องค์ประกอบ ของการ ประสานเสียง


เสียงประสาน (Harmony)

เสียงประสาน

เมื่อนักร้องเพลงเพื่อชีวิตหรือดนตรีโฟล์คร้องเพลงร่วมกับการเล่นกีตาร์คลอไปด้วยตลอดทั้งเพลง การปฏิบัติเช่นนี้เป็นการเพิ่มความลึก (depth) และ richness เข้าไปในทำนอง เราเรียกสิ่งนี้ว่า “เสียงประสาน”
เสียงประสาน (Harmony) คือ องค์ประกอบของเสียงซึ่งทำให้เกิดความสมบูรณ์ ปกติทำนองเพลงเป็นการดำเนินทำนองเป็นเส้นขนานหรือแนวนอน สำหรับเสียงประสานเป็นการผสมผสานของเสียงมากกว่า 1 เสียงในแนวตั้ง การประสานเสียงเป็นองค์ประกอบที่สลับซับซ้อนมากกว่าจังหวะ การประสานเสียงที่มีลักษณะของการเปล่งเสียงออกมาพร้อมกัน 2 เสียงเราเรียกว่า “ขั้นคู่” (intervals) แต่ถ้ามากกว่า 2 เสียงขึ้นไปเราเรียกว่า “คอร์ด” (Chords)

1. ขั้นคู่เสียง (Intervals)

หมายถึงเสียง 2 เสียงที่เขียนเรียงกันในแนวตั้งและเปล่งออกมาพร้อม ๆ กัน การนับระยะห่างของเสียงเรียงตามลำดับขั้นของโน้ตในบันไดเสียง ขั้นคู่เสียงถือว่าเป็นเสียงประสานที่มีความสำคัญในการเขียนเพลง สำหรับในหนังสือเล่มนี้ผู้เขียนขอกล่าวถึงขั้นคู่เสียงเพียงเบื้องต้นเพื่อ ให้พอมองเห็นภาพของเสียงประสานเท่านั้น

องค์ประกอบ ของการ ประสานเสียง

องค์ประกอบ ของการ ประสานเสียง

2. คอร์ด (Chords)

หมายถึงกลุ่มเสียงตั้งแต่ 3 เสียงขึ้นไป เรียงกันในแนวตั้งและเปล่งเสียงออกมาพร้อมกัน คอร์ดมีมากมายหลายชนิดแล้วแต่ลักษณะการใช้นำไปใช้ในที่นี้จะขอกล่าวถึงคอร์ด 3 ชนิด ใหญ่ ๆ รวมถึงวิธีการสร้างคอร์ด (Chord Construction) ดังนี้

1) ตรัยแอ็ด (Triad) คือ คอร์ดที่ประกอบด้วยเสียง 3 เสียง โดยเกิดจากการนำโน้ตลำดับที่ 1st ,โน้ตลำดับที่ 3rd และโน้ตลำดับที่ 5th ของบันไดเสียงมาจัดเรียงกันในแนวตั้ง

องค์ประกอบ ของการ ประสานเสียง

2) คอร์ดที่มี 4 เสียง (Seventh chords) หมายถึง คอร์ดตรัยแอ็ดที่เพิ่มโน้ตลำดับที่ 7th ต่อจากโน้ตลำดับที่ 5th ของบันไดเสียง เช่น

องค์ประกอบ ของการ ประสานเสียง

3) คอร์ดที่มี 5 เสียง (Ninth chords) หมายถึง คอร์ดตรัยแอ็ดที่เพิ่มโน้ตลำดับที่ 9th ต่อจากโน้ตลำดับที่ 7th และ โน้ตลำดับที่ 5th ของบันไดเสียง เช่น

องค์ประกอบ ของการ ประสานเสียง


 

 องค์ประกอบของดนตรีไทย

ดนตรีไทยที่มีความไพเราะน่าฟัง  จะประกอบไปด้วยส่วนสำคัญต่างๆ ดังนี้
   1. เสียงดนตรี   เสียงที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นมา  โดยนำเสียงต่างๆ มาจัดระบบให้ได้สัดส่วน มีความกลมกลืนกัน  โดยทั่วไปแล้วเสียงดนตรีเกิดจากเสียงของเครื่องดนตรี  และเสียงร้องเพลงของมนุษย์ เสียงของดนตรีจะมีความไพเราะน่าฟังเพียงใดขึ้นอยู่กับทักษะการเรียบเรียงเสียงประสานของศิลปิน

       2. ทำนอง   เสียงต่ำ  เสียงสูง  เสียงสั้น  เสียงยาว เสียงทุ้ม เสียงแหลมของดนตรีหรือบทเพลง ทำนองของดนตรีหรือทำนองของบทเพลงแต่ละเพลงนั้น มีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป  ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ของผู้ประพันธ์เพลง  ว่าต้องการสร้างสรรค์ให้บทเพลงนั้นๆ มีทำนองเป็นไปในรูปแบบใด เช่น ทำนองที่ฟังแล้วเศร้าสร้อย  โหยหวน  คึกคัก เข้มแข็ง  ฮึกเหิม เป็นต้น โดยทั่วไปแล้วผู้ประพันธ์นิยมประพันธ์แนวทำนองหลัหรือแนวเนื้อทำนองนำของบทเพลงก่อนเพิ่มเติมรายละเอียดของบทเพลง

      3. จังหวะ  การเคลื่อนไหวที่สม่ำเสมอ  อาจกำหนดไว้เป็นควาช้า - เร็วต่างกัน  เช่น เพลงจังหวะช้า เพลงจังหวะเร็ว  ในทางดนตรีการกำหนดความสั้น - ยาวของเสียงที่มีส่วนสัมพันธ์กับระยะเวลาในการร้องเพลงหรือเล่นดนตรีจะต้องมีจังหวะเป็นเกณฑ์   ถ้าร้องเพลงหรือเล่นดนตรีไม่ตรงจังหวะ ย่อมไม่มีความไพเราะเท่าที่ควร  ในกรณีที่ร้องเพลงหรือเล่นดนตรีหลายคนในเพลงเดียวกันจังหวะจะทำหน้าที่เป็นตัวกำกับ เพื่อให้การร้องเพลงหรือเล่นดนตรีนั้นออกมาในลักษณะที่พร้อมเพรียงกัน  และผสมกลมกลืนกันอย่างเหมาะสม

       4. การประสานเสียง   เสียงของเครื่องดนตรี และเสียงร้องเพลงของมนุษย์มีระดับที่แตกต่างกัน  เปล่งเสียงออกมาพร้อมกัน  โดยเสียงที่เปล่งออกมานั้นทต้องผสมผสานกลมกลืนกัน  ฟังแล้วไม่ขัดหู  การประสานเสียงดนตรีนั้น เสียงประสานต้องประสานกับแนวทำนองหลักหรือแนวทำนองนำของบทเพลงนั้นๆได้อย่างผสมกลมกลืนกัน  รับ และสอดคล้องกันได้เป็นอย่างดี  ผู้ทำหน้าที่เป็นผู้เรียบเรียงเสียงประสานดนตรี  จะต้องมีความรู้ความเข้าใจเรื่องการประสานเสียงอย่างดี  ดังดนตรีที่พบเห็นหรือได้ยินได้ฟังกันบ่อยๆ เช่น เพลงเต่าเห่  พระราชนิพนธ์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจิตรเจริญ  กรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ ที่มีการประสานเสียงระหว่างแนวขับร้องของนักร้องชายกับนักร้องหญิง  โดยมีดนตรีบรรเลงสอดรับอย่างกลมกลืน  เป็นต้น

      ระบบเสียง  และทำนองของดนตรีไทย
   ระบบเสียง และทำนองของดนตรีไทย  นับว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่งของดนตรีซึ่งมีลักษณะ ดังนี้
    1. ระบบเสียงของดนตรีไทย   เสียงของดนตรีไทย มทั้งหมด  7 เสียง เช่นเดียวดนตรีสากล   แต่ต่างกันตรงที่ระยะความห่างของช่วงเสียงในแต่ละระดับของดนตรีไทยจะมีความห่างเท่ากัน 1 เสียงเต็มทุกเสียงไม่มีช่วงครึ่งเสียงเหมือนดนตรีสากล  ระบบเสียงของดนตรีไทยจะใช้ฆ้องวงใหญ่เป็นเครื่องกำหนดระดับเสียง  ซึ่งศัพท์สังคีต เรียกว่า "ทาง"
การที่ระดับเสียงของดนตรีไทยมีช่วงความห่างในระดับที่เท่าๆกัน  ทำให้การบรรเลงดนตรีไทยสามารถเริ่มต้นที่เสียงใดก็ได้  ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเครื่องดนตรีที่ใช้ในการบรรเลง

ตารางเปรียบเทียบระดับเสียงของดนตรีไทยและดนตรีสากล

ระดับเสียงดนตรีไทย

ระดับเสียงดนตรีสากล

ลูกฆ้องวงใหญ่

วงที่ใช้บรรเลง

ทางเพียงออล่าง หรือ

ทางในลด

ฟา

ลูกที่ 10

วงปี่พาทย์ไม้นวม

วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์

ทางใน

ซอล

ลูกที่ 11

วงปี่พาทย์ไม้แข็ง  ใช้ปี่ใน

ทางกลาง

ลา

ลูกที่ 12

วงปี่พาทย์ไม้แข็ง  ใช้ปี่กลาง

ทางเพียงออบนหรือ

ทางนอกต่ำ

ทีแฟล็ต

ลูกที่ 13

วงเครื่องสายมโหรี  ใช้ขลุ่ยเพียงออ

ทางกรวดหรือทางนอก

โด

ลูกที่ 14

วงปี่พาทย์เสภา  ใช้ปี่นอก

ทางกลางแหบ

เร

ลูกที่ 15

วงปี่พาทย์  ใช้ปี่กลางทางแหบ

ทางชวา

มี

ลูกที่ 16

วงเครื่องสายปี่ชวา

      2.ทำนองของดนตรีไทย   ทำนองคือ เสียงลักษณะต่างๆ สูงบ้าง ต่ำบ้าง สั้นบ้าง ยาวบ้าง ที่ผู้ประพันธ์นั้นได้นำมาเรียบเรียงให้ต่อเนื่องกัน  ผสมผสานกันได้อย่างกลมกลืน  โดยทำนองของดนตรีไทย สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
      2.1 ทำนองร้อง  หรือทางร้อง   หมายถึงทำนองที่ประพันธ์ขึ้น สำหรับผู้ขับร้อง ร้องส่งให้ดนตรีรับ  ประกอบด้วยทำนองที่ผู้ประพันธ์ได้ประพันธ์ขึ้นและเนื้อร้อง  ผู้ขับร้องจะต้องปรุงแต่งทำนองหลักให้เหมาะสมกับระดับเสียงและความหมายของเนื้อร่้อง
         เนื่องจากคำในภาษาไทยนั้น มีการใช้ระดับเสียงวรรณยุกต์ จึงทำให้ความหมายของคำต่างกันไป  เช่น คำว่า ม้า  หากร้องโดยคำนึงถึงแต่ให้ตรงเสียงหลักของเพลงก็อาจจะออกมาเป็น  มา หรือ หมา  ได้  ซึ่งจะทำให้ความหมายของคำนั้นเปลี่ยนไป ดังนั้นทำนองร้องจึงจำเป็นต้องคำนึงถึงเสียงหลัก และความหมายไปพร้อมๆกัน
        2.2 ทำนองบรรเลง  หรือทางเครื่อง  หมายถึง ทำนองที่ผู้ประพันธ์ได้ประพันธ์ขึ้นสำหรับเครื่องดนตรีต่างๆ บรรเลง ซึ่งบรรเลงสามารถพลิกแพลงทำนองหลักจากลูกฆ้องเป็นทำนองเต็มให้เหมาะสมกับเครื่องดนตรีแต่ละชนิดได้  แต่ต้องเป็นไปตามแบบแผน คือ เสียงตกของแต่ละวรรคจะต้องตรงกับเสียงตกของทำนองที่ผู้ประพันธ์ กำหนดไว้

ผลิตภัณฑ์ WINKWHITE