสวัสดิการ ตามลำดับ สำหรับปี 2565 ที่กำลังจะสิ้นสุดลง ตำแหน่งงานที่มีการจ่ายสูงสุด โดยใช้ตัวเลขที่ P50 ซึ่งเป็นค่ากลางของตลาดแรงงาน (midpoint หรือ market trend) ได้แก่
สำหรับ 5 อาชีพที่มีค่าวิชาชีพสูงสุด นอกเหนือจากค่าตอบแทน ได้แก่
อีกข้อมูลที่น่าสนใจ จากการสอบถามกลุ่มเป้าหมาย ถึงกลุ่มพนักงานที่หาคนทดแทนได้ยาก 9 อันดับแรก ได้แก่ ไอที, การขายและการตลาด, งานผลิต, บัญชีและการเงิน, พัฒนาธุรกิจ, กฎหมาย, กลยุทธ์องค์กร, HR และโลจิสติกส์ 4 แนวโน้ม นายจ้างบริหารค่าตอบแทนPMAT วิเคราะห์ 4 แนวโน้มที่สำคัญของการบริหารค่าตอบแทน ปี 2566 ในประเทศไทย ได้แก่ 1. มีการปรับเปลี่ยนจากการจ่ายค่าตอบแทนคงที่ ไปเน้นการจ่ายค่าตอบแทนจากแรงจูงใจ (performance-driven incentives) 2. การจ่ายค่าทักษะในงาน (skills-based pay) ทั้งการเพิ่มทักษะเดิมให้ดีขึ้น (up-skill) และการสร้างทักษะใหม่ (re-skill) 3. หันมาเน้นสวัสดิการดูแลชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี (well-being benefits) 4. เปิดทางให้พนักงานได้เลือกสวัสดิการ ผลประโยชน์เกื้อกูล ที่เหมาะสมกับพนักงานแต่ละคน (flexible/ personalized benefits) “ในแง่ของการจ่ายเงินเดือนที่เป็น basic salary ผู้ประกอบการระดับกลางและล่าง เริ่มกลับมาจ้างงานมากขึ้น สังเกตได้จากมีการปรับเงินเดือนสูงขึ้นจากปี 2564 ประกอบกับสภาพเศรษฐกิจโดยรวมของไทย จีดีพี 3% กว่า ๆ ใกล้ 4% อัตราเงินเฟ้อลดลง จาก 6.3% เหลือ 2.4% อัตราว่างงานก็ลดลง จาก 1.93% เหลือ 1.37% ปี 2566 จึงถือว่าเป็นอีกปีที่มีสัญญาณเชิงบวกจากหลายปัจจัย ที่ส่งผลดีต่อการจ้างงานและจ่ายค่าตอบแทนโดยรวม” นายวรกิตกล่าวสรุป |