เวลาได้เวียนมาบรรจบพบเจอกันอีกครั้งกับเทศกาลปล่อยของโดยบริษัทเทคโนโลยีชื่อดังระดับโลกอย่าง Apple ที่รอบนี้ได้แนะนำเทคโนโลยีใหม่ในโมเดล Smartwatch รุ่นเรือธงอย่าง Apple Watch Series 6 หลายรายการ ซึ่งฟีเจอร์ที่เป็นจุดเด่นที่สุดคือโปรแกรม Blood Oxygen Sensor (ฺBOS) ที่ทางแอปเปิลโฆษณาเอาไว้อย่างดิบดี ว่าจะมาปฏิวัติวงการฟิตเนสและการดูแลสุขภาพเลยทีเดียว ดังนั้นแล้วในบทความนี้เราจะพยายามเจาะลึกเบื้องหลังของเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดนี้กันครับ ว่าแท้จริงเจ้า BOS ของแอปเปิลนั้นแตกต่างจากการวัดระดับออกซิเจนจริงๆ อย่างไร และที่สำคัญที่สุดเลยคือเราจะเชื่อถือมันได้มากแค่ไหนกันเชียว ทำไมเราต้องวัดออกซิเจนในเลือดการจะตรวจสอบว่าร่างกายของเรานั้นมีสุขภาพดีหรือไม่นั้นย่อมต้องตรวจสอบตัวแปรหลายๆ ชนิดร่วมกัน ด้วยความที่ร่างกายมนุษย์นั้นซับซ้อนเสียยิ่งกว่าอะไรดี ตั้งแต่ระดับอวัยวะไปจนถึงเซลล์ หรือแม้กระทั่ง DNA ที่จนถึงตอนนี้ยังคงมีการค้นพบความรู้ใหม่ ๆ ในการทำงานของมันอยู่เรื่อย ๆ นี่จึงเป็นเหตุให้เครื่องมือแพทย์ที่ใช้วัดตัวแปรทั้งหลายเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นความดัน, อุณหภูมิ, อัตราการเต้นของหัวใจ ฯลฯ ถูกพัฒนามาไม่เพียงแค่เพื่อให้ใช้งานได้จริง แต่ต้องมีความแม่นยำสูงด้วย ปัญหาอยู่ที่การวัดระดับออกซิเจนในเลือดนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายครับ เพราะออกซิเจนในเลือดไม่ใช่ตัวแปรที่ชัดเจนอย่างอุณหภูมิหรือการเต้นของหัวใจที่ตรวจสอบได้แบบตรงไปตรงมา (การเต้นของหัวใจวัดได้จากคลื่นไฟฟ้าหรือเสียงและการขยับ ส่วนอุณหภูมินั้นก็ตามสภาพเลยครับ) ทีนี้ทำไมเราถึงจำเป็นต้องวัดระดับออกซิเจนในเลือดด้วยล่ะ? สาเหตุหลักเลยคือระดับออกซิเจนช่วยในการเตือนหรือบอกปัญหาสุขภาพได้ครับ โรคหรืออาการเช่นภาวะเนื้อเยื่อพร่องออกซิเจน, อาการเหนื่อยล้า, หรือความผิดปกติในการพักผ่อนล้วนมีโอกาสที่ต้นเหตุจะมาจากการที่ออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์หรือเนื้อเยื่อในร่างกายได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ส่งผลต่อปัญหาสุขภาพได้ในระยะยาว การตรวจสอบระดับออกซิเจนจึงเปรียบเสมือนใบเบิกทางไปสู่การรักษาที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพได้นั่นเอง หลักการในการวัดเครื่องมือแพทย์ที่ใช้ระดับออกซิเจนในเลือดนั้นมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า Oximeter ครับ โดยส่วนใหญ่จะใช้คลื่นแสงในย่านต่าง ๆ ในการวัด (สำหรับการวัดด้วยเครื่องมือภายนอกนั้นไม่จำเป็นต้องเจาะเลือดนะ!) หลักการอยู่ที่ว่าร่างกายมนุษย์นั้นมีการขนส่งออกซิเจนสดใหม่จากปอดไปทั่วร่างกายโดยใช้เซลล์เม็ดเลือดแดงที่มีฮีโมโกลบินเป็นตัวจับออกซิเจนอีกทีนึง ดังนั้นแล้วเซลล์เม็ดเลือดแดงที่เราคุ้นเคยกันนี่แหละคือบุรุษไปรษณีย์ที่มีหน้าที่ในการส่งพัสดุ (ออกซิเจน) ไปให้เซลล์ร่างกายชนิดต่างๆ ใช้ในปฏิกิริยาสร้างพลังงาน เพื่อให้เรามีชีวิตรอดได้นั่นแหละครับ ทีนี้เป้าหมายของการวัดไม่ได้อยู่ที่ ‘บุรุษไปรษณีย์’ ซะทีเดียว เพราะเซลล์เม็ดเลือดแดงนั้นปะปนกันไปทั้งที่มีออกซิเจน และกลุ่มที่พึ่งจะส่งออกซิเจนไป แน่นอนว่าเม็ดเลือดแดงที่มีออกซิเจนย่อมไหลไปในเส้นเลือดแดงในขณะที่เส้นเลือดดำเต็มไปด้วยเม็ดเลือดแดงที่ไร้ซึ่งออกซิเจนซึ่งกำลังเดินทางกลับไปยังปอดของเราและเส้นเลือดทั้งสองชนิดก็ปนกันอยู่แล้ว เป้าหมายของการวัดจึงไปตกที่ฮีโมโกลบินซึ่งเป็นตัวจับออกซิเจนแทน ตัวเซนเซอร์ที่ใช้กันส่วนใหญ่คือการวัดประเภท Pulse oximetry โดยตัวเซนเซอร์จะปล่อยคลื่นแสงสองย่านความถี่ เช่น แสงอินฟราเรด และแสงสีแดงที่มีช่วงความถี่ทั้งสองต่างกันประมาณหนึ่งจากแหล่งกำเนิดแสงที่ฝั่งหนึ่งของเครื่องวัด เข้าไปในจุดที่เครื่องนั้นติดอยู่ เช่น นิ้วมือ แสงที่ถูกส่งเข้าไปทั้งสองความถี่จะกระทบกับโมเลกุลของฮีโมโกลบินในเซลล์เม็ดเลือดแดงครับ จุดสำคัญอยู่ที่ความสามารถในการดูดซับแสงของฮีโมโกลบินนั้น ‘ไม่เท่ากัน’ โดยฮีโมโกลบินที่มีออกซิเจนอยู่เพียบจะสามารถแสงอินฟราเรดได้ดีกว่า ส่วนฮีโมโกลบินที่ไร้ซึ่งออกซิเจนแล้วย่อมตรงกันข้ามกันครับคือดูดซับแสงสีแดงที่มีความถี่มากกว่าได้ดีนั่นเอง แสงที่หลุดรอดผ่านร่างกายออกมาได้จะตกกระทบกับเซนเซอร์รับแสงที่ฝั่งตรงข้าม ปริมาณแสงที่วัดได้จึงจะถูกนำไปคำนวณหาปริมาณของฮีโมโกลบินที่มีออกซิเจนอยู่ออกมาเป็นเปอร์เซ็น (ถ้าแสงอินฟราเรดหายไปมากก็แสดงว่ามีออกซิเจนสูง เพราะถูกฮีโมโกลบินชนิดที่ว่าดูดซับไปนั่นเองครับ ในกรณีของแสงสีแดงก็จะตรงกันข้ามเช่นเดิม) วิธีการที่แสงเดินทางจากจุดหนี่งไปยังเซนเซอร์อีกจุดหนึ่งเช่นนี้เป็นวิธีที่เรียกว่า Transmittance Pulse Oximetry (TPO) โดยวิธีการวัดด้วยเครื่องมือเฉพาะทางเช่นนี้มีข้อดีคือความสะดวกรวดเร็ว (และที่สำคัญคือไม่จำเป็นต้องเจาะเลือด) รวมถึงมีความแม่นยำพอสมควร ที่สำคัญคือการวัดรูปแบบนี้ถูกใช้เป็นปกติในวงการแพทย์ด้วยครับ แต่ในกระบวนการ Pulse oximetry ยังทีอีกหนึ่งวิธีที่ไม่ค่อยเป็นที่พูดถึงมากนัก นั่นก็คือวิธี Reflectance Pulse Oximetry (RPO) ที่เอามาแก้จุดอ่อนหลักจุดเดียวของกระบวนการ Transmittance Pulse Oximetry ซึ่งก็คือการที่วิธี TPO จำเป็นต้องทำการวัดในจุดที่แสงผ่านทะลุร่างกายได้ เช่น ปลายนิ้ว ทำให้เซนเซอร์และเครื่องวัดมีข้อจำกัดในการประยุกต์ใช้ รวมไปถึงไม่สามารถวัดต่อเนื่องแบบปกติได้ (Background measuring) ยกเว้นว่าผู้ใช้จะเป็นคนไข้นอนเตียง (ไม่งั้นก็ต้องหนีบเครื่องไว้ตลอดเวลา ซึ่งคงไม่มีใครอยากทำในการใช้ชีวิตประจำวันปกติหรอกครับ) กระบวนการ RTO ทำงานคล้ายกับ TPO โดยมีแหล่งกำเนิดแสงเช่นเดียวกัน แต่แทนที่เซนเซอร์จะไปรอรับแสงที่ด้านตรงข้าม ตัวระบบกลับมีเซนเซอร์อยู่ที่จุดเดียวกันกับแหล่งกำเนิดแสงเพื่อวัดแสงที่ “สะท้อน” กลับออกมาแทน นี่จึงเป็นเหตุผลให้ระบบ TPO สามารถทำการวัดได้หลาย ๆ จุดทั่วร่างกายและประยุกต์ใช้กับอุปกรณ์ได้หลากหลายมากขึ้น แต่ก็แลกมาด้วยความแม่นยำและประสิทธิภาพที่ดูน่าสงสัยพอสมควร เกณฑ์ในการวัดของทั้งสองระบบจะถูกเรียกว่า SpO2 (ไม่เหมือนกับ SaO2 ที่มีความละเอียดสูงจากการวิเคราะห์แก๊สในเลือด) โดยค่าที่ได้จะออกมาเป็นเปอร์เซ็น คนปกติจะมีระดับออกซิเจน 95 – 100% หากระดับออกซิเจนตกไปอยู่ที่ 80 – 95% แสดงว่ามีออกซิเจนในเลือดต่ำ หากเป็นเช่นนี้นาน ๆ ก็จะทำให้ร่างกายเริ่มแสดงอาการออกมาเช่น เมื่อยล้าหรือผิวหนังที่ซีดไปครับ ถ้าระดับออกซิเจนตกลงไปต่ำกว่า 80% ระบบอวัยวะต่าง ๆ จะเริ่มล้มเหลวและมีโอกาสหมดสติ หรือเสียชีวิตได้เลยทีเดียว เมื่อ Apple ก้าวเข้ามาในตลาดนับจากวันที่ Apple พลิกตลาด Smartwatch โดยการปล่อย Apple Watch รุ่นแรกออกมาในปีค.ศ. 2015 เวลาครึ่งทศวรรษก็ผ่านไปไวเหมือนโกหก ตอนนี้ตลาด Smartwatch ระเบิดขึ้นมาไม่ต่างจาก Smartphone และกลายเป็นอุปกรณ์ที่ผู้คนนิยมใช้กันทั่วไป ส่งผลให้มูลค่าตลาดยิ่งสูงขึ้นไปอีกนั่นเองครับ พอมีเงินเข้ามาเกี่ยว แน่นอนว่าบริษัทอื่น ๆ ย่อมพร้อมใจกันกระโจนเข้ามาแข่งขันกันด้วย ไม่ว่าจะเป็น Samsung, Garmin, Fitbit ที่เริ่มได้ส่วนแบ่งในตลาดมากขึ้นเรื่อย ๆ และแบรนด์อื่น ๆ อย่าง Fossil, TicWatch, Motorola, หรือ Huawei ที่เข้ามาแจมด้วยเหมือนกัน สงครามการห้ำหั่นราคาจึงเกิดขึ้นระหว่างแบรนด์เหล่านี้ ตามมาด้วยการต่อสู้ด้านเทคโนโลยีที่ดูเหมือน Apple จะพยายามอย่างสุดความสามารถในการพยายามอยู่ในแถวหน้าด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นระบบ SOS, EKG, Always on display และอีกหลากหลายฟีเจอร์ที่ถูกปล่อยออกมาในแต่ละซีรีส์ใหม่ ๆ เพื่อให้ตรงตามความต้องการของผู้บริโภค ฟีเจอร์ BOS (ฺBlood Oxygen Sensor) เองก็เป็นหนึ่งในฟีเจอร์ด้านเทคโนโลยีใหม่ที่ถูกเข็นออกมาพร้อม Apple Watch Series 6 ที่นับว่าเป็นรุ่นเรือธงรุ่นล่าสุด โดย Apple ได้โฆษณาเอาไว้เป็นอย่างดีว่าระบบ BOS นี้จะมาปฏิวัติวงการฟิตเนสและดูแลสุขภาพได้เลยครับ รวมถึงการใช้งานที่สะดวกสบายมาก สามารถทำการวัดเมื่อไรก็ได้หากสวม Apple Watch อยู่ รวมถึงทำ Background Monitoring ได้อีกด้วย ปัญหาและอนาคตของเทคโนโลยี BOS ที่ Apple ใช้แต่ประเด็นสำคัญคือระบบ BOS ของ Apple นั้นใช้หลักการ Reflectance Pulse Oximetry (RPO) ในการวัดเสียอย่างนั้น ซึ่งคุณผู้อ่านเองก็น่าจะสังเกตได้ว่าตัวระบบทุกอย่างนั้นอยู่ในเรือนนาฬิกา และไม่มีเซนเซอร์รับแสงที่สายคล้องฝั่งตรงข้ามเลย อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าจะมีเซนเซอร์ การสแกนผ่านข้อมือด้วยระบบ Transmittance Pulse Oximetry (TPO) ก็ไม่สามารถทำได้อยู่ดีครับ ดังนั้นแล้วปัญหาความไม่แม่นยำจึงเกิดขึ้นตามมาด้วยข้อจำกัดของกระบวนการ RPO หลาย ๆ ครั้งที่ค่าที่วัดได้ไม่ตรงตามความเป็นจริง หรือไม่ตรงกันเลยในระยะเวลาสั้นๆ ทำให้ผู้ใช้หลายคนที่ได้ผล False Positive แล้วไปพบแพทย์ก็มีให้เห็นอยู่เช่นกัน สิ่งที่เราควรกังวลคือข้อมูลที่ไม่แม่นยำเหล่านี้ทำให้หลาย ๆ คนไม่สามารถทราบได้ว่าจริง ๆ แล้วระดับออกซิเจนในเลือดของตนเองเป็นอย่างไรกันแน่จนกว่าจะได้รับการวัดด้วยวิธีที่ได้มาตรฐานจริง ๆ ผู้คนบางส่วนอาจจะไม่ไปพบแพทย์ทั้งที่มีอาการ ในขณะที่บางส่วนไปทั้งที่ไม่ได้เป็นอะไร นับว่าเป็นตัวอย่างคลาสสิกของผลกระทบจากข้อมูลที่คลาดเคลื่อนโดยแท้จริง อย่างไรก็ตามทาง Apple ไม่เคยออกมาประกาศว่า BOS ใน Apple Watch นั้นเป็นเครื่องมือแพทย์จริง ๆ รวมถึงกำชับด้วยว่าไม่ควรใช้ข้อมูลเพื่อการนี้ ทั้งนี้ Apple เองก็มีจุดยืนที่ชัดเจนในการเล็งไปที่การใช้งานแบบขำๆ อยู่แล้วครับ เช่น การออกกำลังกายและฟิตเนสทั้งหลาย แต่ก็แน่นอนอีกล่ะครับว่าไม่ใช่ทุกคนซักหน่อยที่จะรู้หรือเข้าใจหลักการทำงานของ Apple Watch จริง ๆ ปัญหาข้างต้นจึงยังเกิดขึ้นนั่นเอง ดังนั้นในฐานะผู้บริโภคเองต้องทำความเข้าใจเพิ่มด้วยว่าสิ่งนี้เป็นแค่ปัจจัยเสริมในการดูแลสุขภาพเท่านั้น อีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจคือวิธีการวัดระดับออกซิเจนของ Apple ถูกประมวลผลด้วยอัลกอริทึมเพื่อความแม่นยำก็จริงอยู่ แต่ไม่ได้รับการรับรองโดย FDA (Food and Drug Administration) หรือองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา เนื่องด้วย ‘ความแม่นยำ’ ที่ไม่คงที่และดูเหมือนจะไม่เพอร์เฟคเท่าที่ควรก็เป็นได้ครับ หากมีงานวิจัยออกมารองรับมากพอ Apple เองก็คงพร้อมที่จะยื่นให้เทคโนโลยีนี้ได้รับการตรวจสอบโดย FDA อีกครั้งหนึ่ง และเส้นทางสู่เครื่องมือดูแลสุขภาพที่ใคร ๆ ก็ใช้งานได้อย่างสะดวกและรวดเร็วก็จะขยับใกล้เข้ามาอีกแน่ ๆ ครับ (แบรนด์คู่แข่งอย่าง FitBit ได้ปล่อยฟีเจอร์นี้ออกมาเหมือนกัน ดูท่าตลาดจะร้อนตามรอย Apple แล้วล่ะครับงานนี้) บทส่งท้ายสรุปกันอีกครั้ง Blood Oxygen Sensor ใน Apple Watch Series 6 ใช้กระบวนการวัดประเภท Pulse Oximetry ด้วยวิธี Transmittance Pulse Oximetry (TPO) ส่งผลให้เกิดความคลาดเคลื่อนได้สูง – และไม่ควรใช้แทนอุปกรณ์ทางการแพทย์โดยเด็ดขาด (เพราะมันไม่ใช่ตั้งแต่แรกนั่นเอง) หากต้องการค่าออกซิเจนที่แนะนำ ควรไปรับการตรวจจากแพทย์โดยตรงหรือเครื่องมือวัดประเภท Transmittance Pulse Oximetry (TPO) ดีกว่าครับ ในยุคที่การแข่งขันด้านเทคโนโลยีเป็นไปอย่างดุเดือดเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเท่าไรนักที่เราจะต้องพบเจอกันความสามารถและฟีเจอร์ใหม่ ๆ ของนวัตกรรมที่ค่อย ๆ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของพวกเรา ดังนั้นแล้วการทำความเข้าใจสิ่งเหล่านี้ให้ถูกต้องในระยะแรกจึงเป็นเสมือนความรับผิดชอบที่ผู้บริโภคพึงกระทำด้วยเช่นกันครับ ไม่แน่ว่าในอนาคต BOS อาจจะแม่นยำมากขึ้นจนกลายเป็นอุปกรณ์ทั่วไปที่ใช้ได้ไม่ต่างจากเทอร์โมมิเตอร์ หรือถูกประยุกต์ใช้เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องแต่งกายพร้อมด้วยเซนเซอร์เพื่อสร้างชุดตรวจสุขภาพที่สวมใส่ได้! อนาคตของวงการแพทย์และเทคโนโลยีจะยังคงก้าวต่อไปเรื่อย ๆ ตราบใดที่มนุษย์เรายังคงมีชีวิตอยู่ครับ ดังนั้นจงใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ให้เป็น และเรียนรู้ในข้อดีและข้อเสียปัจจุบันของมันอยู่เสมอ อ้างอิง https://support.apple.com/en-us/HT211027 https://www.cnet.com/health/apple-watch-blood-oxygen-app-how-it-works/ https://www.washingtonpost.com/technology/2020/09/23/apple-watch-oximeter/ https://en.wikipedia.org/wiki/Oxygen_saturation_(medicine) https://en.wikipedia.org/wiki/Pulse_oximetry https://www.who.int/patientsafety/safesurgery/pulse_oximetry/who_ps_pulse_oxymetry_training_manual_en.pdf?ua=1#:~:text=A%20healthy%20individual%20with%20normal,a%20saturation%20of%20around%2075%25. https://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S2405959516301205 Tags: แอปเปิล, Apple Watch Series 6 |