อาการ เวียนหัว บ้านหมุน เป็นหนึ่งในอาการของโรคเกี่ยวกับหูชั้นใน หรือ โรคเกี่ยวกับสมองได้ ในบางคนอาจจะเป็นอาการที่เป็นจนเคยชิน แต่ในบางคนเป็นแค่ครั้งเดียวก็เข็ดแล้วก็มี รู้สึกโคลงเคลเหมือนอยู่บนเรือ มองเห็นภาพไหลช้าๆ เป็นตอนตื่นนอน เป็นตอนเปลี่ยนท่าเร็วๆ ปล่อยไว้ให้หายเองได้ไหม เป็นอาการของไมเกรนหรือเปล่า อันตรายแค่ไหน วันนี้พาไปรู้จักอาการเวียนหัวบ้านหมุนกันนะคะ Show
เวียนหัว บ้านหมุน เป็นอาการแสดงของความผิดปกติของระบบการทรงตัว (Vestibular system) ที่คอยควบคุมในขณะที่เราเคลื่อนไหว ให้สมดุล ไม่ล้ม และเคลื่อนไหวได้อย่างราบรื่น ภายในหูชั้นใน (labyrinth) มีอวัยวะควบคุมเกี่ยวกับการทรงตัว 4 โครงสร้าง utricle, saccule, semicircular canal และการได้ยิน (cochlea) ในอวัยวะควบคุมเกี่ยวกับการทรงตัว utricleมีตะกอนหินปูน (otoconia) ที่เคลื่อนไปมาโดยไม่หลุด ซึ่งเมื่อระบบการทรงตัวถูกรบกวนจึงทำให้การเคลื่อนไหวไม่ราบรื่นนั่นเอง โรคที่พบได้บ่อยๆ คือ
ใน หูชั้นใน ของเราจะมีตะกอนหินปูนที่เป็นส่วนในการรับรู้การเคลื่อนไหวของศรีษะ เมื่อตะกอนหลุดจึงทำให้เราสูญเสียการรับรู้การเคลื่อนไหวของศรีษะ และ กระตุ้นให้เกิดอาการ เวียนหัว บ้านหมุนได้ โดยอาการจะเกิดได้หลายครั้งต่อวัน แต่ในแต่ละครั้ง อาการจะเป็นไม่นาน 30 วินาที – 1 นาที และ ไม่หนักเท่าครั้งแรก แต่ถ้าเคลื่อนไหวศรีษะในท่าเดิมอีก อาการก็จะกลับมาได้ โดยที่ผู้ป่วย โรค BPPV จะไม่มีอาการหูอื้อ เสียงดังในหู หรือ แขนขา ชา อ่อนแรง พูดไม่ชัด หรือ เป็นลมหมดสติร่วมด้วย
เมื่อมีการเคลื่อนไหวของศีรษะโดยเฉพาะในแนวดิ่งอย่างรวดเร็ว เช่น ล้มตัวลงนอน หรือลุกจากที่นอน ก้มหยิบของ หรือเงยหน้ามองที่สูง ก้มหน้ามองที่ต่ำ เอียงคอ
ส่วนใหญ่แล้วอาการจะดีขึ้นในการทำกายภาพบำบัด 1-2 ครั้ง เพื่อให้ตะกอนกลับเข้าไปในโครงสร้างของ หูชั้นใน แต่สามารถกลับมาเป็นซ้ำได้อีก วันนี้มีท่าออกกำลังกายมาฝากกันค่ะ
ท่าเริ่มต้น : นั่งห้อยขาข้างเตียง 2 ข้าง หลังจากนั้นล้มตัวลงนอนตะแคงด้านใดด้านหนึ่ง หมุนศรีษะให้จมูกชี้ขึ้น 45 องศา ค้างไว้ 30 วินาที หรือ จนกว่าจะหายเวียนหัว เมื่อครบ 30 วินาที หรือ อาการเวียนหัวหายแล้ว ให้ลุกขึ้นมานั่งหน้าตรงเหมือนท่าเริ่มต้น และ ทำอีกรอบในฝั่งตรงข้าม นับเป็น 1 ครั้ง การออกกำลังกายเป็นประจำบ่อยๆ ยังไงก็ถือว่าเป็นเรื่องดี แต่แน่ใจใช่ไหมว่าเราไม่ได้กำลังฝืนร่างกายตัวเองอยู่ ถ้าการออกกำลังกายเป็นเรื่องที่ทำให้ร่างกายแข็งแรง แต่บางสถานการณ์อาจจะทำให้การออกกำลังกายเป็นเรื่องที่ไม่ดีต่อเราก็ได้ เพราะฉะนั้น เข้าใจและสำรวจร่างกายตัวเองอยู่เสมอ ว่าเกิดสถานการณ์หรืออาการเหล่านี้ที่เป็น จงอย่าฝืนออกกำลังกาย! เพราะจะทำให้ร่ายกายมีแต่แย่มากกว่าจะเเข็งแรง #1. เมื่อเริ่มมีอากาศไข้ ไม่สบายตอนมีไข้ หรือเพิ่งจะฟื้นจากอาการไข้ ร่างกายของเราจะมีความอ่อนเพลียมากกว่าปกติ ทำให้เหนื่อยง่าย ต้องการ การพักผ่อนเสียมากกว่า หากเรายังฝืนออกกำลังกายในช่วงนี้ จะทำให้อาการเป็นไข้หายได้ช้าขึ้น และยังทำให้ร่างกายอ่อนเพลียมากกว่าเดิมด้วย #2. หลังรับประทานอาหารเสร็จเมื่อทานอาหารมาอิ่มๆ ร่ายกายเราจะใช้ระบบไหลเวียนของเลือดมาช่วยในการย่อยอาหารลงไปในลำไส้ และกระเพาะอาหาร ถ้าออกกำลังกายตอนนี้จะทำให้ร่างกายต้องแบ่งเลือดไปเลี้ยงส่วนที่ออกกำลังกาย จะทำให้กล้ามเนื้อเป็นตะคริวได้ง่าย และยังมีอาการจุกเสียด แน่น ระหว่างการออกกำลังกาย #3. วันที่อากาศร้อนจัดอากาศร้อนๆ หรืออุณหภูมิที่อบอ้าว ทำให้ร่างกายต้องสูญเสียเหงื่อและต้องการน้ำมากกว่าปกติ ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย เหนื่อยล้า เพราะร่างกายขาดน้ำ จนอาจทำให้เป็นลมหมดสติได้ เพราะฉะนั้นควรออกกำลังกายในช่วงเวลาที่อากาศสบายๆ ไม่ร้อนจนเกินไปจึงจะเหมาะ #4. วิงเวียนศีรษะเนื่องจากร่างกายที่อ่อนเพลีย ทำให้มีอาการ บ้านหมุน โคลงเคลง หน้ามืด หรือเวียนศีรษะ อาการอ่อนเพลียไม่ควรฝืนออกกำลังกาย เพราะมีผลต่อการทรงตัว อาจจะทำให้ได้รับบาดเจ็บ ระหว่างการออกกำลังกายได้ #5. คลื่นไส้จนอยากอาเจียนความอ่อนเพลีย สาเหตุที่ทำให้มีอาการ คลื่นไส้จนอยากอาเจียน อึดอัดมวนท้อง หรือมาจากการท้องเสียอาหารเป็นพิษ ทั้งหมดนี้จะทำให้ร่ายกายมีความอ่อนเพลีย จึงไม่ควรออกกำลังกายในขณะนั้น และควรรีบไปพบแพทย์ทันที หากอาการคลื่นไส้ต่างๆ ยังไม่ดีขึ้นภายใน 48 ชม. #6. หน้ามืด คล้ายจะเป็นลมสาเหตุของอาการหน้ามืดมาจาก การพักพอที่ไม่เพียงพอ ร่างกายขาดน้ำเป็นเวลานาน หรือเกิดจากการอยู่ในอากาศที่ร้อนจัด และทานอาหารไม่เพียงพอ ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองส่วนควบคุมความรู้สึกลดลง จนเกิดอาการหน้ามืดได้ เพราะฉะนั้นช่วงที่ร่างกายอ่อนเพลียไม่ควรไปออกกำลังกาย #7. หายใจติดขัด ไม่สะดวกความเครียด ความกลัว การตื่นเต้น หรือสาเหตุอื่นๆ ประกอบ เช่น สภาพร่างกายที่ ผอมเกินไป หรืออ้วนเกินไป รวมทั้งสาเหตุจากโรคภูมิแพ้ ทำให้ร่างกายมีอาการหายใจลำบาก หายใจไม่สะดวก หรือหายใจไม่ทัน เมื่อเกิดอากรเช่นนี้ เราไม่ควรออกกำลังกาย และรีบปรึกษาแพทย์จึงจะดีสุด #8. ใจเต้นแรงมากกว่าปกติสาเหตุของหัวใจที่มีความเต้นเร็วมากกว่าปกติ อาจจะเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของกระแสไฟฟ้าในหัวใจ หรือเกิดไฟฟ้าลัดวงจรในห้องหัวใจ ส่งผลให้ไม่สามารถส่งเลือดไปเลี้ยงในส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ ทำให้มีอาการหัวใจเต้นผิดปกติ อาจะเร็วหรือช้ากว่าปกติก็ได้ เพราะฉะนั้น เมื่อมีความรู้สึกใจสั่นๆ หวิว ก็ควรงดออกกำลังกายออกไปก่อน #9. ชีพจรเต้นเร็วชีพจรหากเต้นเร็วมากกว่าปกติก็ถือว่าเป็นเรื่องที่อันตรายแล้ว ถ้าเป็นผู้สูงอายุ ชีพจรควรจะเต้นเร็ว 140 ครั้ง/นาที และวัยหนุ่มสาว ชีพจรควรเต้น 160 ครั้ง/นาที ถ้าหากเร็วกว่านั้นก็ควรจะนั่งพัก หรือ หยุดออกกำลังกายไปเสียก่อน เพราะเริ่มเป็นสัญญาณของร่างกายเรา ที่บอกว่าไม่ไหวแล้ว เพราะฉะนั้นควรพักร่างกายให้พร้อม เเข็งเเรงในการออกกำลังกายก่อน แล้วค่อยกลับมาออกกำลังกายได้ปกติ #10. รู้สึกเหนื่อยล้า หรืออ่อนเพลียอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยล้ามากกว่าปกติในทุกวัน การออกกำลังกายไม่ได้เป็นตัวช่วยในการที่จะทำให้ร่างกายแข็งแรง หรือหายเหนื่อยแบบที่เราคิด เพราะถ้าหากมีการฝืนออกกำลังกาย ในวันที่ร่างกายไม่พร้อม ก็อาจจะทำให้เหนื่อยล้า หรือเกิดอุบัติเหตุระหว่างการออกกำลังกายได้ หากมีอาการที่ผิดปกติขั้นต้นแล้ว สาวๆ ทั้งหลายก็ไม่ควรฝืนออกกำลังกาย หรือบอกว่าตัวเองไหว ทั้งที่ร่างกายเริ่มฟ้องแล้วนะคะ เพราะฉะนั้น การออกกำลังกายต้องเตรียมร่างกายให้พร้อมออกกำลังกายเสียก่อน จึงจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม ถ้าหากฝืนไป อาจจะทำให้ร่างกายบาดเจ็บหรือเป็นอันตราย มากกว่าที่จะเเข็งแรงตามที่เข้าใจนะคะ ยังไงก็ระวังรักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ สาวๆ อาการเวียนหัวแก้ยังไงวิธีลดอาการเวียนศีรษะ. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ. เปลี่ยนอิริยาบถช้าๆ ไม่หมุนตัว ลุกขึ้นจาดพื้น จากเก้าอี้ ลุกขึ้นจากเตียง หันหัว หันตัวอย่างรวดเร็ว. ลดการสูบบุหรี่ และลดการดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงกาแฟ. ดื่มน้ำให้มากๆ. พยายามลดอาการเครียด วิตกกังวลลง. ออกกําลังกายแล้วหน้ามืดเกิดจากอะไรขณะออกกำลังกาย หัวใจจะเต้นเร็วขึ้น เพื่อเพิ่มการสูบฉีดของเลือด การหยุดออกกำลังกายอย่างกะทันหันจะทำให้เลือดที่ไหลมาเลี้ยงหัวใจ ลดน้อยลงแต่หัวใจยังคงสูบฉีดเลือดได้ ในปริมาณเท่าเดิมอยู่ จึงส่งผลให้เกิดอาการวิงเวียน หน้ามืด หรือในบางคนอาจจะวูบหมดสติไปเลยก็ได้ ซึ่งเราสามารถสังเกตอาการของเราได้ หากมีอาการเหล่านี้ แปลว่า เรา ...
มึนหัวนวดตรงไหน1. นวดจุด ไท่หยาง (太阳穴) จุดนี้จะอยู่บริเวณขมับทั้งสองข้าง อยู่ด้านหลังหางคิ้วไปประมาณ 1.5 เซนติเมตร เวลานวดใช้นิ้วหัวแม่มือคลึงหมุนเป็นวงกลมนาน 3 – 5 นาที 2. นวดจุด ป่ายฮุ่ย (百会穴) จุดนี้อยู่บริเวณศีรษะด้านบน อยู่ในแนวกึ่งกลางระหว่างใบหูทั้งสองด้าน เวลานวดใช้ปลายนิ้วชี้หรือนิ้วกลาง นวดคลึงหมุนเป็นวงกลมประมาณ 3 - 5 นาที
อาการมึนหัว เดินเซ เกิดจากอะไรอาการเวียนหัว บ้านหมุน เดินเซ ส่วนใหญ่เกิดจากความผิดปกติของระบบการทรงตัวของร่างกาย อย่าง หูชั้นใน หรือสมอง โดยผู้ป่วยมักจะมีอาการแสดงเวลาที่มีการเคลื่อนไหวศีรษะหรือใช้สายตา ซึ่งการบำบัดด้วยวิธีการบริหารร่างกายนั้นเป็นการฝึกเพื่อปรับสมดุลของการทรงตัว ทำให้อาการเวียนหัวที่เป็นอยู่บรรเทาลงได้
|