เอเชียกลางเป็นดินแดนที่เคยรวมอยู่กับสหภาพโซเวียตที่ปกครองด้วยระบอบเผด็จการคอมมิวนิสต์และใช้ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม แม้ได้รับเอกราชการปกครองตนเองและหันมาใช้ระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมแล้วแต่ระบบเก่าที่ฝังรากลึกอยู่เกือบร้อยปีทำให้ความเปลี่ยนแปลงในภูมิภาคนี้เป็นไปอย่างล่าช้า Show เอเชียกลางเป็นภูมิภาคที่เคยรวมอยู่กับดินแดนบางส่วนที่ตั้งอยู่ในทวีปยุโรปเป็นประเทศสหภาพโซเวียตต่อมาดินแดนต่างๆของประเทศสหภาพโซเวียตทั้งในทวีปยุโรปและเอเชียกลางได้ประกาศแยกออกเป็นสาธารณรัฐอิสระเพื่อปกครองตนเองทำให้ประเทศสหภาพโซเวียตต้องล่มสลายลงใน พ.ศ.2534 สาธารณรัฐในเอเชียกลางที่แยกตัวออกมาจากอดีตสหภาพโซเวียต มี 8 ประเทศ ได้แก่ คาซัคสถาน อุซเบกิสถาน คีร์กีซ เติร์กเมนิสถาน ทาจิกิสถาน
จอร์เจีย อาร์เมเนีย และอาเซอร์ไบจาน มีขนาดพื้นที่รวมกันประมาณ 4.2 ล้านตารางกิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ 10 ของเนื้อที่ทวีปเอเชีย หรือร้อยละ 1 ของพื้นผิวโลกทั้งหมด “เอเชียกลาง” ซึ่งเรามีความเข้าใจว่าเป็นอาณาบริเวณซึ่งเป็นที่ตั้งของประเทศ 5 ประเทศ ที่แตกตัวออกมาจากอดีตสาธารณรัฐเอเชียกลางของสหภาพโซเวียตในอดีต โดยข้อเท็จจริงแล้ว ครอบคลุมพื้นที่กว้างขวางกว่านี้มาก คือส่วนที่มีชื่อว่าอาณาจักรเตอร์กิสถานตะวันตกซึ่งหมายถึง ดินแดนของ 5 ประเทศ แล้วยังรวมดินแดนในส่วนที่เป็นอัฟกานิสถาน เปอร์เชียและอาณาจักรเตอร์กิสถานตะวันออกหรือดินแดนส่วนที่เป็นมณฑลตะวันตกของจีนในปัจจุบันอีกด้วย ดินแดน “ เอเชียกลาง ” ในช่วงก่อนคริสตกาลนั้น มีอารยธรรมเจริญรุ่งเรืองกว่าดินแดนในยุโรปในส่วนที่เป็นอังกฤษและฝรั่งเศสปัจจุบันเสียอีก ผู้คนที่อยู่ในอาณาเตอร์กิสถานเป็นชนเผ่าเร่ร่อนชาวเติร์กและชาวตาตาร์ในปัจจุบันซึ่งชาวจีนในสมัยนั้นเรียกว่าชาวฮวนหรือพวกฮวน-นั้ง
ชาวฮวนคือพวกเร่ร่อนที่ไม่สร้างอาณาจักรเป็นหลักเป็นแหล่งสำหรับตนเอง เพราะดำรงชีวิตด้วยการเลี้ยงสัตว์เป็นหลัก ทำให้ต้องดั้นด้นไปทุกหนทุกแห่งที่สามารถให้หญ้าและน้ำแก่ม้าและแกะซึ่งเป็นสัตว์เศรษฐกิจของตนได้ และเพราะการที่ไม่มีหลักแหล่ง ชาวจีนจึงเรียกพวกเร่ร่อนนี้ว่าคนป่า หรือฮวน-นั้งนั่นเอง พวกฮวนในสายตาของชาติที่อาระยะกว่าเช่นจีนเป็นชนชาติที่ไม่มีอารยธรรม แต่อันที่จริงแล้ว พวกเร่ร่อนมิใช่ชนชาติที่ไม่มีอารยธรรม แต่พวกเขามีอารยธรรมในแบบของตน เป็นพวกที่มีความชำนาญในการดำรงชีพเฉพาะตัว
แม้พวกเร่ร่อนไม่อยู่เป็นหลักเป็นแหล่ง แต่จะสร้างเมืองในทุกหนทุกแห่งที่เร่ร่อนไป เมืองที่สร้างทำหน้าที่เป็นสถานี ตลาดแลกเปลี่ยนสินค้าและเป็นจุดกำเนิดของศิลปวิทยาการ ชาวฮวนในเอเชียกลางเร่ร่อนไปทั่วโดยมีอาณาเขตจรดทะเลสาบแคสเปียนทางตะวันตก ต่อสู้กับชนเผ่าตูเรเนียนและอิเรเนียนเพื่อขยายดินแดนลงไปจนจรดอาณาจักรเปอร์เซียทางทิศไต้ เข้าครอบครองที่ราบทุ่งหญ้าสเตปป์ในไซบีเรียและเข้ายึดครองมองโกเลียรวมทั้งขยายอิทธิพลเข้าไปทางตอนเหนือและตะวันตกของจีนอยู่เนืองๆ
จนจีนต้องสร้างกำแพงสกัดกั้นการขยายดินแดนของพวกฮวนเร่ร่อนนี้ ชาวเติร์ก ชาวฮวนในเอเชียกลางมีรากเหง้ามาจากชาวซินเธียนส์ ซึ่งเป็นเชื้อชาติหนึ่งของสายอารยันและร่อนเร่ในดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาลจากที่ราบลุ่มแม่น้ำดานูบจนมาถึงที่ราบทุ่งหญ้าสเตปป์ในรัสเซียและเอเชียกลาง ต่อมาได้ผสมกับชาวฮวนหรือฮวน-นั้ง Yueh-Chi ที่ถูกขับมาจากดินแดนตอนเหนือของจีน(หรือมองโกเลียในปัจจุบัน)ในสมัยจักรพรรดิจี๋ ฮ่องเต้ ซึ่งอพยพมาเอเชียกลางตามเส้นทางของเทือกเขาคุนลุ้น ส่วนหนึ่งเข้ามายึดครองอาณาจักรบัคเตรียซึ่งเป็นชาวฮวนที่เข้ามาอยู่ก่อนแล้วตั้งแต่สมัยของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชเข้ามายึดครองเอเชียกลางในช่วงศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล ผู้คนในเอเชียกลางจึงมีบรรพบุรุษที่มีที่มาจากการผสมผสานระหว่างชาวซินเธียนส์จากยุโรปกับพวกฮวน-นั้งจากตะวันออกซึ่งต่อมาเราเรียกพวกนี้ว่าอินโด-ซินเธียนส์หรืออินโด-อารยัน ในเวลาต่อมา พวกฮวน-นั้งอีกส่วนหนึ่งตั้งหลักแหล่งอยู่บริเวณดินแดนทางตะวันตกของจีนซึ่งเรียกว่า เตอร์กิสถานตะวันออกหรือดินแดนที่เป็นส่วนหนึ่งของมณฑลซินเกียงในปัจจุบัน ต่อมาถูกจักรพรรดิ์ หวู้-ตี่(ปีค.ศ. 140- ค.ศ. 86 ก่อนคริสตกาล) กวาดต้อนออกจากเตอร์กิสถานตะวันออกเพื่อเปิดทางให้ขบวนคาราวานของพ่อค้าชาวจีนสามารถขนสินค้าของตน โดยเฉพาะ ผ้าไหม เครื่องแล็กเกอร์และหยกไปขายยังอาร์เมเนียและกรุงโรมเพื่อแลกกับทองคำและเงินกลับจีน เส้นทางคาราวานการค้าจากจีนไปยังอาร์เมเนียและกรุงโรมที่เริ่มในช่วงศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสตกาลคือจุดเริ่มต้นของเส้นทางการค้าที่เรียกว่าเส้นทางสายไหมตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา 🔅ฮวน-นั้ง : ชาติกำเนิดของคนเอเชียกลาง
ชาวมองโกล อย่างไรก็ตาม
พวกฮวนในเอเชียกลางในสมัยก่อนคริสตกาลก่อนที่จะวิวัฒนาการมาเป็นชาวเติร์กและชาวตาตาร์ตั้งแต่ศตวรรษที่ 6 เรื่อยมานั้น ได้ตั้งอาณาจักรของตนขึ้นแล้วเพื่อตอบสนองการใช้ชีวิตของพวกเร่ร่อนที่เป็นหลักเป็นแหล่งมากขึ้น และเพื่อความอยู่รอดท่ามกลางการเจริญเติบโตของอาณาจักรชนชาติอื่นๆที่มิใช่พวกเร่ร่อนที่ล้อมรอบเอเชียกลาง อาทิ อาณาจักรเมดีแอนของชาวกรีก อาณาจักรเปอร์เซียทางไต้ และจีนทางตะวันออกซึ่งตั้งมาตั้งแต่ 700 ปีก่อนคริสตกาล อาณาจักรของพวกฮวนในเอเชียกลาง ไม่ว่าจะเป็นโซกดิน่า โฆเรซึม หรือซาคา
ล้วนอยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรชนชาติต่างๆที่อยู่ล้อมรอบเอเชียกลางด้วยกันทั้งสิ้น จวบจนกระทั่งถึงระยะศตวรรษท้ายๆก่อนคริสตกาล พวกฮวนในเอเชียกลางซึ่งผสมผสานทางเชื้อชาติเผ่าพันธุ์กับฮวน-นั้งหรือมองโกลที่ถูกขับมาจากตอนเหนือของจีนได้ใช้กำลังเข้ายึดอาณาจักรบัคเตรียของชาวกรีกสำเร็จ จึงได้ตั้งอาณาจักรที่เป็นอิสระของตนซึ่งปกครองโดยราชวงศ์ต่างๆ และแผ่ขยายอาณาเขตของตนไปยังทิศทางต่างๆตามกาลเวลาที่เปลี่ยนไป การบุกเข้าไปในเปอร์เซีย อัฟกานิสถานและอินเดียของพวกฮวน-นั้งภายใต้อาณาจักรคูชานในศตวรรษที่ 2
การบุกเข้าไปในทุ่งหญ้าสเตปป์ในอาณาจักรเตอร์กิสถานตะวันออก(แคว้นซินเกียงของจีนในปัจจุบัน)ของพวกเร่ร่อนเอฟาลิติสที่ชาวจีนเรียกว่าพวกฮวนขาวในศตวรรษที่ 5 และบุกเข้าอินเดียอีกครั้งของพวกฮวนขาวนี้เองที่ได้ทำลายล้างเชื้อชาติกรีกในอินเดียตอนเหนือจนหมดสิ้น ชาวอินเดียตอนเหนือสุดจนถึงเมืองพาราณสีในปัจจุบันจึงสืบเชื้อสายมาจากพวกอินโด-อารยันที่พวกฮวน-นั้งบุกเข้ามาครั้งแรกในศตวรรษที่ 2 และจากพวกฮวนขาวในศตวรรษที่ 5 แต่พวกเร่ร่อนเอฟาลิติสหรือฮวนขาวมิใช่ต้นตระกูลของชาวเอเชียกลางซึ่งสืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน
หากแต่เป็นพวกฮวน-นั้งที่กระจัดกระจายในที่ราบลุ่มแม่น้ำของเอเชียกลางซึ่งร่วมมือกับอาณาจักรเปอร์เซียบุกเข้าตีอาณาจักรของพวกเร่ร่อนเอฟาลิติสเป็นผลสำเร็จในศตวรรษที่ 6 พวกฮวน-นั้งในเอเชียกลางนี้ได้วิวัฒนาการมาเป็นชนชาวตระกูลเติร์กและตั้งอาณาจักรเตอร์กิสถานที่เป็นอิสระของชนชาติตระกูลเติร์กเป็นครั้งแรกในเอเชียกลาง เจงกีสข่าน ในขณะที่การสู้รบกับอาณาจักรคินของชาวจีนทางเหนือเป็นศึกสงครามที่ทรหดและยืดเยื้อ
เจงกีสข่าน วิตกกังวลถึงความเข้มแข็งของอาณาจักรคีวาซึ่งเป็นอาณาจักรทางตะวันตกที่มีพลานุภาพที่สุดและด้วยความเป็นอาณาจักรมุสลิมที่ชาวมองโกลรังเกียจมากที่สุด อาณาจักรคีวาสามารถเป็นภัยต่อชาวมองโกลได้ในสายตาของเจงกีสข่าน เจงกีสข่านจึงได้ส่งราชทูตไปยังเมืองซามาร์คานด์เพื่อเจริญไมตรีด้วยแต่เอกสารบางแห่งยืนยันว่าเพื่อสืบความลับของอาณาจักรคีวา และหากเจ้าผู้ครองรัฐคีวาภายใต้ราชวงศ์คาริสเมียนจะยอมรับการเจริญไมตรีของเจงกีสข่าน หรือไม่สังหารราชทูตด้วยการตัดคอแล้วส่งกลับไปยังราชสำนักของเจงกีส
ข่านที่คาราโครัมแล้ว ประวัติศาสตร์โลกก็จะไม่บันทึกถึงเหตุการณ์ในปีค.ศ. 1218 ที่กองทัพมองโกลกว่า 6หมื่นคนบุกเข้ามายังเอเชียกลางและกวาดล้างอารยธรรมมุสลิมตั้งแต่ปามีร์ คาชการ์ ละฮอร์โคคานด์ บุคาราและซามาร์คานด์จนเกือบจะราบคาบและอย่างไร้ความปราณีเช่นนี้กองทัพของเจงกีส ข่านบุกตะลุยเอเชียกลางทั้งภูมิภาคจนไปประชิดตอนเหนือของทะเลสาบแคสเปียน ณ บริเวณที่เป็นเมืองอาสตราคานด์ของรัสเซียในปัจจุบันและที่จุดนี้ที่กองทัพมองโกลปะทะกับกองทัพของนครรัฐรัสเซียเป็นครั้งแรกและการสู้รบดำเนินไประหว่างปีค.ศ. 1235-1240
จนกระทั่งกรุงเคียฟ เมืองศูนย์กลางของนครรัฐรัสเซียถูกบดขยี้ในปีค.ศ. 1240 และเป็นการเปิดทางให้กองทัพของมองโกลในสมัยของอ๊อกได ข่านลูกชายของเจงกีส ข่าน เข้ายึดรัสเซียได้ทั้งหมดและบังคับให้เป็นประเทศราชของมองโกลอย่างสมบูรณ์ กองทัพของชาวมองโกลในสมัยของอ๊อกได ข่านได้ขยายอาณาจักรของตนที่เริ่มต้นจากฝั่งแปซิฟิกจนจรดแม่น้ำดนีเปอร์ภายในระยะเวลา 28 ปี คือนับตั้งแต่ปีค.ศ. 1214 ปีที่กองทัพมองโกลเข้ายึดกรุงปักกิ่งสำเร็จจนถึงปีค.ศ. 1240 ซึ่งเป็นปีที่กรุงเคียฟของรัสเซียถูกบดขยี้ ทั้งนี้
ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงการเข้ายึดครองโปแลนด์ เยอรมันและฮังการีในอีกเพียง 1 ปีถัดมา
ทหารคอซแซ็คส์ การอ่อนกำลังลงของระบบปกครองมองโกล-ตาตาร์ทำให้เจ้าผู้ครองนครใหญ่น้อยของรัสเซียซึ่งมีจำนวนมากกว่า
20 นครรัฐ กล้าที่จะแข็งเมืองกับข่านมองโกล-ตาตาร์ที่ละเล็กทีละน้อย จนในที่สุดนครรัฐมอสโกซึ่งมีเจ้าชายอิวานที่ 3 (Ivan III) เป็นอุปราชได้ก่อการกบฏประกาศอิสรภาพต่ออาณาจักรคิปแช็กและยุติการส่งส่วยและบรรณาการต่อข่านมองโกล-ตาตาร์ตั้งแต่ปีค.ศ. 1480 ซึ่งถือเป็นปีที่รัสเซียประกาศอิสรภาพจากแอกของมองโกล-ตาตาร์ พร้อมกันนั้น ได้ส่งกำลังทหารเข้ายึดครองเมืองนอฟกอร็อด ศูนย์กลางนครรัฐและการค้าของแคว้นทางฝั่งทะเลบอลติก ประกาศความเป็นจักรวรรดิรัสเซียพร้อมกับประกาศให้มอสโกเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรโรมันที่ 3
ต่อจากกรุงคอนสแตนติโนเปิล (Constantinople) ที่ถูกทำลายล้างลงโดยพวกอนารยะชนจากอาหรับในปีค.ศ. 1476 พร้อมกันนั้น ก็ได้นำสัญลักษณ์พญาอินทรีย์สองเศียรซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของอาณาจักรไบแซนไทน์ (Bizantine) มาเป็นสัญลักษณ์ของจักรวรรดิ์รัสเซียตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน และนำตำแหน่งซาร์ (Tzar)ซึ่งเป็นภาษาสลาฟจากคำว่าซีซาร์ในภาษาโรมัน มาใช้เรียกกษัตริย์ของจักรวรรดิ์รัสเซียตั้งแต่รัชสมัยของพระเจ้าอิวานที่ 4 หรืออิวานผู้โหดเหี้ยม จนถึงซาร์นิโคลัสที่ 2 กษัตริย์องค์สุดท้ายของรัสเซีย แม้พระเจ้าอิวานที่ 4
จะมีตำแหน่งเป็นพระเจ้าซาร์หรือซีซาร์ของอาณาจักรโรมัน แต่พฤติกรรมเป็นตาตาร์มากกว่าชาวยุโรป ปกครองอาณาประชาราษฎร์ด้วยระบอบอัตตาธิปไตยที่ใช้อำนาจอย่างไม่จำกัดตามวิถีการปกครองแบบเอเชีย(Eastern Depotism) และรับคำสอนของคริสต์ศาสนาในแบบออร์ธอดอกซ์ที่เผยแพร่เข้ามาในรัสเซียผ่านเข้ามาทางคอนสแตนติโนเปิลจากหมอสอนศาสนาชาวบัลแกเรียตั้งแต่ศตวรรษที่ 9 ร่วมสามร้อยปีก่อนที่มองโกลจะเข้ามาปกครอง อามีร์ ติมูร์ ในยุคสมัยของติมูร์เลน
ติมูร์เลนปกครองอาณาจักรของตนด้วยความเหี้ยมโหด ปล้นสะดมจากพ่อค้าตามเส้นทางสายไหมและนำทรัพย์สมบัติที่ปล้นมาได้มาสร้างความรุ่งเรืองอลังการ์ให้กับเมืองซามาร์คานด์ สถาปัตยกรรมในเมืองซามาร์คานด์ที่ปรากฏตัวอยู่จนถึงทุกวันนี้ล้วนถูกสร้างขึ้นในสมัยของติมูร์เลนเกือบทั้งสิ้น ชื่อเสียงของติมูร์เลนในฐานะนักรบผู้ยิ่งใหญ่เขื่องพอๆกับความเป็นทรราชย์ของเขาซึ่งกล่าวขานกันว่า ติมูร์คือผู้ซึ่งใช้กะโหลกศีรษะของทหารศัตรูทั้งกองทัพ กองแล้วกองเล่า แล้วซีเมนต์เข้ากับโคลนและปูนก่อนที่จะนำไปปั้นเป็นปราสาท
หอคอยและกำแพงเมือง Sectant ในเวลาต่อมา อัล-โคริซึม
อัคบาร์ ดังที่ได้กล่าวแล้วถึงบทบาทของพวกเร่ร่อนชาวคริสต์ที่มีหลักแหล่งอยู่ตามบริเวณแนวทุ่งหญ้าสเตปป์ทางตอนใต้ของรัสเซียและตะวันออกของยูเครนและที่เรียกว่าคอซแซ็ค
ในการบั่นทอนอำนาจของอาณาจักร Golden Horde ของมองโกล-ตาตาร์และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้นครรัฐมอสโกภายใต้การนำของเจ้าชายอิวานที่ 3 ประกาศเอกราชจากการเป็นประเทศราชของอาณาจักรมองโกลได้สำเร็จ คอซแซ็คมิใช่เชื้อชาติ แม้จะมีรากเหง้ามาจากซินเธียนส์และฮวน-นั้งเมื่อ 1500 ปีก่อน แต่เป็นการรวมตัวของพวกเร่ร่อนหลายเผ่าพันธุ์และเชื้อชาติศาสนา คือพวกที่ไม่ชอบอยู่ภายไต้การปกครองของใครซึ่งย่อมต้องรวมไปถึงทาสและไพร่ที่หลบหนีจากการจองจำของเจ้าที่ดินศักดินาในยุโรป
อาชญากรทั้งที่ประพฤติผิดโดยเจตนาและที่ถูกบังคับให้เป็นโจร แม้กระทั่งพวกเร่ร่อนชาวตาตาร์ที่หลบหนีออกจากการปกครองของอาณาจักรตนเอง(มองโกล-ตาตาร์) ชนเผ่าคอซแซคส์ที่ใหญ่ที่สุดและเป็นผู้นำของคอซแซคส์ทั้งมวล คือคอซแซคส์ยูเครนจากลุ่มแม่น้ำดนีเปอร์และคอซแซคส์รัสเซียจากลุ่มแม่น้ำดอน และด้วยผลประโยชน์ที่สอดคล้องกันระหว่างพวกคอซแซคส์ที่ต้องการแสวงหาดินแดนใหม่ที่ไม่มีใครจับจองและเป็นเจ้าของมาก่อนกับผลประโยชน์ของจักรวรรดิรัสเซียที่ต้องการขยายอาณาจักรออกไปในทุกทิศทุกทางโดยเฉพาะ
ทางตะวันออกซึ่งไม่มีศัตรูที่แข็งแกร่งเป็นอุปสรรค เหมือนเช่น ทางตะวันตกที่มีอาณาจักออโตมานขัดขวาง หรือทางไต้ที่การขยายอำนาจทางเรือของอังกฤษและฝรั่งเศสขัดขวาง พวกคอซแซคส์จึงได้กลายเป็นทัพหน้าและอาวุธอันทรงพลังของจักรวรรดิรัสเซียในการบุกเข้าตีอาณาจักรของชาวมองโกล-ตาตาร์ที่กระจัดกระจายตามเส้นทางการบุกเบิกดินแดนใหม่ทางตะวันออก เริ่มจากเตอร์กิสถานในเอเชียกลาง ขึ้นไปในไซบีเรียและสิ้นสุดที่แม่น้ำอามูร์ทางทิศตะวันออกไกล ความอ่อนล้าลงของอาณาจักรมองโกลในเอเชียกลางในช่วง 2 ถึง 3 ศตวรรษหลังเจงกีส ข่าน
และตีมูร์เลนหมดอำนาจลงไปนั้น เป็นสิ่งที่อธิบายได้ไม่ง่ายนัก การเปลี่ยนแปลงสภาพดินฟ้าอากาศในช่วงศตวรรษที่ 15-18 ทำให้ความอุดมสมบูรณ์ของเอเชียกลางที่มาพร้อมกับดินดำและทุ่งหญ้าสเตปป์หายไปพร้อมกับสัดส่วนของพื้นที่ทะเลทรายที่มากขึ้น อาจเป็นสาเหตุสำคัญ แต่การฟื้นฟูศิลปวิทยาการของยุโรปภายหลังยุคกลาง โดยเฉพาะการค้นพบวิชาคณิตศาสตร์สมัยใหม่ วิชาฟิสิคส์และวิชาดาราศาสตร์ ทำให้การเดินเรือระหว่างมหาสมุทรเป็นเรื่องไม่ยากอีกต่อไปสำหรับชาวยุโรป ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด นับตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 เป็นต้นไป
ยุคของการล่าอาณานิคมของพวกมองโกล-ตาตาร์และของชาวเติร์กจบสิ้นลงแล้ว และนับจากนี้ไปดินแดนของพวกเขาทางตะวันออกตั้งแต่เทือกเขายูราล เอเชียกลางทั้งภูมิภาค ไซบีเรีย จนถึงดินแดนชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก รวมไปถึงมองโกเลียบ้านเกิดเมืองนอนของผู้รุกรานเองด้วย กำลังถูกรุกราน ถูกเข้ายึดครองโดยชาวรัสเซียซึ่งเริ่มต้นในสมัยพระเจ้าอิวานในศตวรรษที่ 16 จนจบลงที่รัสเซียในสมัยสหภาพโซเวียตในศตวรรษที่ 20 พระเจ้าอิวาน
พระเจ้าอิวานที่ 4
หรืออิวานผู้เศร้าสร้อย (ในภาษารัสเซีย) คือผู้นำชาวรัสเซียคนแรกที่รวบรวมนครรัฐของชาวรัสเซียที่กระจัดกระจายกว่า 20 นครรัฐให้เป็นปึกแผ่นหรือที่เรียกว่าจักรวรรดิในเวลาต่อมา การขยายดินแดนของรัสเซียมีปรัชญาเบื้องหลังอยู่เพียงประการเดียวคือการแสวงหาทางออกทะเลและเป็นปรัชญาที่ขับเคลื่อนนโยบายภูมิรัฐศาสตร์ของรัสเซียตั้งแต่ในอดีตจนถึงสมัยปัจจุบันนี้ ดังนั้น พระเจ้าอิวานเริ่มต้นทำสงครามกับนครรัฐของสวีเดนและโปแลนด์ก่อนเพื่อยึดเมืองนอฟกอร็อด(Novgorod) ซึ่งเป็นเส้นทางออกทางทะเลที่ทะเลบอลติก(Baltic)
จากนั้นทำสงครามกับบรรดานครรัฐของพวกมองโกล-ตาตาร์ที่ยังกระจัดกระจายอยู่ในลุ่มแม่น้ำโวลก้า(Volga) อย่างไม่ปรานี เพื่อยึดครองอาสตราคานด์(Astrakhand) ซึ่งเป็นเมืองท่าที่ทะเลสาบแคสเปียน (Caspian) การยึดดินแดนของข่านมองโกล-ตาตาร์ตามลุ่มแม่น้ำโวลก้าเป็นการครอบครองเส้นทางยุทธศาสตร์ที่เชื่อมทะเลบอลติกกับทะเลสาบแคสเปียนเข้าด้วยกัน รวมทั้ง เป็นเส้นทางสำหรับจักรวรรดิรัสเซียขยายเข้าเอเชียกลางในเวลาต่อมา การเข้ายึดดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาลในไซบีเรียสามารถเริ่มต้นอย่างจริงจังได้
ในภายหลังที่อาณาจักรมองโกล-ตาตาร์ถูกโค่นลงโดยสิ้นเชิงแล้ว ดินแดนตั้งแต่สันเขาของเทือกเขายูราล(Ural)ไปทางตะวันออกจนจรดดินแดนบริเวณทะเลสาบไบคาล(Lake Baikal)ซึ่งต่อมาเรียกว่าไซบีเรียนั้น เป็นดินแดนรกร้างว่างเปล่า มีแต่พวกเร่ร่อนคอซแซคส์(Cossack) เท่านั้นที่สามารถทำหน้าที่ทัพหน้าฝ่าความทุระกันดารเข้ามาบุกเบิกได้ มา รัสเซียส่งนักสำรวจพร้อมทหาร Cossacks
บุกไซบีเรียและภาคตะวันออกไกลโดยใช้เส้นทางแม่น้ำและตั้งสถานีของตนขึ้นในบริเวณพื้นที่อุดมสมบูรณ์ตามลุ่มแม่น้ำสายสำคัญของไซบีเรียและพัฒนาเป็นเมืองสำคัญในช่วงเวลาต่อมา เช่น เมืองทอมสค์ Tomsk บนฝั่งแม่น้ำอ๊อบ (Ob) เมืองคราสโนยาร์สค์(Krasnoyarsk) บนฝั่งแม่น้ำแม่น้ำเยนิเซ (Yenisei) และเมืองยาคุตสค์ (Yakutsk) บนฝั่งแม่น้ำแม่น้ำเลียนา (Lena) เป็นต้น การเข้ายึดพื้นที่ซึ่งต่อมาได้สถาปนาเป็นเมืองยาคุตสค์
ถือเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่ของจักรวรรดิรัสเซียในเส้นทางล่าอาณานิคมไปยังเอเชียและตะวันออกไกลเพื่อแสวงหาดินแดนที่ทำกินสำหรับไพร่ติดที่ดินในรัสเซียเขตยุโรป ทรัพยากรธรรมชาติ เช่น แร่เงินที่กำลังขาดแคลนในรัสเซียและการหาทางออกทางทะเล เยฟเกนี คาบารอฟ (Evgeny Khabarov) คือผู้บุกเบิก (pioneer) ที่นำกำลังไพร่พลจากสถานีที่ยาคุตสค์ เข้ามาสร้างสถานีใหม่บนแม่น้ำอามูร์ (Amur) ซึ่งเชื่อว่าเป็นแหล่งแร่เงินที่สำคัญในช่วงกลางของศตวรรษที่ 17
ซึ่งทำให้รัสเซียต้องเริ่มต้นทำสงครามกับจีนเพื่อช่วงชิงและขยายดินแดนในบริเวณลุ่มแม่น้ำอามูร์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามผลประโยชน์ทางการเมืองและเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นของจักรวรรดิรัสเซีย โดยเฉพาะ ผลประโยชน์ทางภูมิรัฐศาสตร์ การหาทางออกทะเลทางมหาสมุทรแปซิฟิก การแสวงหาทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ และความจำเป็นที่รัสเซียต้องมีอู่ต่อเรือบนฝั่งแม่น้ำอามูร์ซึ่งกลายเป็นเมืองคาบารอฟสค์ (Khabarovsk) ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา
พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช
Trans-Caspian Railway
สงครามโลกครั้งที่ 1
Collectivisation
เอเชียกลางปกครองแบบใดเอเชียกลางเป็นดินแดนที่เคยรวมอยู่กับสหภาพโซเวียตที่ปกครองด้วยระบอบเผด็จการคอมมิวนิสต์และใช้ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม แม้ได้รับเอกราชการปกครองตนเองและหันมาใช้ระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมแล้ว แต่ระบบเก่าที่ฝังรากลึกอยู่เกือบร้อยปี ทำให้ความเปลี่ยนแปลงในภูมิภาคนี้เป็นไปอย่างล่าช้า
เพราะเหตุใดเอเชียกลางจึงมีการปกครองแบบชนเผ่า3. เพราะเหตุใด ในอดีตเอเชียกลางจึงมีการปกครองแบบชนเผ่า สภาพภูมิประเทศที่เป็นทุ่งหญ้า ทะเลทราย และเทือกเขา ผู้คนจึงเกาะกลุ่มกันเป็นชนเผ่า อาศัยอยู่แบบเร่ร่อน เพื่อเดินทางแสวงหาแหล่งน้ำและอาหาร
เอเชียกลางได้รับเอกราชเมื่อใดเอเชียกลางเป็นภูมิภาคที่เคยรวมอยู่กับดินแดนบางส่วนที่ตั้งอยู่ในทวีป ยุโรปเป็นประเทศสหภาพโซเวียต ต่อมาดินแดนต่าง ๆ ของประเทศ สหภาพโซเวียตทั้งในทวีปยุโรปและเอเชียกลางได้ประกาศแยกออกเป็น สาธารณรัฐอิสระเพื่อปกครองตนเองทาให้ประเทศสหภาพโซเวียตต้อง ล่มสลายลงใน พ.ศ.2534.
สภาพภูมิประเทศของภูมิภาคเอเชียกลางเป็นอย่างไรภูมิภาคเอเชียกลาง ตั้งอยู่ระหว่างประเทศจีน ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และทวีปยุโรป บริเวณภูมิภาคเอเชียกลางมีทะเลแคสเปียนเป็นศูนย์กลาง และล้อมรอบด้วยพื้นที่ 2 ลักษณะ ได้แก่ พื้นที่ราบสูงและเทือกเขาทางฝั่งตะวันตกของทะเลแคสเปียน และพื้นที่ทุ่งหญ้าแห้งแล้งทางฝั่งตะวันออกของทะเล แคสเปียนเป็นแหล่งผสมผสานระหว่าง ...
|