ก่อนเสด็จปรินิพพาน

เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน

        พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จโปรดสัตว์และแสดงพระธรรมเทศนา ตลอดระยะเวลา 45 พรรษา ทรงสดับว่า อีก 3 เดือนข้างหน้าจะปรินิพพาน จึงได้ทรงปลงอายุสังขาร ขณะนั้นพระองค์ได้ประทับจำพรรษา ณ เวฬุคาม ใกล้เมืองเวลาสี แคว้นวัชชี โดยก่อนเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน 1 วัน พระองค์ได้เสวยสุกรมัททวะที่นายจุนทะทำถวาย แต่เกิดอาพาธลง ทำให้พระอานนท์โกรธ แต่พระองค์ตรัสว่า "บิณฑบาตที่มีอานิสงส์ที่สุด มี 2 ประการ คือ เมื่อตถาคต (พุทธองค์) เสวยบิณฑบาตแล้วตรัสรู้ และปรินิพพาน" และมีพระดำรัสว่า "โย โว อานนท ธมม จ วินโย มยา เทสิโต ปญญตโต โส โว มมจจเยน สตถา" อันแปลว่า "ดูก่อนอานนท์ ธรรมและวินัยอันที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่เธอทั้งหลาย ธรรมวินัยนั้น จักเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว"

        พระพุทธเจ้าทรงประชวรหนัก แต่ทรงอดกลั้นมุ่งหน้าไปยังเมืองกุสินารา ประทับ ณ ป่าสาละ เพื่อเสด็จดับขันธุ์ปรินิพพาน โดยก่อนที่จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานนั้น พระองค์ได้อุปสมบทแก่พระสุภัททะปริพาชก ซึ่งถือได้ว่า "พระสุภภัททะ" คือสาวกองค์สุดท้ายที่พระพุทธองค์ทรงบวชให้ ในท่ามกลางคณะสงฆ์ทั้งที่เป็นพระอรหันต์ และปุถุชนจากแคว้นต่างๆ รวมทั้งเทวดา ที่มารวมตัวกันในวันนี้

        ในครานั้นพระองค์ทรงมีปัจฉิมโอวาทว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราขอบอกเธอทั้งหลาย สังขารทั้งปวงมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา พวกเธอจึงทำประโยชน์ตนเอง และประโยชน์ของผู้อื่นให้สมบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด" (อปปมาเทน สมปาเทต) 

        จากนั้นได้เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ใต้ต้นสาละ ณ สาลวโนทยาน ของเหล่ามัลลกษัตริย์ เมืองกุสินารา แคว้นมัลละ ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 รวมพระชนม์ 80 พรรษา และวันนี้ถือเป็นการเริ่มต้นของพุทธศักราช

ที่มาของเนื้อหา : http://hilight.kapook.com/view/37629

พุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน

เรียบเรียงจากพระไตรปิฎก

โดย อาจารย์วศินอินทสระ

    คราเมื่อพระพุทธองค์ทรงปรงพระชนมายุสังขาร พระพุทธองค์เสด็จมาถึงปาลาลเจดีย์ประทับภายใต้ต้นไม้ซึ่งมีเงาครึ้มต้นหนึ่งทรงตรัสกับพระอานนท์ว่า

    อานนท์ เพราะอบรมอิทธิบาทสี่มาอย่างดีแล้วทำจนแจ่มแจ้งแล้วอย่างเรานี้ถ้าปรารถนาจะมีชีวิตอยู่ถึงหนึ่งกัปป์(คือหนึ่งร้อยยี่สิบปี) ก็สามารถจะมีชีวิตอยู่ได้พระโลกนาถตรัสดังนี้ถึงสามครั้งแต่พระอานนท์ก็คงเฉยมิได้ทูลอะไรเลยความวิตกกังวลและความเศร้าของท่านมีมากเกินไปจึงปิดบังดวงปัญญาเสียหมดสิ้นความจงรักภักดีอย่างเหลือล้นที่ท่านมีต่อพระศาสดานั้นบางทีก็ทำให้ท่านลืมเฉลียวใจถึงความประสงค์ของผู้ที่ท่านจงรักภักดีนั้นปล่อยโอกาสทองให้ล่วงไปอย่างน่าเสียดาย

    เมื่อเห็นพระอานนท์เฉยอยู่พระพุทธองค์จึงตรัสว่า

    อานนท์เธอไปพักผ่อนเสียบ้างเถิดเธอเหนื่อยมากแล้วแม้ตถาคตก็จะพักผ่อนเหมือนกันพระอานนท์จึงหลีกไปพักผ่อน ณ โคนต้นไม้อีกต้นหนึ่ง

    ณ บัดนั้น พระตถาคตเจ้าทรงลำพึงถึงอดีตกาลนานไกลซึ่งล่วงมาแล้วถึงสี่สิบห้าปีสมัยเมื่อพระองค์ตรัสรู้ใหม่ๆ ท้อพระทัยในการที่จะประกาศสัจธรรมเพราะเกรงว่าจะทรงเหนื่อยเปล่าแต่อาศัยพระมหากรุณาต่อสรรพสัตว์จึงตกลงพระทัยย่ำธรรมเภรีและครานั้นพระองค์ทรงตตั้งพระทัยไว้ว่าถ้าบริษัททั้งสี่ คือภิกษุภิกษุณีอุบาสกอุบาสิกายังไม่เป็นปึกแผ่นมั่นคงยังไม่สามารถย่ำยีปรูปวาทคือคำกล่าวจ้วงจาบล่วงเกินนจากพาหิรลัทธิที่จะพึงมีต่อพระพุทธธรรมคำสอนของพระองค์ยังไม่แพร่หลายเพียงพอ ตราบใด พระองค์ก็จะยังไม่นิพพานตราบนั้น

    ก็แลบัดนี้พระธรรมคำสอนของพระองค์แพร่หลายเพียงพอแล้ว ภิกษุภิกษุณีอุบาสกอุบาสิกา ฉลาดสามารถพอที่จะดำรงพรหมจรรย์ศาสโนวาทของพระองค์แล้วเป็นการสมควรที่พระองค์จะเข้าสู่มหาปรินิพพาน

    ทรงดำริดังนี้แล้วจึงทรงปรงอายุสังขารคือตั้งพระทัยแน่วแน่ว่า พระองค์จะปรินิพพานในวันวิสาขะปูรณมี คือวันเพ็ญเดือนหก

    อันว่าบุคคลผู้มีกำลังกลิ้งศิลามหึมาแท่งทึบจากหน้าผาลงสู่สระย่อมก่อความกระเพื่อมสั่นสะเทือนแก่น้ำในสระฉันใดการปลงพระชนมายุ สังขารอธิษฐานพระทัยว่าจะปรินิพพานของพระอนาวรณญาณก็ฉันนั้นก่อความวิปริตแปรปรวนแก่โลกธาตุทั้งสิ้นมหาปฐพีมีอาการสั่นสะเทือนเหมือนหนังสัตว์ที่เขาขึงไว้แล้วตีด้วยท่อนไม้ท่อนใหญ่ก็ปานกันรุกขสาขาหวั่นไหวไกวแกว่งด้วยแรงวายุโบกสะบัดใบอยู่พอสมควร แล้วนิ่งสงบมีอาการประหนึ่งว่าเศร้าโศกสลดในเหตุการณ์ครั้งนี้เหมือนกุมารีน้อยคร่ำครวญปริเวทนาถึงมารดาผู้จะจากไปจนสลบแน่นิ่ง ณ เบื้องบนท้องฟ้าสีครามกลายเป็นสีแดงเข้มดุจเสื่อลำแพนซึ่งไล้ด้วยเลือดสด ปักษาชาติร้องระงมสนั่นไพรเหมือนจะประกาศว่าพระผู้ทรงมหากรุณากำลังจะจากไปในไม่ช้านี้

    พระอานนท์สังเกตเห็นความวิปริตแปรปรวนของโลกธาตุดังนี้จึงเข้าเฝ้าพระจอมมุนีทูลถามว่า

    พระองค์ผู้เจริญโลกธาตุวิปริตแปรปรวนผิดปรกติไม่เคยมีไม่เคยเป็นได้เป็นแล้วเพราะเหตุอะไรหนอ

    พระทศพลเจ้าตรัสว่า

    อานนท์เอยอย่างนี้แหละคราใดที่ตถาคต ประสูติตรัสรู้ หมุนธรรมจักรปลงอายุสังขารและนิพพานครานั้นย่อมจะมีเหตุการณ์วิปริตอย่านี้เกิดขึ้น

    พระอานนท์ทราบว่า บัดนี้พระตถาคตเจ้าปลงพระชนมายุสังขารเสียแล้วความสะเทือนใจและความว้าเหว่ประดังขึ้นมาจนอัสสุชลธาราไหลหลั่งสุดห้ามหักเพราะความรักเหลือประมาณที่ท่านมีในพระเชฏฐภาดาท่านหมอบลงที่พระบาทมูลแล้วทูลว่า

    ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐขอพระองค์อาศัยความกรุณาในข้าพระองค์และหมู่สัตว์จงดำรงพระชนม์ชีพต่อไปอีกเถิดอย่าเพิ่งด่วนปรินิพพานเลยกราบทูลเท่านี้แล้วพระอานนท์ก็ไม่อาจทูลอะไรต่อไปอีก เพราะโศกาดูรท่วมท้นหทัย

    อานนท์เอยพระศาสดาตรัสพร้อมด้วยทอดทัศนการไปเบื้องพระพักตร์อย่างสุดไกลลีลาแห่งความเด็ดเดี่ยวฉายออกมาทางพระเนตรและพระพักตร์

    เป็นไปไม่ได้ที่จะให้ตถาคตกลับใจ ตถาคตจะต้องปรินิพพานในวันเพ็ญแห่งเดือนวิสาขะอีกสามเดือนข้างหน้านี้อานนท์ เราได้แสดงนิมิตโอภาสอย่างแจ่มแจ้งแก่เธอพอเป็นนัยมา ไม่น้อยกว่าสิบหกครั้งแล้วว่า คนอย่างเรานี้มีอิทธิบาทภาวนาที่ได้อบรมมาด้วยดี ถ้าประสงค์จะอยู่ถึงหนึ่งกัปป์ (คือหนึ่งร้อยยี่สิบปี)หรือมากกวานั้นก็พออยู่ได้แต่เธอหาเฉลียวใจไม่มิได้ทูลเราเลยเราตั้งใจว่าในคราวก่อนๆนั้น ถ้าเธอทูลให้เราอยู่ต่อไป เราจะห้ามเสียสองครั้งพอเธอทูลครั้งที่สามเราจะรับอาราธนาของเธอแต่บัดนี้ช้าเสียแล้วเรามิอาจกลับใจได้อีกพระศาสดาหยุดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตรัสต่อไปว่าอานนท์เธอยังจำได้ไหม ครั้งหนึ่งณ ภูเขาซึ่งมีลักษณะยอดเหมือนนกแร้งอันมีนามว่า คิชฌกูฏภายใต้ภูเขานี้มีถ้ำอันขจรนามชื่อ สุกรขาตาที่ถ้ำนี้เอง สาวกผู้เลื่องลือว่าเลิศทาง ปัญญาของเราคือสารีบุตรได้ถอนตัณหานุสัยโดยสิ้นเชิงเพียงเพราะฟังคำที่เราสนทนากับหลานชายของเธอผู้มีนามว่า ทีฆนขะเพราะไว้เล็บเสียยาว

    เมื่อสารีบุตรมาบวชในสำนักของเราแล้วทีฆนขะปริพาชกเที่ยวตามหาลุงของตนมาพบลุงของเขาคือสารีบุตร ถวายงานพัดเราอยู่ จึงพูดเปรยๆ เป็นเชิงกระทบกระเทียบว่า พระโคดมทุกสิ่งทุกอย่างข้าพเจ้าไม่พอใจหมด ซึ่งรวมความว่า เขาไม่พอใจตัวเราด้วย เพราะตถาคตก็รวมอยู่ในคำว่าทุกสิ่งทุกอย่าง เราได้ตอบเขาไปว่าถ้าอย่างนั้น เธอก็ควรไม่พอใจความคิดเห็นอันนั้นของเธอเสียด้วย

    อานนท์ เราได้แสดงธรรมอื่นอีกเป็นอเนกปริยาย สารีบุตรถวายงานพัดไปฟังไป จนจิตของเธอหลุดพ้นจากอาสวะทั้งปวง

    อานนท์เอยณ ภูเขาคิชฌกูฏดังกล่าวนี้ เราเคยพูดกับเธอว่าคนอย่างเรานี้ถ้าจะอยู่ต่อไปอีกหนึ่งกัปป์หรือเกินกว่านั้นก็พอได้แต่เธอหารู้ความหมายแห่งคำที่เราพูดไม่

    อานนท์ต่อมาที่โคตมนิโครธที่เหวสำหรับทิ้งโจรที่ถ้ำสัตตบรรณใกล้เวภารบรรพตที่กาฬศิลาข้างภูเขาอิสิคิลิ ซึ่งเลื่องลือมาแต่โบราณการว่าเป็นที่อยู่อาศัยของพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นอันมากเมื่อท่านเข้าไป ณ ที่นั้นแล้วไม่มีใครเห็นท่านออกมาอีกเลย จึงกล่าวขานกันว่าอิสิคิลิบรรพต(ภูเขากลืนกินฤษี)ที่เงื้อมเขาชื่อสัปปิโสณฑิกาใกล้ป่าสีตวันที่ตโปทาราม ที่เวรุวันสวนไผ่อันร่มรื่นของจอมเสนาแห่งแคว้นมคธที่สวนมะม่วงของหมอชีวกโกมารภัจจ์ที่มัททกุจฉิมิคทายวันทั้งสิบแห่งนี้มีรัฐเขตแขวงราชคฤห์

    ต่อมาเมื่อเราทิ้งราชคฤห์ไว้เบื้องหลังแล้วจาริกสู่เวสาลีนครอันรุ่งเรืองยิ่ง เราก็ให้นัยแก่เธออีกถึงหกแห่งคือที่อุเทนเจดีย์ สัตตัมพเจดีย์โคตมกเจดีย์พหุปุตตเจดีย์สารันทเจดีย์ และ ปาวาลเจดีย์เป็นแห่งสุดท้ายคือสถานที่ซึ่งเราอยู่ ณ บัดนี้แต่เธอก็หาเฉลียวใจไม่ ทั้งนี้เป็นความบกพร่องของเธอเองเธอจะคร่ำครวญเอาอะไรอีก

    อานนท์เอยบัดนี้สังขารอันเหมือนเกวียนชำรุดนี้เราได้สละแล้วเรื่องที่จะดึงกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่งนั้นมิใช่วิสัยของตถาคตอานนท์ เรามิได้ปรักปรำเธอเธอเบาใจเถิดเธอได้ทำหน้าที่ดีที่สุดแล้วบัดนี้เป็นการสมควรที่ตถาคตจะจากโลกนี้ไปแต่ยังเหลือเวลาอีกสามเดือนบัดนี้สังขารของตถาคตเป็นเสมือนเรือรั่วคอยแต่เวลาจะจมลงสู่ท้องธารเท่านั้น

    อานนท์เราเคยบอกเธอแล้วมิใช่หรือว่าบุคคลย่อมต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่พึงใจเป็นธรรมดาหลีกเลี่ยงไม่ได้อานนท์เอยชีวิตนี้มีความพลัดพรากเป็นที่สุดสิ่งทั้งหลายมีความแตกไป ดับไป สลายไปเป็นธรรมดา จะปรารถนามิให้เป็นอย่างที่มันควรจะเป็นนั้นเป็นฐานะที่ไม่พึงหวังได้ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไป เคลื่อนไปสู่จุดสลายตัวอยู่ทุกขณะ

    และแล้วพระจอมศาสดาก็เสด็จไปยังภัณฑุคาม และโภคนครตามลำดับในระหว่างนั้นทรงให้โอวาทภิกษุทั้งหลายด้วยพระธรรมเทศนา อันเป็นไปเพื่อโลกุตตราริยธรรมกล่าวคือศีลสมาธิปัญญาวิมุติ และวิมุติญาณทรรศนะเป็นต้นว่า

    ดูกรภิกษุทั้งหลายศีลเป็นพื้นฐานเป็นที่รองรับคุณอันยิ่งใหญ่ประหนึ่งแผ่นดินเป็นที่รองรับและตั้งลงแห่งสิ่งทั้งหลายทั้งที่มีชีพและหาชีพมิได้เป็นต้นว่าพฤกษาลดาวัลย์มหาสิงขรและสัตว์จตุบททวิบาทนานาชนิดบุคคลผู้มีศีลเป็นพื้น ใจย่อมอยู่สบาย มีความปลอดโปร่งเหมือนเรือนที่บุคคลปัดกวาด เช็ดถูเรียบร้อยปราศจากเรือดและฝุ่นเป็นที่รบกวน

    ดูกรภิกษุทั้งหลายศีลนี้เองเป็นพื้นฐานให้เกิดสมาธิคือความสงบ ใจ สมาธิที่มีศีลเป็นเบื้องต้นเป็นสมาธิที่มีผลมาก มีอานิสงส์มากบุคคลผู้มีสมาธิย่อมอยู่อย่างสงบเหมือนเรือนที่มีฝาผนังมีประตูหน้าต่างปิดเปิดได้เรียบร้อยมีหลังคาสำหรับป้องกันลมแดดและฝน ผู้อยู่ในเรือนเช่นนี้ฝนตกก็ไม่เปียกแดดออกก็ไม่ร้อนฉันใดบุคคลผู้มีจิตเป็นสมาธิดีก็ฉันนั้นย่อมสงบอยู่ได้ไม่กระวนกระวายเมื่อลมแดดและฝน กล่าวคือโลกธรรมแผดเผากระพือพัดซัดสาดเข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่าสมาธิอย่างนี้ย่อมก่อให้เกิดปัญญาในการฟาดฟันย่ำยีและเชือดเฉือนกิเลสอาสวะต่างๆ ให้เบาบางและหมดสิ้นไปเหมือนบุคคลผู้มีกำลังจับศาสตราอันคมกริบแล้วถางป่าให้โล่งเตียนก็ปานกัน

    ดูกรภิกษุทั้งหลายปัญญาซึ่งมีสมาธิเป็นรากฐานนั้นย่อมปรากฏดุจไฟดวงใหญ่กำจัดความมืดให้ปลาสนาการมีแสงสว่างรุ่งเรืองอำไพขับฝุ่นละอองคือกิเลสให้ปลิวหาย ปัญญาจึงเป็นประดุจประทีปแห่งดวงใจ

    อันว่าจิตนี้เป็นธรรมชาติที่ผ่องใสอยู่โดยปกติแต่เศร้าหมองไปเพราะคลุกเคล้าด้วยกิเลสนานาชนิดศีลสมาธิและปัญญาเป็นเครื่องฟอกจิตให้ขาวสะอาดดังเดิมจิตที่ฟอกด้วยศีล สมาธิและปัญญา ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งปวง

    ดูกรภิกษุทั้งหลายบุคคลผู้มีจิตหลุดพ้นแล้วจากอาสวะย่อมพบกับปีติปราโมทย์อันใหญ่หลวงรู้สึกตนว่าได้พบขุมทรัพย์มหึมาหาอะไรเปรียบมิได้อิ่มอาบซาบซ่านด้วยด้วยธรรมตนของตนเองนั่นแลเป็นผู้รู้ว่าบัดนี้กิเลสานุสัยต่างๆได้สิ้นไปแล้วภพใหม่ไม่มีอีกแล้วเหมือนบุคคลผู้ตัดแขนขาดย่อมรู้ด้วยตนเองว่าบัดนี้แขนของตนได้ขาดแล้ว

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาทางทั้งหลายมรรคมีองค์แปดประเสริฐที่สุดบรรดาบททั้งหลายบทสี่คืออริยสัจประเสริฐที่สุดบรรดาธรรมทั้งหลาย วิราคะคือการปราศจากความกำหนัดยินดีประเสริฐที่สุด บรรดาสัตว์สองเท้าพระตถาคตเจ้าผู้มีจักษุประเสริฐที่สุดมรรคมีองค์แปดนี่แลเป็นไปเพื่อทรรศนะอันบริสุทธิ์หาใช่ทางอื่นไม่ เธอทั้งหลายจงเดินไปตามทางมรรคมีองค์แปดนี้อันเป็นทางที่ทำมารให้หลง ติดตามมิได้เธอทั้งหลายจงตั้งใจปฏิบัติ เพื่อทำทุกข์ให้สิ้นไปความเพียรพยายามเธอทั้งหลายต้องทำเองตถาคตเป็นแต่เพียงผู้บอกทางเท่านั้นเมื่อปฏิบัติตนดังนี้พวกเธอจักพ้นจากมารและบ่วงแห่งมาร

    ดูกรภิกษุทั้งหลายความทุกข์ทั้งมวลมีมูลรากมาจากตัณหาอุปาทานความทะยานอยากดิ้นรนและความยึดมั่นถือมั่นเป็นเราเป็นของเรารวมถึงความเพลินใจในอารมณ์ต่างๆ สิ่งที่เข้าไปเกาะเกี่ยวยึดถือไว้โดยความเป็นตนเป็นของตนที่จะไม่ก่อทุกข์ก่อโทษให้นั้นเป็นไม่มีหาไม่ได้ในโลกนี้เมื่อใดบุคคลมาเห็นสักแต่ว่าได้เห็นฟังสักแต่ว่าได้ฟังรู้สักแต่ว่าได้รู้ เข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆเพียงสักว่าๆไม่หลงใหลพัวพันมัวเมา เมื่อนั้นจิตก็จะว่างจากความยึดถือต่างๆปลอดโปร่งแจ่มใสเบิกบานอยู่

    ดูกรภิกษุทั้งหลายเธอจงมองดูโลกนี้โดยความเป็นของว่างเปล่ามีสติอยู่ทุกเมื่อ ถอนอัตตานุทิฏฐิคือความยึดมั่นถือมั่นเรื่องตัวตนเสียด้วยประการฉะนี้เธอจะเบาสบายคลายทุกข์คลายกังวลไม่มีความสุขใดยิ่งไปกว่าการปล่อยวางและการสำรวมตนอยู่ในธรรม

    ดูกรภิกษุทั้งหลายไม่มีความสุขใดเสมอด้วยความสงบ ความสุขชนิดนี้สามารถหาได้ในตัวเรานี้เองตราบใดที่มนุษย์ยังวิ่งวุ่นแสวงหาความสุขจากที่อื่นเขาจะไม่พบความสุขที่แท้จริงเลยมนุษย์ได้สรรค์สร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นไว้เพื่อให้ตัวเองวิ่งตามแต่ก็ตามไม่เคยทัน การแสวงหาความสุขโดยปล่อยใจให้ไหลเลื่อนไปตามอารมณ์ที่ปรารถนานั้นเป็นการลงทุนที่มีผลไม่คุ้มเหนื่อยเหมือนบุคคลลงทุนวิดน้ำในบึงใหญ่เพื่อต้องการปลาเล็กๆ เพียงตัวเดียวมนุษย์ส่วนใหญ่มัววุ่นวายอยู่กับเรื่องกามเรื่องกินและเรื่องเกียรติจนลืมนึกถึงสิ่งหนึ่งซึ่งสามารถให้ความสุขแก่ตนได้ทุกเวลาสิ่งนั้นคือดวงจิตที่ผ่องแผ้วเรื่องกามเป็นเรื่องที่ต้องดิ้นรน เรื่องกินเป็นเรื่องที่ต้องแสวงหา และเรื่องเกียรติเป็นเรื่องที่ต้องแบกไว้เมื่อมีเกียรติมากขึ้นภาระที่ต้องแบกเกียรติเป็นเรื่องใหญ่ยิ่งของมนุษย์ผู้หลงตนว่าเจริญแล้วในหมู่ชนที่เพ่งมองแต่ความแต่เจริญทางด้านวัตถุนั้นจิตใจของเขาเร่าร้อนอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยประสพความสงบเย็นเลยเขายินดีที่จะมอบตัวให้จมอยู่ในคาวของโลกอย่างหลับหูหลับตาเขาพากันบ่นว่าหนักและเหน็ดเหนื่อยพร้อมๆกันนั้นเขาได้แบกก้อนหินวิ่งไปบนถนนแห่งชีวิตอย่างไม่รู้จักวาง

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนในโลกส่วนใหญ่เต็มไปด้วยความกลับกลอกและหลอกลวงหาความจริงไม่ค่อยได้แม้แต่ในการนับถือศาสนาด้วยอาการดังกล่าวนี้โลกจึงเป็นเสมือนระงมอยู่ด้วยพิษไข้อันเรื้อรังตลอดเวลาภายในอาคารมหึมาประดุจปราสาทแห่งกษัตริย์มีลมพัดเย็นสบาย แต่สถานที่เหล่านั้นมักบรรจุเต็มไปด้วยคนซึ่งมีจิตใจเร่าร้อนเป็นไฟอยู่เป็นอันมากภาวะอย่างนั้นจะมีความสุขสู้ผู้มีใจสงบอยู่โคนไม้ได้อย่างไร

    ดูกรภิกษุทั้งหลายการแสวงหาทางออกอย่างพวกเธอนี้เป็นเรื่องประเสริฐแท้ การแก่งแย่งกันเป็นใหญ่เป็นโตนั้นในที่สุดทุกคนก็รู้เองว่าเหมือนแย่งกันเข้าไปสู่กองไฟมีแต่ความรุ่มร้อนกระวนกระวายเสนาบดีดื่มน้ำด้วยภาชนะทองคำกับคนจนๆ ดื่มน้ำด้วยภาชนะที่ ทำ ด้วย กะลามะพร้าว เมื่อมีความพอใจ ย่อมมีความสุขเท่ากันนี่เป็นข้อยืนยันว่า ความสุขนั้นอยู่ที่ความรู้สึกทางใจเป็นสำคัญอย่างพวกเธออยู่ที่นี่มีแต่ความพอใจแม้กระท่อมจะมุงด้วยใบไม้ก็มีความสุขกว่าอยู่ในพระราชฐานอันโอ่อ่าแน่นอนทีเดียวคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตนั้นมิใช่คนใหญ่คนโต แต่เป็นคนที่รู้สึกว่าชีวิตของตนมีความสุขสงบเยือกเย็นปราศจากความเร่าร้อนกระวนกระวาย

    ดูกรภิกษุทั้งหลายลาภและยศนั้นเป็นเหยื่อของโลกที่น้อยคนนักจะสละและวางได้จึงแย่งลาภแย่งยศกันอยู่เสมอ เหมือนปลาที่แย่งเหยื่อกันกินแต่หารู้ไม่ว่าเหยื่อนั้นมีเบ็ดเกี่ยวอยู่ด้วยหรือเหมือนไก่ที่แย่งไส้เดือนกัน จิกตีกันทำลายกันจนพินาศกันไปทั้งสองฝ่ายน่าสังเวชสลดจิตยิ่งนักถ้ามนุษย์ในโลกนี้ลดความโลภหลงมีการเผื่อแผ่เจือจานโอบอ้อมอารี ถ้าเขาลดโทสะลงมีความเห็นอกเห็นใจกันมีเมตตากรุณาต่อกันและลดโมหะลงไม่หลงงมงายใช้เหตุผลในการตัดสินปัญหาและดำเนินชีวิตโลกนี้จะน่าอยู่อีกมาก แต่ช่างเขาเถิดหน้าที่โดยตรงและเร่งด่วนของเธอคือลดความโลภความโกรธและความหลงของเธอเองให้น้อยลงแล้วจะประสบความสุขความเยือกเย็นเหมือนคนลดไข้ได้มากเท่าใดความสบายกายก็มีมากขึ้นเท่านั้น

    ดูกรภิกษุทั้งหลายทำไมมนุษย์จึงยอมตัวอยู่ภายใต้การจองจำของสังคมซึ่งมีแต่ความหลอกหลอนสับปรับและแปรผันทำไมมนุษย์จึงยอมตัวเป็นทาษของสังคมจนแทบจะกระดิกกระเดี้ยตัวมิได้จะทำอะไรจะคิดอะไรก็ต้องคำนึงถึงความรู้สึกของสังคมไปเสียหมดสังคมจึงกลายเป็นเครื่องจองจำชีวิต ที่มนุษย์ซึ่งสำคัญตัวว่าเจริญแล้วช่วยกันสร้างขึ้นเพื่อผูกมัดตัวเองให้อึดอัดรำคาญมนุษย์ยิ่งเจริญขึ้นก็ดูเหมือนจะมีเสรีภาพน้อยลงทั้งทางกายและใจดูๆแล้วความสะดวกสบายและเสรีภาพของมนุษย์จะสู้สัตว์เดรฉานบางประเภทไม่ได้ที่มันมีเสรีภาพที่จะทำอะไรตามใจชอบอยู่เสมอ ดูอย่างเช่นฝูงวิหคนกกามนุษย์เราเจริญกว่าสัตว์ตามที่มนุษย์เราเองชอบพูดกันแต่ดูเหมือนพวกเราจะมีความสุขน้อยกว่าสัตว์ภาระใหญ่ที่ต้องแบกไว้คือเรื่องกามเรื่องกินและเรื่องเกียรติมันเป็นภาระหนักยิ่งของมนุษยชาติ สัตว์เดรฉานตัดไปได้อย่างหนึ่งคือ เรื่องเกียรติคงเหลือแต่เรื่องกามและเรื่องกินนักพรตอย่างพวกเธอนี้ตัดไปได้

    อีกอย่างคือเรื่องกามแต่การกินอย่างนักพรตกับการกินของผู้บริโภคกามก็ดูเหมือนจะบริโภคแตกต่างกันอยู่ ผู้บริโภคกามและยังหนาแน่นอยู่ด้วยโลกีย์วิสัยบริโภคเพื่อยุกามให้กำเริบจะต้องกินอย่างมีเกียรติกินให้สมเกียรติมิใช่กินเพียงเพื่อให้ร่างกายนี้ดำรงอยู่ได้อย่างสมณะความจริงร่างกายคนเรามมิได้ต้องการอาหารอะไรมากนักเมื่อหิวร่างกายก็ต้องการอาหารเพียงเพื่อบำบัดความหิวเท่านั้น แต่เมื่อมีเกียรติเขามาบวกด้วยจึงกลายเป็นเรื่องกินอย่างเกียรติยศและก็มีภาระตามมาอย่างหนักหน่วงคนจำนวนมากเบื่อเรื่องนี้แต่จำต้องทำเหมือนโคหรือควายซึ่งเหนื่อยหน่ายต่อแอกและไถแต่จำใจต้องลากมันไปอนิจา

    "ดูกรภิกษุทั้งหลายการครองเรือนเป็นเรื่องยากเรือนที่ครองไม่ดีย่อมก่อทุกข์ให้มากหลายการอยู่รวมกับคนพาลเป็นความทุกข์อย่างยิ่ง"

    "ภิกษุทั้งหลายเครื่องจองจำที่ทำด้วยเชือกเหล็กหรือโซ่ตรวนใดๆเราไม่กล่าวว่าเป็นเครื่องจองจำที่แข็งแรงทนทานเลยแต่เครื่องจองจำคือบุตรภรรยา ทรัพย์สมบัตินี่แลตรึงรัดมัดผูกสัตว์ทั้งหลายให้ติดอยู่ในภพอันไม่มีที่สิ้นสุดเครื่องผูกที่ผูกหย่อนๆแต่แก้ได้ยากคือ บุตรภรรยาและทรัพย์สมบัตินี่เอง รูป เสียง กลิ่น รสและโผฏฐัพพะนั้นเป็นเหยื่อของโลก เมื่อบุคคลยังติดอยู่ในรูปเป็นต้นนั้นเขาจะพ้นจากโลกมิได้เลยไม่มีรูปใดที่จะรัดตรึงใจของบุรุษได้มากเท่ารูปแห่งสตรี

    ดูกรภิกษุทั้งหลายผู้ยังตัดอาลัยในสตรีไม่ได้ย่อมจะต้องเวียนเกิด เวียนตายอยู่ร่ำไปแม้แต่สตรีก็เช่นกันถ้ายังตัดอาลัยในบุรุษไม่ได้ย่อมประสบทุกข์บ่อยๆกิเลสนั้นมีอำนาจควบคุมอยู่โดยทั่วไม่ว่าอยู่ในวัยใดและเพศใด

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ผู้หลงใหลอยู่ในโลกียารมณ์ผู้เพลินอยู่ในความบันเทิงสุขอันเนื่องมาจากความมึนเมาในทรัพย์สมบัติชาติตระกูลความหรูหราฟุ่มเฟือยยศศักดิ์และเกียรติอันจอมปลอมในสังคมที่อยู่อาศัยอันสวยงามอาหารและเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ต้องใส่ อำนาจและความทะนงตนทั้งหมดนี้ทำให้บุคคลมีนัยน์ตาฝ้าฟางมองไม่เห็นความงามแห่งพระสัทธรรมความเมาในอำนาจเป็นแรงผลักดันที่มีพลังมากพอให้คนทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้มีอำนาจยิ่งขึ้นและยิ่งขึ้นพร้อมๆกันนั้นมันทำให้เขาลืมทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่แยแสต่อเสียงเรียกร้องของศีลธรรมหรือมโนธรรมใดๆมันค่อยๆระบายจิตใจของเขาให้ดำมืดไปทีละน้อยๆจนเป็นสีหมึกไม่อาจมองเห็นอะไรๆ ได้อีกเลยหัวใจที่เร่าร้อนอยู่แล้วของเขาถูกเร่งเร้าให้เร่าร้อนมากขึ้นด้วยความทะยานอยากอันไม่มีขอบเขต ไม่ทราบว่าจะไปสิ้นสุดลงที่ตรงไหนวัตถุอันวิจิตรตระการตานั้นช่วยเป็นเชื้อให้ความทะยานอยากโหมแรงกลายเป็นว่ายิ่งมีมากยิ่งอยากใหญ่แม้จะมีเสียงเตือนและเรียกร้องอยู่ตลอดเวลาว่าศีลธรรมเป็นเครื่องค้ำจุนสังคมและคุ้มครองงโลกแต่บุคคลผู้รับรู้และพยายามประคับประคองศีลธรรมมีน้อยเกินไปสังคมมนุษย์จึงวุ่นวาย และกรอบเกรียมอย่างน่าวิตก

    ดูกรภิกษุทั้งหลายกลิ่นดอกไม้จัทน์ไม่สามารถหอมทวนลมได้แต่กลิ่นแห่งเกียรติคุณความดีงามของสัตบุรุษนั้นแลสามารถจะหอมไปได้ทั้งตามลมและทวนลมคนดีย่อมมีเกียรติคุณฟุ้งขจรไปได้ทั่วทิศกลิ่นจันทน์แดง กลิ่นอุบลกลิ่นดอกมะลิจัดว่าเป็นดอกไม้กลิ่นหอมแต่ยังสู้กลิ่นศีลไม่ได้กลิ่นศีลยอดเยี่ยมกว่ากลิ่นทั้งมวลภิกษุทั้งหลายถ้าภิกษุหวังจะให้เป็นที่รักที่เคารพนับถือ เป็นที่ยกย่องของเพื่อนพรหมจารีแล้วพึงเป็นผู้ทำตนให้สมบูรณ์ด้วยศีลเถิด

    ดูกรภิกษุทั้งหลายผู้ตื่นอยู่มิได้หลับเลยย่อมรู้สึกว่าราตรีหนึ่งยาวนานผู้เดินทางไปจนเมื่อยล้าแล้ว ย่อมรู้สึกว่าโยชน์หนึ่งเป็นหนทางที่ยืดยาวแต่สังสารวัฏฏ์คือการเวียนเกิดเวียนตายของสัตว์ผู้ไม่รู้พระสัทธรรมยังยาวนานกว่านั้น

    ดูกรภิกษุทั้งหลายสังสารวัฏฏ์นี้หาเบื้องต้นเบื้องปลายได้โดยยาก สัตว์ที่พอใจในการเกิดย่อมเกิดบ่อยๆและการเกิดใดนั้น ตถาคตกล่าวว่าเป็นความทุกข์ เพราะสิ่งที่ติดตามความเกิดมาก็คือความแก่ชราความเจ็บปวดทรมานและความตายความต้องพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักความต้องประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รัก ความแห้งใจ ความคร่ำครวญความทุกข์กายทุกข์ใจและความคับแค้นใจอุปมาเหมือนเห็ดซึ่งโผล่ขึ้นจากดินและนำดินติดขึ้นมาด้วยหรืออุปมาเหมือนโคซึ่งเทียมเกวียนแล้วจะเดินไปไหนก็มีเกวียนติดตามไปทุกหนทุกแห่ง สัตว์โลกเมื่อเกิดมาก็นำทุกข์ประจำสังขารติดมาด้วยตราบใดที่เขายังไม่สลัดความพอใจในสังขารออกความทุกข์ก็ย่อมติดตามไปเสมอเหมือนโคที่ยังมีแอกเกวียนครอบคออยู่ล้อเกวียนย่อมติดตามไปทุกฝีก้าว

    ดูกรภิกษุทั้งหลายเมื่อรากยังมั่นคง แม้ต้นไม้จะถูกตัดแล้วมันก็สามารถขึ้นได้อีกฉันเดียวกันเมื่อบุคคลยังไม่ถอนตัณหานุสัยขึ้นเสียจากดวงจิตความทุกข์ก็เกิดขึ้นอีกแน่ๆภิกษุทั้งหลายน้ำตาของสัตว์ที่ ต้องร้องไห้เพราะความทุกข์โทมนัสทับถมในขณะที่ท่องเทียวอยู่ในวัฏฏ์สงสารนี้มีจำนวนมากเหลือคณาสุดที่จะกล่าวได้ว่ามีประมาณเท่านั้น เท่านี้กระดูกที่เขาทอดทิ้งลงทับถมปฐพีเล่าถ้านำมารวมกันไม่ให้กระจักกระจายคงจะสูงเท่าภูเขา บนพื้นแผ่นดินนี้ไม่มีช่องว่างเลยแม้แต่นิดเดียวที่สัตว์ไม่เคยตายปฐพีนี้เกลื่อนกล่นไปด้วยสัตว์ที่ตายแล้วตายเล่าเป็นที่น่าสังเวชสลดจิตยิ่งนักทุกย่างก้าวของมนุษย์และสัตว์เหยียบย่ำบนกองกระดูก นอนอยู่บนกองกระดูกสนุกสนานเพลิดเพลินอยู่บนกองกระดูกทั้งสิ้น

    ดูกรภิกษุทั้งหลายไม่ว่าภพไหนๆล้วนแต่มีลักษณะเหมือนกองเพลิงทั้งสิ้นสัตว์ทั้งหลายดิ้นรนอยู่ในกองเพลิงคือทุกข์เหมือนเต่าอันเขาโยนไปแล้วในกองไฟใหญ่ฉะนั้น

    ดูกรภิกษุทั้งหลายทางสองสายคือกามสุขัลลิกานุโยคการหมกมุ่นอยู่ด้วยกามสุขสายหนึ่งและอัตตกิลมถานุโยคการทรมารกายให้ลำบากเปล่าสายหนึ่งอันผู้หวังความเจริญในธรรมพึงละเว้นเสียควรเดินตามสายกลาง คือเดินตามสายกลางคือเดินตามอริยมรรคมีองค์แปดคือความเห็นชอบความดำริชอบการพูดชอบการทำชอบ การประกอบอาชีพในทางทางสุจริตความพยายามในทางที่ชอบการตั้งสติชอบและการทำสมาธิชอบ

    ดูกรภิกษุทั้งหลายความทุกข์เป็นความทุกข์เป็นความจริงทุกประการหนึ่งที่ชีวิตทุกชีวิตจะต้องประสบไม่มากก็น้อย ความทุกข์ที่กล่าวนี้มีอะไรบ้างภิกษุทั้งหลายความเกิดเป็นทุกข์ความแก่ความเจ็บความตายก็เป็นความทุกข์ ความแห้งใจหรือความโศกความพิไรรำพันจนน้ำตานองหน้า ความทุกข์กายความทุกข์ใจความคับแค้นใจความพลัดพรากจากบบุคคลหรือสิ่งของอันเป็นที่รักความต้องประสบกับบุคคลหรือสิ่งของอันไม่เป็นที่พอใจปรารถนาอะไรมิได้ดังใจหมายทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความทุกข์ ที่บุคคลต้องประสบทั้งสิ้นเมื่อกล่าวโดยสรุปการยึดมั่นในขันธ์ห้าด้วยตัณหาอุปาทานนั่นเองเป็นความทุกข์อันใหญ่ยิ่ง

    ดูกรภิกษุทั้งหลายเราตถาคตกล่าวว่าความทุกข์ทั้งมวล ย่อมสืบเนื่องมาจากเหตุก็อะไรเล่าเป็นเหตุเกิดแห่งทุกข์นั้นเรากล่าวว่าตัณหาเป็นเหตุเกิดแห่งทุกข์ตัณหาคือความทะยานอยากดิ้นรนซึ่งมีลักษณะเป็นสามคือดิ้นรนอยากได้อารมณ์ที่น่าใคร่น่าปราถนาเรียกกามตัณหาอย่างหนึ่ง ดิ้นรนอยากเป็นนั่นเป็นนี่เรียกภวตัณหาอย่างหนึ่งดิ้นรนอยากผลักสิ่งที่มีอยู่แล้ว เป็นแล้ว เรียกวิภวตัณหาอย่างหนึ่งนี่แลคือสาเหตุแห่งความทุกข์ขั้นมูลฐานภิกษุทั้งหลายการสลัดทิ้งโดยไม่เหลือซึ่งตัณหาประเภทต่างๆดับตัณหา คลายตัณหาโดยสิ้นเชิงนั่นแลเราเรียกว่านิโรธคือความดับทุกข์ได้

    ดูกรภิกษุทั้งหลายปัญหาที่เผชิญอยู่เบื้องหน้าของทุกๆคนคือ ปัญหาเรื่องทุกข์และความดับทุกข์มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายถูกความทุกข์เสียบอยู่ทั้งทางกายและใจอุปมาเหมือนผู้ถูกยิงด้วยศรซึ่งกำซาบด้วยยาพิษแล้วญาติมิตรเห็นเข้าเกิดความกรุณา จึงพยายามช่วยถอนลูกศรนั้นแต่บุรุษผู้โง่เขลาบอกว่าต้องไปสืบให้ได้เสียก่อนว่าใครเป็นคนยิงและยิงมาจากทิศไหนลูกศรทำด้วยอะไรแล้วจึงค่อยมาถอนลูกศรออกภิกษุทั้งหลายบุรุษนั้นต้องตายเสียก่อนเป็นแน่แท้ ความจริงเมื่อถูกยิงแล้วหน้าที่ของเขาคือควรพยายามถอนลูกศรออกเสียทันทีชำระแผลให้สะอาดแล้วใส่ยารักษาแผลให้หายสนิทหรืออีกอุปมาหนึ่งบุคคลที่ไฟไหม้อยู่บนศีษะควรรีบดับเสียโดยพลันไม่ควรเที่ยววิ่งหาคนผู้เอาไฟมาเผาศรีษะตนทั้งๆที่ไฟลุกไหม้อยู่

    ดูกรภิกษุทั้งหลายสังสารวัฏฏ์นี้เต็มไปด้วยเพลิงทุกข์นานาประการโหมให้ร้อนอยู่โดยทั่วสัตว์ทั้งหลายยังวิ่งอยู่ในกองทุกข์แห่งสังสารวัฏฏ์ใครเล่าจะเป็นผู้ดับถ้าทุกคนไม่ช่วยกันดับทุกข์แห่งตน อุปมาเหมือนบุรุษสตรีผู้รวมกันอยู่ในบริเวณกว้างแห่งหนึ่งและต่างคนต่างถือดุ้นไฟลุกโพลงอยู่ทั่วแล้วต่างคนต่างก็วิ่งวนกันอยู่ในบริเวณนั้นและร้องกันว่าร้อนร้อนภิกษุทั้งหลายคราวนั้นมีบุรุษผู้หนึ่งเป็นผู้ฉลาดร้องบอกให้ทุกๆ คนทิ้งดุ้นไฟในมือของตนเสียผู้ที่ยอมเชื่อทิ้งดุ้นไฟก็ได้ประสบความเย็นส่วนผู้ไม่เชื่อก็ยังคงวิ่งถือดุ้นไฟพร้อมร้องตะโกนว่าร้อนร้อนอยู่นั่นเองภิกษุทั้งหลาย เราตถาคตได้ทิ้งดุ้นไฟแล้วและร้องบอกให้เธอทั้งหลายทิ้งเสียด้วยดุ้นไฟที่กล่าวถึงนี้คือกิเลสทั้งมวลอันเป็นสิ่งที่เผาลนสัตว์ให้เร่าร้อนกระวนกระวาย

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย อายนะภายในหกคือตาหูจมูกลิ้นกายและใจอายตนะภายนอกหกคือรูปเสียง กลิ่นรสโผฏฐพพะและธัมมารมณ์เป็นของร้อนร้อนเพราะไฟคือราคะบ้างโทษะบ้างโมหะบ้าง ภิกษุทั้งหลายเราตถาคตไม่พิจรนาเห็นรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะใดๆ ที่จะครอบงำรัดตรึงใจของบุรุษได้มากเท่ารูปเสียงกลิ่นรสและโผฏฐัพพะแห่งสรีภิกษุทั้งหลายเราไม่พิจรณาเห็นรูปเสียง กลิ่นรสโผฏฐัพพะใดๆที่สามารถครอบงำรัดตรึงใจของสตรีได้มากเท่ารูปเสียงกลิ่นรสและโผฏฐัพพะแห่งบุรุษ

    ดูกรภิกษุทั้งหลายกามคุณนี้เรากล่าวว่าเป็นเหยื่อแห่งมารเป็นพวงดอกไม้แห่งมารเป็นกำลังพลแห่งมารภิกษุผู้ปรารถนาพึงสลัดเหยื่อมาร ขยี้พวงดอกไม้แห่งมารและทำลายพลกำลังแห่งมารเสียภิกษุทั้งหลายเราเคยเยาะเย้ยกามคุณโพธิมมณฑลในวันที่เราตรัสรู้นั้นเองว่าดูก่อนกาม เราได้เห็นต้นเค้าของเจ้าแล้วเจ้าเกิดความดำริคำนึงถึงนั่นเองเราจักไม่ดำริถึงเจ้าอีกด้วยประการฉนี้กามเอยเจ้าจะเกิดขึ้นอีกไม่ได้

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตนี้เป็นสิ่งที่ดิ้นรนกวัดแกว่งรักษายากห้ามได้ยากผู้มีปัญญาพึงพยายามทำจิตนี้ให้หายดิ้นรนให้เป็นจิตตรงเหมือนช่างศรดัดลูกศรให้ตรงฉนั้นภิกษุทั้งหลาย จิตนี้คอยแต่จะกลิ้งเกลือกลงไปคลุกเคล้ากับกามคุณเหมือนปลาซึ่งเกิดในน้ำถูกนายพรานเบ็ดยกขึ้น จากน้ำ แล้วคอยแต่จะดิ้นรนไปในน้ำอยู่เสมอผู้มีปัญญาพึงพยายามยกจิตขึ้นจากการอาลัยในกามคุณให้ละบ่วงมารเสีย

    ภิกษุทั้งหลายธรรมชาติของจิตเป็นสิ่งดิ้นรนกลับกลอกง่ายบางคราวปรากฏเหมือนช้างตกมันภิกษุทั้งหลายพวกเธอจงเอาสติเป็นขอสำหรับเหนี่ยวรั้งช้างคือจิตที่ดิ้นรนให้อยู่ในอำนาจบุคลผู้มีอำนาจมากที่สุดและควรแก่การสรรเสริญนั้น คือผู้ที่สามารถเอาคนของตนเองไว้ในอำนาจได้สามารถชนะตนเองได้ผู้ชนะตนเองได้ชื่อว่าเป็นยอดนักรบในสงครามเธอทั้งหลายจงเป็นยอดนักรบในสงครามเถิดอย่าเป็นผู้แพ้เลย

    ดูกรภิกษุทั้งหลายจิตที่ไม่หวั่นไหวด้วยโลกธรรมคือนินทาสรรเสริญนั้นเป็นจิตใจที่ประเสริฐยิ่งภิกษุทั้งหลายในหมู่มนุษย์นี้ผู้ใดฝึกฝนตนให้เป็นคนอดทนต่อคำล่วงเกินของผู้อื่นได้จัดว่าเป็นผู้ประเสริฐสุดม้าอัสดรม้าสินธพพยาช้างตระกูลมหานาคที่ได้รับการฝึกดีแล้วจัดเป็นสัตว์ที่ประเสริฐแต่บุคคลที่ฝึกตนดีแล้วยังประเสริฐกว่าสัตว์เหล่านั้น

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ผู้อดทนต่อคำล่วงเกินของผู้สูงกว่าก็เพราะความกลัวอดทนต่อคำล่วงเกินของผู้เสมอกันเพราะเห็นว่าพอสู้กันได้แต่ผู้ใดอดทนต่อคำล่วงเกินของผู้ซึ่งด้อยกว่าตนได้เราเรียกความอดทนนั้นว่าสูงสุดผู้มีความอดทนมีเมตตาย่อมเป็นผู้มีลาภมียศอยู่เป็นสุข เป็นที่รักของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายเปิดประตูแห่งความสุขความสงบได้โดยง่ายสามารถปิดมูลเหตุแห่งการทะเลาะวิวาทเสียได้คุณธรรมทั้งมวลมีศีลและสมาธิเป็นต้นย่อมเจริญงอกงามแก่ผู้มีความอดทนทั้งสิ้นภิกษุทั้งหลาย เมตตากรุณาเป็นพรอันประเสริฐในตัวมนุษย์

    ดูกรภิกษุทั้งหลายคฤหัสผู้ยังบริโภคกามเกียจคร้านหนึ่งพระราชาทรงประกอบกรณียกิจ โดยไม่พิจารณาโดยรอบคอบถี่ถ้วนเสียก่อนหนึ่งบรรพชิตไม่สำรวมหนึ่ง ผู้อ้างตนว่าเป็นบัณฑิตแต่มักโกรธหนึ่งสี่จำพวกนี้ไม่ดีเลยภิกษุทั้งหลายกรรมอันใดที่ทำไปแล้วต้องเดือดร้อนใจภายหลังต้องมีหน้าชุ่มด้วยน้ำตาเสวยผลแห่งกรรมนั้นตถาคตกล่าวว่ากรรมนั้นไม่ดีควรเว้นเสีย

    ดูกรภิกษุทั้งหลายเมื่อเราอยู่ในวัยหนุ่มมีเกศายังดำสนิทถูกแวดล้อมด้วยสตรีล้วนแต่สคราญตาเป็นที่น่าปรารถนาของบุรุษเพศผู้ยังตัดอาลัยในบ่วงกามมิได้แต่เราเบื่อหน่ายในโลกียวิสัย จึงสละสมบัติบรมจักรและนางผู้จำเริญตาออกแสวงหาโมกขธรรมแต่เดียวดายเที่ยวไปอย่างไม่มีอาลัยปลอดโปร่งเหมือนบุคคลที่เป็นหนี้แล้วพ้นจากหนี้ เคยถูกคุมขังแล้วพ้นจากที่คุมขังเคยเป็นโรคแล้วหายจากโรคหลังจากท่องเที่ยวอยู่เดียวดายและทำความเพียรอย่างเข้มงวดไม่มีใครจะทำได้ยิ่งกว่า อยู่หกปีเราก็ได้ประสบชัยชนะอย่างใหญ่หลวงในชีวิต ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาโพธิญาณสงบเยือกเย็นถึงที่สุดล่วงพ้นบ่วงมารทั้งปวงทั้งที่เป็นทิพย์และเป็นของมนุษย์มารและธิดามารคือนางตัณหานางราคะ และนางอรดีได้พยายามยั่วยวนเราด้วยวิธีต่างๆเพื่อให้เราตกอยู่ในอำนาจ แต่เราก็หาสนใจไยดีไม่ในที่สุดพวกนางก็ถอยหนีไปเองเราชนะมารอย่างเด็ดขาดจนมีนามก้องโลกว่า ผู้พิชิตมาร

    ดูกรภิกษุทั้งหลายชีวิตนี้เริ่มต้นด้วยเรื่องที่น่าละอาย ทรงตัวอยู่ด้วยเรื่องที่ยุ่งยากสับสนและจบลงด้วยเรื่องเศร้าอนึ่งชีวิตนี้เริ่มต้นและจบลงด้วยเสียงคร่ำครวญเมื่อลืมตาดูโลกเป็นครั้งแรกเราก็ร้องไห้และเมื่อเรา หลับตาลาโลกเราก็ร้องไห้อีก หรืออย่างน้อยก็เป็นสาเหตุให้คนอื่นหลั่งน้ำตาเด็กร้องไห้พร้อมด้วยกำมือแน่นเป็นสัญญลักษณ์ว่าเขาเกิดมา เพื่อจะหน่วงเหนี่ยวยึดถือแต่เมื่อจะหลับตาลาโลกนั้นทุกคนแบมือออกเหมือนจะเตือนให้ผู้อยู่เบื้องหลังสำนึกและเป็นพยานว่าเขามิได้เอาอะไรไปด้วยเลย

    ดูกรภิกษุทั้งหลายความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากการพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักที่พอใจนั้นเป็นเรื่องทรมานยิ่งและเรื่องที่จะบังคับมิให้พลัดพลากก็เป็นสิ่งสุดวิสัย ทุกคนจะต้องพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักที่พอใจไม่วันใดก็วันหนึ่ง

    ดูกรภิกษุทั้งหลายความรักเป็นความร้ายความรักเป็นสิ่งทารุณและเป็นเครื่องทำลายความสุขของปวงชน ทุกคนต้องการความสมหวังในชีวิตรักแต่ความรักไม่เคยให้ความสมหวังแก่ใครถึงครึ่งหนึ่งแห่งความต้องการยิ่งความรักที่ฉาบทาด้วยความเสน่หาด้วยแล้วก็เป็นพิษแก่จิตใจทำให้ทุรนทุรายดิ้นรนไม่รู้จักจบสิ้นความสุขที่เกิดจากความรักนั้นเหมือนความสบายของคนป่วยที่ได้กินของแสลง เธอทั้งหลายอย่าพอใจในความรักเลยเมื่อหัวใจยึดไว้ด้วยความรักหัวใจนั้นจะสร้างความหวังขึ้นอย่างเจิดจ้าแต่ทุกครั้งที่เราหวังความผิดหวังจะรอเราอยู่

    ดูกรภิกษุทั้งหลายอย่าหวังอะไรให้มากนัก จงมองดูชีวิตอย่างผู้ช่ำชองอย่าวิตกกังวลอะไรล่วงหน้าชีวิตนี้เหมือนเกลียวคลื่นซึ่งก่อตัวขึ้นแล้วม้วนเข้าหาฝั่งและแตกกระจายเป็นฟองฝอยจงมองดูชีวิตเหมือนคนยืนอยู่บนฝั่ง มองดูเกลียวคลื่นในมหาสมุทรฉนั้น

    ดูกรภิกษุทั้งหลายมนุษย์ทั้งหลายผู้ยังมีอวิชาเป็นฝ้าบังปัญญาจักขุนั้นเป็นเสมือนทารกน้อยผู้หลงเข้าไปในป่าใหญ่อันรกทึบซึ่งเต็มไปด้วยอันตรายน่าหวาดเสียวและว้าเหว่เงียบเหงา มนุษย์ส่วนใหญ่แม้จะร่าเริงแจ่มใสอยู่ในหมู่ญาติและเพื่อนฝูงแต่ใครเล่าจะทราบว่าภายในส่วนลึกแห่งหัวใจเขาจะว้าเหว่และเงียบเหงาสักปานใดถ้าทุกคนว้าเหว่ไม่แน่ใจว่าจะยึดเอาอะไรเป็นหลักที่แน่นอนของชีวิต

    ดูกรภิกษุทั้งหลายธรรมเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวีตมนุษย์ไม่ว่าเขาจะอยู่ในเพศใดภาวะใดการกระทำที่ที่นึกขึ้นภายหลังแล้วต้องเสียใจนั้นควรเว้นเสียเพราะฉนั้นแม้จะประสบความทุกข์ยากลำบากสักปานใดก็ต้องไม่ทิ้งธรรมมนุษย์ที่ยังมีอาสวะอยู่ในใจนั้น ย่อมจะมีวันพลั้งเผลอประพฤติผิดธรรมไปบ้างเพราะยังมีสติไม่สมบูรณ์แต่เมื่อได้สติภายหลังก็ต้องตั้งใจประพฤติธรรมสั่งสมความดีกันใหม่ยิ่งพวกเรานักบวชด้วยแล้วจำเป็นต้องมีอุดมคติการตายด้วยอุดมคตินั้นมีค่ากว่าการเป็นอยู่โดยไร้อุดมคติ

    ดูกรภิกษุทั้งหลายธรรมดาว่าไม้จันทร์แม้จะแห้งก็ไม่ที้งกลิ่นอัศวินก้าวลงสู่สงครามก็ไม่ทิ้งลีลาอ้อยแม้เข้าสู่หีบยนต์แล้วก็ไม่ทิ้งรสหวานบัณฑิตแม้ประสบทุกข์ก็ไม่ทิ้งธรรม

    ดูกรภิกษุทั้งหลายเธอทั้งหลายได้สละเพศฆราวาสมาแล้วซึ่งเป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ยากที่ใครๆ จะสละได้ขอให้เธอเสียสละต่อไปเถิดและสละให้ลึกกว่านั้นคือ ไม่สละแต่เพียงเพศอย่างเดียว แต่จงสละความรู้สึกอันจะเป็นข้าศึกต่อเพศเสียด้วยเธอเคยฟังสุภาษิตอันกินใจยิ่งมาแล้งมิใช่หรือบุคคลร้อยคนหาคนกล้าได้หนึ่งคนบุคคลพันคนหาคนเป็นบัณฑิตได้หนึ่งคนบุคคลแสนคนหาคนพูดความจริงหาได้เพียงหนึ่งคน ส่วนคนที่สละได้ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นไม่ทราบว่าจะมีหรือไม่คือไม่ทราบว่าจะหาในบุคคลจำนวนเท่าไรจึงจะพบได้หนึ่งคน

    ดูกรภิกษุทั้งหลายข้าวเปลือกทรัพย์ เงินทองหรือของที่บุคคลหวงแหนอย่างใดอย่างหนึ่งรวมทั้งทาสกรรมกรคนใช้และที่อยู่อาศัยสิ่งอื่นๆทั้งหมดนี้บุคคลนำไปไม่ได้ต้องทอดทิ้งไว้ทั้งหมดแต่สิ่งที่บุคคลทำด้วยกาย วาจา หรือด้วยใจนั่นแหละที่จะเป็นของเขา เป็นสิ่งที่เขาต้องนำไปเหมือนเงาตามตัวเพราะฉนั้นผู้ฉลาดพึงสั่งสมกัลยาณกรรมอันจะนำติดตัวไปสู่สัมปรายภพได้บุญย่อมเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายทั้งในโลกนี้และโลกหน้า

    ดูกรภิกษุทั้งหลายเมื่อไฟไหม้บ้านภาชนะเครื่องใช้อันใดที่เจ้าของนำออกไปได้ของนั้นก็เป็นประโยชน์แก่เจ้าของที่นำออกไม่ได้ก็ถูกไฟไหม้วอดวายอยู่ ณ ที่นั้นเองฉันใดคนในโลกนี้ถูกไฟคือความแก่ความตายไหม้อยู่ก็ฉันนั้นคนผู้ฉลาดย่อมนำของออกด้วยการทำทาน ของที่บุคคลให้แล้วชื่อว่านำออกดีแล้วมีความสุขเป็นผลส่วนของที่ยังไม่ได้ให้ หาเป็นเช่นนั้นไม่แต่โจรอาจขโมยเสียบ้างไฟอาจจะไหม้เสียบ้างอีกอย่างหนึ่งเมื่อความตายมาถึงเข้า บุคคลย่อมละสมบัติและแม้สรีระของตนไว้นำไปไม่ได้เลยผู้มีปัญญารู้ความจริงข้อนี้แล้วพึงบริโภคใช้สอยพึงให้เพื่อสงเคราะห์ผู้อื่น เมื่อได้ให้ได้บริโภคตามสมควรแล้ว เป็นผู้ไม่ถูกติเตียนย่อมเข้าสู่ฐานะอันประเสริฐ

    ดูกรภิกษุทั้งหลายความตระหนี่ลาภเป็นความโง่เขลาเหมือนชาวนาตระหนี่ไม่ยอมหว่านพันธุ์ข้าวลงในนาเขาเก็บพันธุ์ข้าวเปลือกไว้จนเน่าและเสียไม่สามารถจะปลูกได้อีกข้าวเปลือกที่หว่านลงแล้วหนึ่งเมล็ดย่อมให้ผลหนึ่งรวงฉันใดทานที่บุคคลทำแล้วฉันนั้น ย่อมมีผลไพศาลการรวบรวมทรัพย์ไว้โดยมิได้ใช้สอยให้เป็นประโยชน์ทรัพย์นั้นจะมีคุณแก่ตนอย่างไรเหมือนผู้มีเครื่องประดับอันวิจิตรตระการตาแต่หาได้ประดับไม่เครื่องประดับนั้นจะมีประโยชน์อะไรรังแต่จะก่อความหนักใจในการเก็บรักษา

    ดูกรภิกษุทั้งหลายนกชื่อมัยหกะชอบเที่ยวไปตามซอกเขาและที่ต่างๆมาจับต้นเลียบที่มีผลสุก แล้วร้องว่าของกู ของกูในขณะที่มันร้องอยู่นั่นเองหมู่นกเหล่าอื่นที่บินมากินผลเลียบตามต้องการแล้วจากไป นกมัยหกะก็ยังร้องว่าของกู ของกู อยู่นั่นเองข้อนี้ฉันใดบุคคลบางคนในโลกนี้ก็ฉันนั้นรวบรวมสะสมทรัพย์ไว้มากมายแต่ไม่สงเคราะห์ญาติตามที่ควรทั้งมิได้ใช้สอยเองให้ผาสุกมัวเฝ้ารักษาและภูมิใจว่าของเรามี ของเรามีดังนี้ เมื่อเขาประพฤติอยู่เช่นนี้ทรัพย์สมบัติย่อมเสียหายไปทรุดโทรมไปด้วยเหตุต่างๆ มากหลายเขาก็คงคร่ำครวญอยู่อย่างเดิมนั่นเองและต้องงเสียใจในของที่เสียไปแล้วเพราะฉะนั้นผู้ฉลาดหาทรัพย์ได้แล้วพึงสงเคราะห์คนที่ควรสงเคราะห์มีญาติเป็นต้น

    ดูกรภิกษุทั้งหลายทรัพย์ของคนไม่ดีนั้นไม่สู้อำนวยประโยชน์แก่ใครเหมือนสระโบกขรณีอันตั้งอยู่ในที่ไม่มีมนุษย์แม้จะใสสะอาด จืดสนิทเย็นดีมีท่าลงสะดวกน่ารื่นรมย์ แต่มหาชนก็หาได้ดื่มอาบ หรือใช้สอยตามต้องการไม่ น้ำนั้นมีอยู่อย่างไร้ประโยชน์ทรัพย์ของคนตระหนี่ก็ฉันนั้นไม่อำนวยประโยชน์สุขแก่ใครๆ เลยรวมทั้งตัวเขาเองด้วยส่วนคนดีเมื่อมีทรัพย์แล้วย่อมบำรุงมารดา บิดา บุตรภรรยาบ่าวไพร่ให้เป็นสุขบำรุงสมณะพราหมจารย์ให้เป็นสุขเปรียบเสมือนสระโบกขรณีอันอยู่ไม่ไกลจากบ้านหรือนิคมมีท่าลงเรียบร้อย สะอาดเยือกเย็น น่าเรื่อนรมย์มหาชนย่อมได้อาศัย นำไปอาบดื่มและใช้สอยตามต้องการโภคทรัพย์ของคนดีย่อมเป็นดังนี้ หาอยู่โดยเปล่าประโยชน์ไม่

    ดูกรภิกษุทั้งหลายนักกายกรรมผู้มีกำลังมาก คือนักมวยปล้ำผู้มีกำลังมหาศาลนั้นก่อนที่จะได้กำลังมาเขาก็ต้องออกกำลังไปก่อนการเสียสละนั้น คือการได้มาซึ่งผลอันเลิศในบั้นปลายผู้ไม่ยอมเสียสละอะไรย่อมไม่ได้อะไรจงดูเถิด มนุษย์ทั้งหลายรดน้ำต้นไม้ที่โคนแต่ต้นไม้นั้นย่อมให้ผลที่ปลายเธอทั้งหลายจงพิจรณาดูความจริงตามธรรมชาติ อีกอย่างหนึ่งเถิดคือแม่น้ำสายใดเป็นแม่น้ำตายไม่ไหล ไม่ถ่ายเทไปสู่ที่อื่น หยุดุดนิ่งขังอยู่ที่เดียวแม่น้ำสายนั้นย่อมพลันตื้นเขินและสกปรกเน่าเหม็นเพราะสิ่งสกปรกลงมามิได้ถ่ายเท นอกจากนี้บริเวณที่ใกล้แม่น้ำสายนั้นจะหาพืชพันธุ์ธัญญาหารที่เขียวสดก็หายากแต่แม่น้ำสายใดไหลเอื่อยลงสู่ทะเลทะเลหรือแตกสาขาออกไปไหลเรื่อยไปไม่รู้จักหมดสิ้นคนทั้งหลายได้อาศัยอาบดื่มและใช้สอยตามปรารถนามันจะใสสะอาดอยู่เสมอไม่มีวันเหม็นเน่าหรือสกปรกได้เลยพืชพันธุ์ธัญญาหาร ณ บริเวณใกล้เคียงก็เขียวสดสวยงาม

    ดูกรภิกษุทั้งหลายบุคคลผู้ตระหนี่เมื่อได้ทรัพย์แล้วก็เก็บตุนไว้ไม่ถ่ายเทให้ผู้อื่นบ้าง ก็เหมือนแม่น้ำตายไม่มีประโยชน์อะไรแก่ใครส่วนผู้ไม่ตระหนี่ เป็นเหมือนแม่น้ำที่ไหลเอื่อยอยู่เสมอกระแสน้ำก็ไม่ขาด ทั้งยังเป็นประโยชน์แก่มนุษย์ทั้งหลาย เพราะฉะนั้นสาธุชนได้ทรัพย์แล้วพึงบำเพ็ญตนเสมือนแม่น้ำซึ่งไหลใสสะอาดไม่พึงเป็นเช่นแม่น้ำตาย

    ดูกรภิกษุทั้งหลายยัญญสัมปทาหรือทานจะมีผลมาก อานิสงส์ไพศาลถ้าประกอบด้วยองค์หกกล่าวคือ

            ๑. ก่อนให้ผู้ให้ก็มีใจผ่องใส ชื่นบาน

            ๒. เมื่อกำลังให้จิตใจก็ผ่องใส

            ๓. เมื่อให้แล้ว ก็มีความยินดีไม่เสียดาย

            ๔. ผู้รับเป็นผู้ปราศจากราคะ หรือปฏิบัติเพื่อปราศจากราคะ

            ๕. ผู้รับเป็นผู้ปราศจากโทษะ หรือปฏิบัติเพื่อปราศจากโทษะ

            ๖. ผู้รับเป็นผู้ปราศจากโมหะ หรือปฏิบัติเพื่อปราศจากโมหะ

    ภิกษุทั้งหลายทานที่ประกอบด้วยองค์หกนี้แลเป็นการยากที่จะกำหนดผลแห่งบุญว่ามีประมาณเท่านั้นเท่านี้อันที่จริงเป็นกองบุญใหญ่ที่นับไม่ได้ ไม่มีประมาณเหลือที่จะกำหนดเหมือนน้ำในมหาสมุทรย่อมกำหนดได้โดยยากว่ามีประมาณเท่านั้นเท่านี้

    ดูกรภิกษุทั้งหลายคราวหนึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศลราชาแห่งแคว้นนี้เข้าไปหาตถาคตและถามว่า บุคคลควรจะให้ทานในที่ใดเราตอบว่า ควรให้ทานในที่ที่เลื่อมใสคือเลื่อมใสบุคคลใด คณะใดก็ควรให้แก่บุคคลนั้น คณะนั้นพระองค์ถามต่อไปว่า ให้ทานในที่ใดจึงจะมีผลมากเราตถาคตตอบว่า ถ้าต้องการผลมากแล้วละก็ควรจะให้ทานผู้มีศีลการให้แก่บุคคลผู้ทุศีลหามีผลมากอย่างนั้นไม่สถานที่ทำบุญเปรียบเหมือนเนื้อนาเจตตนาและไทยทานเปรียบเหมือนเมล็ดพืชถ้าเนื้อนาดี คือบุคคลผู้รับเป็นคนดีมีศีลธรรม และประกอบด้วยเมล็ดพืช คือเจตนาและไทยทานของทายกบริสุทธิ์ทานนั้นย่อมมีผลมากการหว่านข้าวลงในนาที่เต็มไปด้วยหญ้าแฝกและหญ้าคาต้นข้าวย่อมขึ้นได้โดยยากฉันใดการทำบุญในคณะบุคคลที่มีศีลน้อย ก็ฉันนั้นคือย่อมได้บุญน้อย ส่วนการทำบุญในคณะบุคคลซึ่งมีศีลดี มีธรรมงาม ย่อมจะมีผลมากเป็นภาวะอันตรงกันข้ามอยู่ดังนี้เพราะฉะนั้นบุคคลไม่ควรประมาทว่าบุญหรือบาปเพียงเล็กน้อยจะไม่ให้ผลหยาดน้ำที่ไหลลงทีละหยดยังทำให้แม่น้ำเต็มได้ฉันใดการสั่ง บุญหรือบาปแม้ทีละน้อยก็ฉันนั้นผู้สั่งสมบุญย่อมเปี่ยมล้นไปด้วยบุญผู้สั่งสมบาปย่อมเพียบแปร้ไปด้วยบาป

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย พรหมจรรย์นี้เราประพฤติมิใช่เพื่อหลอกลวงคนมิใช่เพื่อให้คนทั้งหลายมานับถือมิใช่เพื่ออานิสงส์ลาภสักการะและความสรรเสริญมิใช่จุดมุ่งหมายเพื่อเป็นเจ้าลัทธิและแก้ลัทธิอย่างนั้นอย่างนี้มิใช่เพื่อให้ใครรู้จักตัวว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ที่แท้พรหมจรรย์นี้เราประพฤติเพื่อสังวระคือความสำรวมเพื่อปหานะคือความละเพื่อวิราคะคือคลายความกำหนัดยินดีและเพื่อนิโรธะคือความดับทุกข์

    ดูกรภิกษุทั้งหลายธรรมที่เราได้บรรลุแล้วนี้ลึกซึ้งเห็นได้ยากรู้ตามได้ยากสงบประณีตมิใช่วิสัยแห่งสัตว์คือคิดเอาไม่ได้ หรือไม่ควรลงความเห็นด้วยการเดาแต่เป็นธรรมที่บัณฑิตพอจะรู้ได้

    ดูกรภิกษุทั้งหลายจงดูกายอันนี้เถิด ฟันหัก ผมหงอก หนังเหี่ยวๆยานๆมีอาการทรุดโทรมให้เห็นได้อย่างเด่น เหมือนเกวียนที่ชำรุดแล้วชำรุดอีกได้อาศัยแต่ไม้ไผ่มาซ่อมไว้ผูกกระหนาบคาบค้ำไว้จะยืนนานไปได้สักเท่าไรการแตกสลายย่อมจะมาถึงเข้าสักวันหนึ่งภิกษุทั้งหลายพวกเธอจงมีธรรม เป็นที่เกาะที่พึ่งเถิด อย่าคิดยึดสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลยแม้ตถาตคก็เป็นแต่เพียงผู้บอกทางเท่านั้น

    ดูกรภิกษุทั้งหลายจงดูกายอันเปื่อยเน่านี้เถิดมันอาดูรไม่สะอาดมีสิ่งสกปรกไหลเข้าไหลออกอยู่เสมอ ถึงกระนั้นก็ตามมันยังเป็นที่พอใจปรารถนายิ่งนักของผู้ไม่รู้ความจริงข้อนี้ภิกษุทั้งหลายร่างกายนี้ไม่นานนักหรอกคงจะนอนทับถมแผ่นดินร่างกายนี้เมื่อปราศจากวิญญาณครองแล้วก็ถูกทอดทิ้งเหมือนท่อนไม้ที่ไร้ค่าอันเขาทิ้งเสียโดยไม่ใยดี

    ดูกรภิกษุทั้งหลายอันร่างกายนี้สะสมไว้แต่ของที่สกปรกโสโครกมีสิ่งปฏิกูลไหลออกจากทวารทั้งเก้ามีช่องหูช่องจมูกเป็นต้น เป็นที่อาศัยแห่งสัตว์เล็กสัตว์น้อยเป็นป่าช้าแห่งซากสัตว์นานาชนิดเป็นรังแห่งโรคเป็นที่เก็บมูตรและกรีษอุปมาเหมือนถุงหนังซึ่งบรรจุเอาสิ่งโสโครกต่างๆ เข้าไว้แล้งซึมออกมาเสมอๆเจ้าของร่างกายจึงต้องชำระล้างขัดถูวันละหลายๆครั้ง เมื่อเว้นจากการชำระล้างแม้เพียงวันเดียวหรือสองวันกลิ่นเหม็นก็ปรากฏเป็นที่รังเกียจเป็นของน่าขยะแขยง

    ดูกรภิกษุทั้งหลายร่างกายนี้เป็นเหมือนเรือนซึ่งสร้างด้วยโครงกระดูก มีหนังและเลือดเป็นเครื่องฉาบทาที่มองเห็นเปล่งปลั่งผุดผาดนั้นเป็นแต่เพียงผิวหนังเท่านั้นเหมือนมองเห็นความงามแห่งหีบศพอันวิจิตรตระการตาผู้ไม่รู้ก็ติดในหีบศพนั้นแต่ผู้รู้เมื่อทราบว่าเป็นหีบศพ แม้ภายนอกจะวิจิตรตระการตาเพียงไรก็หาพอใจยินดีไม่เพราะทราบชัดว่าภายในแห่งหีบศพอันสวยงามนั้นมีสิ่งปฏิกูลพึงรังเกียจ

    ดูกรภิกษุทั้งหลายอริยมรรคประกอบด้วยองค์แปดเป็นทางอันประเสริฐ สามารถทำให้บุคคลเดินไปตามทางนี้ถึงซึ่งความสุขสงบเย็นเต็มที่เป็นทางเดินไปสู่อมตะ

    ดูกรภิกษุทั้งหลายถ้าภิกษุหรือใครๆก็ตามพึงอยู่โดยชอบปฏบัติดำเนินตามมรรคอันประเสริฐประกอบด้วยองค์แปดนี้อยู่ โลกก็จะไม่พึงว่างจากพระอรหันต์

    ดูกรภิกษุทั้งหลายผู้ใดเคารพหนักแน่นในพระศาสดาและพระธรรมมีความยำเกรงในสงฆ์มีความเคารพหนักแน่นในสมาธิ มีความเพียรเครื่องเผาบาปเคารพในไตรสิกขาและเคารพในปฏิสันถารการต้อนรับอาคันตุกะผู้เช่นนั้นย่อมไม่เสื่อมดำรงตนอยู่ใกล้พระนิพพาน

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตราบใดที่พวกเธอยังหมั่นประชุมกันเนืองนิตย์พร้อมเพรียงกันประชุมเคารพในสิกขาบทบัณณัติยำเกรงภิกษุผู้เป็นสังฆเถระสังฆบิดรไม่ยอมตนให้ตกอยู่ภายใต้อำนาจแห่งตัณหาพอใจในการอยู่อาศัยเสนาสนะป่าปรารถนาให้เพื่อนพรหมจารีย์มาสู่สำนักและอยู่เป็นสุขตราบนั้นพวกเธอจะไม่เสื่อมเลย มีแต่ความเจริญโดยส่วนเดียว

    ดูกรภิกษุทั้งหลายตราบใดที่พวกเธอไม่หมกมุ่นกับการงานมากเกินไปไม่พอใจด้วยคุยฟุ้งซ่านไม่ชอบในการนอนมากเกินควรไม่ยินดีในการคลุกคลีด้วยหมู่คณะ ไม่เป็นผู้ปรารถนาลามกไม่ตกอยู่ใต้อำนาจแห่งความปรารถนาชั่วไม่คบมิตรเลวไม่หยุดความเพียรพยายามเพื่อบรรลุคุณธรรมขั้นสูงขึ้นไปแล้วตราบนั้นพวกเธอจะไม่มีความเสื่อมเลยมีแต่ความเจริญโดยส่วนเดียว

    ดูกรภิกษุทั้งหลายวาจาสุภาษิตย่อมไม่มีประโยชน์แก่ผู้ไม่ทำตามเหมือนดอกไม้ที่มีสีสวยสัณฐานดี แต่หากลิ่นมิได้แต่วาจาสุภาษิตจะมีประโยชน์อย่างมากแก่ผู้ทำตามเหมือนดอกไม้ที่มีสีสวยมีสัณฐานงามและมีกลิ่นหอมภิกษุทั้งหลายธรรมที่เรากล่าวดีแล้วนั้น ย่อมไม่มีผลมากไม่มีอานิสงส์ไพศาลแก่ผู้ไม่ทำตามโดยเคารพแต่จะมีผลมากมีอานิสงส์ไพศาลแก่ผู้ซึ่งกระทำโดยนัยตรงกันข้ามมีการฟังโดยเครพเป็นต้น

    พระพุทธองค์ตรัสกับพระอานนท์ว่ามาเถิดอานนท์เราจักไปนครกุสินารานครด้วยกันพระอานนท์รับพุทธบรรชาแล้ว ประกาศให้ภิกษุทั้งหลายทราบพร้อมกันแล้วเดินจากสถานที่นั้นมุ่งสู่กุสินารานคร ในระหว่างทางทรงเหน็ดเหนื่อยมากจึงแวะเข้าร่มพฤกษ์ใบหนาต้นหนึ่งรับสั่งให้พระอานนท์ปูผ้าสังฆาฏิทำเป็นสี่ชั้น

    อานนท์เราเหน็ดเหนื่อยเหลือเกินอาพาธก็มีอาการรุนแรงขึ้น เร็วเขาเถิดรีบปูลาดสังฆาฏิลงเราจะนอนพักผ่อนและขอให้เธอไปนำ น้ำมาดื่มพอแก้กระหาย

    พระเจ้าข้าพระอานนท์ทูลเกวียนเป็นจำนวนมากเพิ่งผ่านพ้นลำน้ำไปสักครู่นี่เอง น้ำยังขุ่นอยู่ไม่สมควรที่พระองค์จะดื่มขอพระองค์ไปดื่ม ณ แม่น้ำกกุธานทีเถิดมีน้ำจืดสนิทเย็นดี

    อย่าเลยอานนท์พระตถาคต ตรัสเป็นเชิงวิงวอน อย่าคอยจนไปถึงแม่น้ำกกุธานทีเลยย เรากระหายเหลือเกินร่างกายร้อนคอแห้งผากเธอจงรีบไปนำน้ำมาเถิด

    พระอานนท์รับพุทธบัญชาแล้วถือบาตรของพระตถาคตเจ้าไปท่านมีอาการเศร้าซึมและวิตกกังวล เมื่อมาถึงริมแม่น้ำยังมองเห็นน้ำขุ่นอยู่ท่านมีอาการเหมือนว่าจะเดินกลับแต่ด้วยความเชื่อและห่วงใยในพระศาสดาจึงเดินลงไปอีกพอท่านทำท่าจะตักน้ำขึ้นมาเท่านั้นนน้ำซึ่งมีสี ขุ่นขาวเพราะรอยเกวียนและโคก็ปรากฏเป็นน้ำใสสะอาดเหมือนกระจกเงา ท่านจึงตักน้ำนั้นมาแล้วรีบเดินกลับน้อมบาตรน้ำเข้าไปถวายพระศาสดา

    พระพุทธองค์ทรงดื่มน้ำด้วยความกระหายยพระอานนท์มองดูด้วยความชื่นชมในพุทธบารมีแล้วทูลว่า พระพุทธเจ้าข้าอัศจรรย์จริงสิ่งที่ไม่เคยปรากฏ ได้มี ได้ปรากฏแล้ว เป็นเพราะพุทธานุภาพโดยแท้ บารมีธรรมเป็นสั่งสมแท้แล้วท่านก็เล่าเรื่องน้ำที่ขุ่นนกลับใสสะอาดโดย ฉับพลันให้พระผู้มีพระภาคสดับพระจอมมุนีคงประทับสงบนิ่งด้วยอาการแห่งผู้เจนจบและเข้าใจในความเป็นไปทั้งปวง

    ก่อนหน้านี้เพียงเล็กน้อยเมื่อพระองค์ผ่านมาทางเมืองปาวาประทับ สวนมะม่วงของนายจุนทะบุตรแห่งนายช่างทองนายจุนทะอาราธนาพระพุทธองค์รับภัตตาหารณ บ้านของตนแล้วจัดแจงขาทนียโภชนียาหารอย่างประณีตรุ่งขึ้นได้เวลาแล้ว อาราธนาพระพุทธองค์และภิกษุสงฆ์เพื่อเสวยพระพุทธองค์ทอดทัศนาการเห็นสูกรมัทวะอาหารชนิดหนึ่งย่อยยากจึงรับสั่งให้ถวายแด่พระองค์แต่ผู้เดียวมิให้ถวายแก่ภิกษุรรูปอื่นเมื่อพระองค์เสวยแล้วก็รับสั่งให้ฝังเสีย

    ดูเถิดพระมหากรุณาแห่งพระองค์มีถึงปานนี้สำหรับพระองค์นั้นมิได้ห่วงใยในชิวิตอีกแล้วเพราะถึงอย่างไรก็ต้องนิพพานในคืนวันนี้แน่นอนทรงเป็นห่วงภิกษุสาวกจะลำบาก ถ้าฉันอาหารที่ย่อยยากชนิดนั้นประการหนึ่งมารดาหรือบิดาผู้เปี่ยมด้วยเมตตาธรรมในบุตรของตน ทราบว่าอะไรจะทำให้บุตรธิดาลำบากย่อมพร้อมที่จะรับความลำบากอันนั้นเสียเอง

    สูกรมัทวะให้ผลในทันทีอาการประชวรของพระองค์ทรุดหนักลงอย่างน่าวิตกมีพระบังคนเป็นโลหิต แต่ถึงกระนั้นก็ยังเสด็จด้วยพระบาทเปล่าจากปาวาสู่กุสินารานครดังกล่าวนี้

    พระองค์ต้องหยุดพักเป็นระยะๆหลายครั้ง ก่อนจะถึงกุสินาราราชธานีแห่งมัลลกษัตริย์ณ ใต้ร่มพฤกษ์ใบหนาแห่งหนึ่ง ขณะที่พระองค์หยุดพักมีบุตรแห่งมัลลกษัตริย์นามว่า ปุกกุสะ เคยเป็นศิษย์ของอาฬารดาบสกาลามโคตร เดินทางมาจากกุสินาราเพื่อไปยังปาวานครได้เห็นพระผู้มีพระภาคแล้วเกิดความเลื่อมใสจึงน้อมนำผ้าคู่งามซึ่งมีสีเหลืองเหมือนทองสิงคีเข้าไปถวายรับสั่งให้ถวายแก่พระองค์ผืนหนึ่งแก่พระอานนท์ผืนหนึ่ง

    พระอานนท์เห็นว่าผ้านั้นไม่สมควรแก่ตนจึงน้อมนำผ้านั้นเข้าไปถวายพระผู้มีพระภาคอีกผืนหนึ่งพระพุทธองค์ทรงนุ่งและหม่แล้วผ้านั้นสวยงามยิ่งนักปรากฏประดุจถ่านเพลิงปราศจากควันและเปลวพระฉวีของพระองค์เล่าก็ช่างผุดผ่องงดงามเกินเปรียบท่านได้เห็นเหตุการณ์ดังนั้นจึงกราบทูลพระพุทธองค์ว่า

    ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญข้าพระองค์สังเกตเห็นพระฉวีของพระองค์ผุดผ่องยิ่งนักเกินที่จะเปรียบด้วยสิ่งใดเปล่งปลั่งมีรัศมี พระองค์ผู้เจริญบัดนี้พระองค์ทรงมีพระชนมายุถึงแปดสิบปีแล้วอยู่ในวัยชราเต็มทีเหมือนผลไม้สุกจนงอมอนึ่งเล่าเวลานี้พระองค์ทรงพระประชวรหนักร่างกายเป็นผู้มีโรคเบียดเบียนแต่เหตุไฉนผิวพรรณของพระองค์จึงผุดผ่องยิ่งนัก

    อานนท์พระศาสดาตรัสตอบ เป็นธรรมดาของพระพุทธเจ้าที่เป็นอย่างนี้ในคราวจะตรัสรู้คราวหนึ่งและก่อนจะนิพพานอีกคราวหนึ่งผิวพรรณแห่งตถาคตย่อมปรากฏงดงามประดุจรัศมีแห่งสุริยาเมื่อแรกรุ่งอรุณและจวนจะอัศดง ดูกรอานนท์ในยามสุดท้ายแห่งราตรีนี้ตถาคตจะต้องปรินิพานในระหว่างต้นสาละทั้งคู่ซึ่งโน้มกิ่งเข้าหากันมีใบใหญ่หนามีดอกเป็นช่อชั้นตรัสดังนั้นแล้วจึงเสด็จนำพระอานนท์ไปสู่ฝั่ง น้ำกุธานทีเสด็จลงสรงสำราญตามพระพุทธอัธยาสัยแล้วเสด็จเสด็จขึ้นจากกกุธานทีไปประทับ ณ อัมพวันรับสั่งให้พระจุนทะน้องชายพระสารีบุตรปูลาดสังฆาฏิเป็นสี่ชั้นแล้วบรรทมด้วยสีหะไสยา คือตะแคงขวาเอาพระหัตถ์รองรับพระเศียรซ้อนพระบาทให้เหลื่อมกันมีพระสติสัมปชัญญะตั้งพระทัยว่าจะลุกในไม่ช้า

    ในขณะนั้นเอง ความปริวิตกถึงนายจุนทะผู้ถวายสูกรมัทวก็เกิดขึ้นจึงตรัสกับพระอานนท์ว่าอานนท์ เมื่อเรานิพพานไปแล้วอาจมีผู้กล่าวโทษจุนทะว่าถวายอาหารที่เป็นพิษจนเป็นเหตุให้เราปรินิพพานหรือมิฉะนั้นจุนทะอาจเกิดวิปฏิสารเดือดร้อนใจตัวเองว่าเพราะเสวยสูกรมัทวะอันตนถวายแล้วพระตถาคตจึงนิพพานดูกรอานนท์บิณฑบาตทานที่มีอานิสงส์มาก มีผลไพศาลมีอยู่สองคราวด้วยกันคือเมื่อนางสุชาดาถวายเราก่อนจะตรัสรู้ครั้งหนึ่งและอีกครั้งหนึ่งที่จุนทะถวายนี้ครั้งแรกเสวยอาหารของสุชาดาแล้วตถาคตก็ถึงซึ่งกิเลสนิพพานคือการดับกิเลสครั้งหลังนี้เสวยอาหารของจุนทะบุตรนายช่างทองแล้ว เราก็นิพพานด้วยขันธนิพพานคือดับขันธ์อันเป็นวิบากที่เหลืออยู่ถ้าใครๆจะพึงตำหนิจุนทะ เธอพึงกล่าวให้เขาเข้าใจตามนี้ถ้าจุนทะจะพึงเดือดร้อนใจเธอพึงกล่าวปลอบใจให้เขาคลายวิตกกังวลเสีย อาหารของจุนทะเป็นอาหารมื้อสุดท้ายสำหรับเรา

    ครั้นแล้วพระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระอานนท์เป็นปัจฉาสมณะมีภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่เป็นบริวารเสด็จข้ามแม่น้ำหิรัญญวดี ถึงกรุงกุสินาราเสด็จ เข้าสู่สาลวโนทยานคืออุทยานซึ่งสะพรึบสะพรั่งด้วยต้นสาละรับสั่งให้พระอานนท์จัดแท่นบรรทมระหว่างต้นสาละซึ่งมีกิ่งโน้มเข้าหากันให้หันพระเศียรไปทางทิศอุดร

    ครั้งนั้นมีบุคคลเป็นจำนวนมาก จากสารทิศต่างๆเดินทางมาเพื่อเฝ้าพระพุทธสรีระเป็นปัจฉิมกาล แผ่เป็นปริมณฑลกว้างออกไปสุดสายตาสมเด็จพระมหาสมณะทรงเห็นเหตุการณ์ดังนี้แล้วจึงตรัสกับพระอานนท์เป็นเชิงปรารภว่า

    อานนท์ พุทธบริษัททั้งสี่คือภิกษุภิกษุณีอุบาสกอุบาสิกาทำสักการะบูชาด้วยเครื่องสักการะทั้งหลายอันเป็นอามิสเช่นดอกไม้ ธูปเทียนเป็นต้นหาชื่อว่าบูชาตถาคตด้วยการบูชาอันยิ่งไม่อานนท์เอยผู้ใดปฏิบัติตามธรรม ปฏิบัติอันชอบยิ่งปฏิบัติธรรมอันเหมาะสมผู้นั้นแลชื่อว่าสักการะบูชาเราด้วยการบูชาอันยอดเยี่ยม

    พระอานนท์ทูลว่าพระองค์ผู้เจริญเมื่อก่อนนี้ออกพรรษาแล้วภิกษุทั้งหลายต่างพากันเดินทางมาจากทิศานุทิศเพื่อเฝ้าพระองค์ ฟังโอวาทจากพระองค์บัดนี้พระองค์จะปรินิพพานเสียแล้วภิกษุทั้งหลายจะพึงไป ณ ที่ใด

    อานนท์สถานที่อันเป็นเหตุให้ระลึกถึงเราก็มีอยู่คือสถานที่ที่เราประสูติแล้วคือลุมพินีวันสถานสถานที่ที่เราตั้งอาณาจักรแห่งธรรมขึ้นเป็นครั้งแรก คือป่าอิสิปตนมิคทายะแขวงเมืองพาราณสีสถานที่ที่เราตรัสรู้อนุตตรสัมมาโพธิญาณบรรลุความรู้อันประเสริฐทำกิเลสให้สิ้นไปคือโพธิมณฑล ตำบลอุรุเวลาเสนานิคมและสถานที่ที่เราจะปรินิพพาน ณ บัดนี้คือป่าไม้สาละณ นครกุสินาราอานนท์เอยสถานที่ทั้งสี่แห่งนี้เป็นสังเวชนียสถานสารานียสถานสำหรับให้ระลึกถึงเราและเดินตามรอยพระบาทแห่งเรา

    ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ในพรหมจรรย์นี้มีสุภาพสตรีเป็นอันมากเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ในฐานะต่างๆเป็นมารดาบ้างเป็นพี่หญิงน้องหญิงบ้างเป็นเครือญาติบ้างและเป็นผู้เลื่อมใสในพระรัตนตรัยบ้างภิกษุจะพึงปฏิบัติต่อสตรีอย่างไร

    อานนท์การที่ภิกษุจะไม่ดูไม่แลสตรีเพศเสียเลยนั้นเป็นการดี

    ถ้าจำเป็นต้องดูต้องเห็นเล่าพระเจ้าข้าพระอานนท์ทูลซัก

    ถ้าจำเป็นต้องดูต้องเห็นก็อย่าพูดด้วยอย่าสนทนาด้วยนั้นเป็นการดีพระศาสดาตรัสตอบ

    ถ้าจำเป็นต้องสนทนาด้วยเล่าพระเจ้าข้าจะปฏิบัติอย่างไร

    ถ้าจำเป็นต้องสนทนาด้วยก็จงมีสติไว้ควบคุมสติให้ดีสำรวมอินทรีย์วาจาให้เรียบร้อยอย่าให้ความกำหนัดยินดี หรือความหลงใหลครอบงำจิตใจได้อานนท์ เรากล่าวว่าสตรีที่บุรุษเอาใจเข้าไปเกาะเกี่ยวนั้นเป็นมลทินของพรหมจรรย์

    แล้วสตรีที่บุรุษมิได้เอาใจเข้าไปเกาะเกี่ยวเล่าพระเจ้าข้าจะเป็นมลทินของพรหมจรรย์หรือไม่

    ไม่เป็นซิอานนท์ เธอระลึกได้อยู่หรือเราเคยพูดไว้ว่าอารมณ์อันวิจิตรสิ่งสวยงามในโลกนี้มิใช่กามแต่ความกำหนัดที่เกิดขึ้นเพราะการดำริต่างหากเล่าเป็นกามของคน เมื่อกระชากความพอใจออกเสียได้แล้วสิ่งวิจิตรสวยงามก็อยู่อย่างเก้อๆทำพิษอะไรมิได้อีกต่อไป

    พระผู้มีพระภาคบรรทมสงบนิ่งพระอานนท์ก็พลอยนิ่งตามไปด้วย ดูเหมือนท่านจะตรึกตรองพุทธวจนะที่ตรัสจบลงสัครู่นี้

    ความเงียบสงัดปกคลุมอยู่ครู่หนึ่งแล้วพระอานนท์ก็ทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อพระองค์ปรินิพพานไปแล้ว จะปฏิบัติเกี่ยวกับพุทธสรีระอย่างไร

    อย่าเลยอานนท์พระศาสดาทรงห้ามเธออย่ากังวลกับเรื่องนี้เลยหน้าที่ของพวกเธอคือคุ้มครองตนด้วยดีจงพยายามทำความเพียรเผาบาป ให้เร่าร้อนอยู่ทุกอิริยาบทเถิดสำหรับเรื่องสรีระของเราเป็นหน้าที่ของคฤหัสถ์ที่จะพึงทำกันกษัตริย์พราหมณ์และคหบดีเป็นจำนวนมากที่เลื่อมใสตถาคตก็มีอยู่ไม่น้อยเขาคงทำกันเองเรียบร้อย

    พระเจ้าข้าพระอานนท์ทูลเรื่องนี้เป็นหน้าที่ของคฤหัสถ์ก็จริงอยู่แต่ถ้าเขาถามข้าพระองค์ข้าพระองค์จะพึงบอกเขาอย่างไร

    อานนท์ ชนทั้งหลายเมื่อปฏิบัติต่อสรีระแห่งพระเจ้าจักรพรรดิ์อย่างไรก็พึงปฏบัติต่อสรีระแห่งตถาคตอย่างนั้นเถิด

    ทำอย่างไรเล่าพระ เจ้าข้า

    อานนท์ คืออย่างนี้เขาจะพันสรีระแห่งพระเจ้าจักรพรรดิ์ด้วยผ้าใหม่แล้วซับด้วยสำลีแล้วพันด้วยผ้าใหม่อีกทำอย่างนี้ถึงห้าร้อยคู่หรือห้าร้อยชั้นแล้วนำวางในรางเหล็กซึ่งเต็มไปด้วยน้ำมัน แล้วปิดครอบด้วยรางเหล็กเป็นฝาแล้วทำจิตกาธานด้วยไม้หอมนานาชนิดแล้วถวายพระเพลิงเสร็จแล้วเชิญพระอัฐิธาตุแห่งพระเจ้าจักรพรรดิ์นั้นไปบรรจุสถูปซึ่งสร้างไว้ณ ทางสี่แพร่ง และสรีระแห่งตถาคตก็พึงทำเช่นกันทั้งนี้เพื่อผู้เลื่อมใสจักได้บูชาและเป็นประโยชน์สุขแก่เขาตลอดกาลนาน

    และแล้วพระพุทธองค์ทรงแสดงถูปารหบุคคลคือบุคคลผู้ควรบรรจุอัฐิธาตุไว้ในพระสถูปสี่จำพวกคือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระปัจเจกพุทธเจ้าพระอรหันตสาวกและพระเจ้าจักรพรรดิ์

    ตรัสแล้วบรรทมนิ่งอยู่ พระอานนท์ถอยออกจากที่เฝ้าเพราะความเศร้าสลดสุดที่จะอดกลั้นได้ท่านไปยืนอยู่ที่สงัดเงียบแห่งหนึ่งน้ำตาไหลพรากจนอาบแก้มแล้วเสียงสะอื้นเบาๆก็ตามมาบัดนี้ท่านมีอายุอยู่ในวัยชรานับได้แปดสิบแล้วเท่ากับพระชนมายุของพระผู้มีพระภาคเจ้า อุปสมบทมานานถึงสี่สิบพรรษาได้ยินได้ฟังพระธรรมเทศนาอบรมจิตใจอยู่เสมอได้บรรลุธรรมขั้นต้นเป็นโสดาบันบุคคลผู้มีองค์ประกอบดังกล่าวนี้ถ้าไม่มีเรื่องสะเทือนใจอย่างแรงคงจะไม่เศร้าโศกปริเวทนาการถึงเพียงนี้ท่านสะอึกสะอื้นจนสั่นเทิ้มไปทั้งองค์ บางคราวจะมองเห็นผ้าสีเหลืองหม่นที่คลุมกายสั่นน้อยๆตามแรงสั่นแห่งรูปกายแน่นอนท่านรู้สึกสะเทือนใจและว้าเหว่อย่างยิ่งเป็นเวลานานเหลือเกินที่ท่านรับใช้พระศาสดาได้ทำหน้าที่พุทธอุปัฏฐากและเอื้อเฟื้อต่อกัน การจากไปของพระผู้มีพระภาคจึงเป็นเสมือนกระชากดวงใจของท่านให้หลุดลอย

    โอพระองค์ผู้เป็นที่พึ่งของโลกและของข้าพระองค์เสียงคร่ำ ครวญออกมากับเสียงสะอื้นตั้งแต่บัดนี้ไปข้าพระพุทธเจ้าจักไม่ได้เห็นพระองค์อีกแล้วพระองค์ผู้ทรงพระมหากรุณาดุจห้วงมหรรณพมาด่วนจากข้าพระองค์ทั้งๆที่ข้าพระองค์ยังมีอาสวะอยู่เหมือนพี่เลี้ยงสอนให้เด็กเดิน เมื่อเด็กน้อยพอจะหัดก้าวเท่านั้นพี่เลี้ยงก็มีอันพลัดพลากจากไปข้าพระองค์เหมือนเด็กน้อยผู้นั้นพระอานนท์คร่ำครวญอย่างน่าสงสาร

    เมื่อพระอานนท์หายไปนานผิดปกติ พระศาสดาจึงตรัสถามว่า

    ภิกษุทั้งหลายอานนท์หายไปไหน

    ไปยืนร้องไห้อยู่โคนต้นไม้โน้นพระเจ้าข้าภิกษุทั้งหลายทูล

    ไปตามอานนท์มานี่เถิดพระศาสดาตรัสสั่ง

    พระอานนท์เข้าสู่ที่เฝ้าด้วยใบหน้าที่ยังชุ่มด้วยน้ำตา พระศาสดาตรัสปลอบใจว่าอานนท์อย่าคร่ำครวญนักเลยเราเคยบอกแล้วมิใช่หรือว่าบุคคลย่อมพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่พอใจเป็นธรรมดาในโลกนี้หรือโลกไหนๆ ก็ตามไม่มีอะไรยั่งยืนถาวรเลย สิ่งทั้งหลายมีการเกิดย่อมมีการดับเป็นธรรมดาเป็นที่สุดไม่มีอะไรยับยั้งต้านทาน

    ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นประดุจดวงตะวันพระอานนท์ทูลด้วยเสียงสะอื้นน้อยๆข้าพระองค์มารำพึงว่าตลอดเวลาที่พระองค์ทรงพระชนม์อยู่ ข้าพระองค์เที่ยวติดตามประดุจฉายาต่อไปนี้ข้าพระองค์จะติดตามผู้ใดเล่าจะ พึงตั้งน้ำใช้น้ำเสวยเพื่อผู้ใดจะ พึงปัดกวาดเสนาสนะที่หลับนอนเพื่อผู้ใดอนึ่งเวลานี้ข้าพระองค์มีอาสวะอยู่พระองค์มาด่วนปรินิพพานใครเล่าจะเป็นที่พึ่งของข้าพระองค์เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์ กำจัดกิเลสให้หมดสิ้นข้าพระองค์อยู่อย่างว้าเหว่และเดียวดายเมื่อคำนึงอย่างนี้แล้วก็จะสุดหักห้ามความโศกสลดได้

    อานนท์เธอเป็นผู้มีบารมีธรรมที่สั่งสมมาไว้แล้วมาก เธอเป็นผู้มีบุญที่สั่งสมไว้แล้วมากอย่าเสียใจเลยกิจอันใดที่ควรทำแก่ตถาคตเธอได้ทำกิจนั้นอย่างสมบูรณ์ด้วยกายกรรมวจีกรรมและมโนกรรมอันประกอบด้วยเมตตาอย่างยอดเยี่ยมจงประกอบความเพียรเถิดเมื่อเราล่วงลับไปแล้ว เธอจะต้องประสบอรหัตผลเป็นพระอรหันต์ในไม่ช้าตรัสดังนี้แล้วจึงเรียกภิกษุทั้งหลายเข้ามาสู่ที่ใกล้แล้วทรงสรรเสริญพระอานนท์เป็นอเนกปริยายเป็นต้นว่า

    ภิกษุทั้งหลายอานนท์เป็นบัณฑิตเป็นผู้รอบรู้และอุปัฏฐากเราอย่างยอดเยี่ยมพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งในอดีตและอนาคตซึ่งมีภิกษุเป็นผู้อุปัฏฐากนั้นก็ไม่ดีเกินไปกว่าอานนท์อานนท์เป็นผู้ดำเนินกิจด้วยปัญญา รู้การที่ควรไม่ควรรู้กาลที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่มาเฝ้าเราว่ากาลนี้สำหรับกษัตริย์กาลนี้สำหรับราชามหาอำมาตย์กาลนี้สำหรับคนทั่วไปควรได้รับการยกย่องนานาประการมีคุณธรรมน่าอัศจรรย์ ผู้ที่ยังไม่เคยเห็นไม่เคยสนทนาก็อยากเห็นอยากสนทนาด้วยอยากฟังธรรมของอานนท์เมื่อฟังก็มีจิตเพลิดเพลินยินดีในธรรมที่อานนท์แสดงไม่อิ่มไม่เบื่อด้วยธรรมวรีรสภิกษุทั้งหลาย อานนท์เป็นบุคคลที่หาได้ยากผู้หนึ่ง

    พระอานนท์ผู้มีความห่วงใยในพระศาสดาไม่มีที่สิ้นสุดกราบทูลด้วยน้ำเสียงที่ยังเศร้าอยู่ว่า

    พระองค์ผู้เจริญ พระองค์เป็นประดุจพระเจ้าจักรพรรดิ์ในทางธรรมทรงสถาปนาอาณาจักรแห่งธรรมขึ้นทรงเป็นราชาสูงยิ่งกว่าราชาใดๆในพื้นพิภพนี้ข้าพระองค์เห็นว่าไม่สมควรแก่พระองค์เลยที่จะปรินิพพานในเมืองกุสินาราอันเป็นเมืองเล็กเมืองน้อยขอพระองค์ไปปรินิพพานในเมืองใหญ่ๆ เช่นนครราชคฤห์ สาวัตถี จำปาสาเกตโกสัมพีพาราณสีเป็นต้นเถิดพระเจ้าข้าในมหานครเหล่านั้นกษัตริย์พราหม เศรษฐีคหบดีและชาวนครทุกชั้นที่เลื่อมใสในพระองค์ก็มีอยู่มากจักได้ทำมหาสักการะแด่พระสรีระแห่งพระองค์เป็นมโหฬารควรแก่การเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งอุดมรัตน์ในโลก

    อานนท์เธออย่ากล่าวอย่างนั้นเลยชีวิตของตถาคตเป็นชีวิตแบบอย่างตถาคตนิพพานไปแต่เพียงรูปเท่านั้นแต่เกียรติคุณของเราคงอยู่ต่อไปเราต้องการให้ชีวิตนี้งามทั้งในเบื้องต้นท่ามกลางและที่สุดอานนท์เอยตถาคตอุบัติแล้วเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนเมื่ออุบัติมาสู่โลกนี้เราเกิดแล้วในป่านามว่าลุมพินีเมื่อตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเราก็ได้บรรลุแล้วในป่าตำบลอุรุเวลาเสนานิคมแขวงเมืองราชคฤห์ มหานคร เมื่อตั้งอาณาจักรแห่งธรรมขึ้นเป็นครั้งแรกได้สาวกเพียงห้าคน ณ ป่าอิสิปตนมิคทายะ เขตเมืองพาราณสีครั้งนี้เป็นครั้วสุดท้ายแห่งเราเราก็ควรนิพพานในป่าเช่นเดียวกัน

    อนึ่งกุสินารานี้ แม้บัดนี้เป็นเมืองน้อยแต่ในโบราณกาลกุสินารานี้เคยเป็นเมืองใหญ่มาแล้วเคยเป็นที่ประทับของพระเจ้าจักรพรรดิ์นามว่ามหาสุทัสสนะนครนี้เคยชื่อกุสาวดีเป็นราชธานีที่สมบูรณ์ มั่งคั่งมีคนมาก มีมนุษย์นิกรเกลื่อนกล่นพรั่งพร้อมด้วยธัญญาหารมีรมณียสถานที่บันเทิงจิตประดุจดังราชธานีแห่ทิพยนครกุสาวดีราชธานีนั้นกึกก้องคฤหาสน์ทั้งกลางวันและกลางคืนด้วยเสียงสิบประการคือเสียง คชสาร เสียงพาชีเสียงเภรีและรถเสียงตะโพนเสียงพิณเสียงขับร้องเสียงกังสดาลเสียงสังข์รวมทั้งสำเนียงประชาชนเรียกกันบริโภคอาหารด้วยความสำราญเบิกบานจิต

    พระเจ้ามหาสุทัสสนะองค์จักรพรรดิ์เล่าก็ทรงเป็นอิสราธิบดีในปฐพีมณฑลทรงชำนะปัจจามิตรโดยธรรมไม่ต้องใช้ทัณฑ์และศัสตราชนบทสงบราบคาบปราศจากโจรผู้ร้าย มารดาและบุตรธิดามีความอิ่มอกด้วยความเพลิดเพลินประตูบ้านปราศจากลิ่มสลักเป็นนครที่เรื่อยรมย์ร่มเย็นสมเป็นราชธานีแห่งพระเจ้าจักรพรรดิ์อย่างแท้จริง

    อีกอย่างหนึ่ง อานนท์เอยเมื่อมองมาทางธรรมให้เกิดสังเวชสลดจิตก็พอคิดได้ว่าสิ่งทั้งหลายไม่เที่ยงไม่ยั่งยืนมุ่งไปสู่จุดสลายตัวอานนท์จงดูเถิดพระเจ้าจักรพรรดิ์มหาสุทัสสนะก็สิ้นพระชนม์ไปแล้ว เมืองกุสาวดีก็เปลี่ยนมาเป็นกุสินาราแล้วประชาชนกุสาวดีก็ตายกันไปหมดแล้วนี่แลไม่มีอะไรเที่ยง ไม่มีอะไรยั่งยืนตถาคตเองก็จะนิพพานในไม่ช้านี้

    แล้วพระศาสดาก็รับสั่งให้พระอานนท์ไปแจ้งข่าวปรินิพพานแก่ มัลลกษัตริย์ว่าพระตถาคตเจ้าจักปรินิพพานในยามสุดท้ายแห่งราตรีเมื่อมัลลกษัตริย์ผู้ครองนครกุสินาราสดับข่าวนี้ต่างก็ทรงกำสรดโศกาดูรทุกข์โทมนัสทับทวีสยายพระเกศายกพระพาหาทั้งสองขึ้นแล้วคร่ำครวญล้มกลิ้งเกลือกประหนึ่งบุคคลที่เท้าขาด ร่ำไรรำพันถึงพระโลกนาถว่าพระโลกนาถด่วนปรินิพพานนักดวงตาของโลกดับลงแล้วประดุจสุริยาซึ่งให้แสงสว่างดับวูบลง

    ด้วยอาการโศกาดูรดั่งนี้มัลลกษัตริย์ตามพระอานนท์ไปเฝ้าพระศาสดา ณ สาลวโนทยานพระอานนท์จัดให้เข้าเฝ้าเป็นตระกูลๆไปแล้วกลับสู่สัณฐาคารคืนนั้นมัลลกษัตริย์ประชุมกันอยู่จนสว่างมิได้บรรทมเลย

    ท่ามกลางบรรยากาศดังกล่าวนี้ นักบวชปริพาชกหนุ่มคนหนึ่งขออนุญาตผ่านฝูงชนขอเฝ้าพระศาสดาพระอานนท์ได้สดับสำเนียงนั้นจึงออกมารับและขอร้องวิงวอนว่า อย่ารบกวนพระผู้มีพระภาคเจ้าเลย

    ข้าแต่พระอานนท์ปริพาชกผู้นั้นกล่าวข้าพเจ้า ขออนุญาตเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อทูลถามข้อข้องใจบางประการขอท่านได้โปรดอนุญาตเถิดข้าพเจ้าสุภัททะปริพาชก

    อย่าเลย สุภัททะท่านอย่ารบกวนพระผู้มีพระภาคเจ้าเลยพระองค์ทรงลำบากพระวรกายมากอยู่แล้ว พระองค์ประชวรหนักจะปรินิพพานในยามสุดท้ายแห่งราตรีนี้แน่นอน

    ท่านอานนท์สุภัททะวิงวอนต่อไปโอกาสของข้าพเจ้าเหลือเพียงเล็กน้อยขอท่านอาศัยความเอ็นดูโปรดอนุญาตให้ข้าพเจ้า เฝ้าพระศาสดาเถิด

    พระอานนท์คงทัดทานอย่างเดิมและสุภัททะก็อ้อนวอนครั้งแล้วครั้งเล่าไม่ยอมย่อท้อจนกระทั่งได้ยินถึงพระศาสดาพระมหากรุณาอันไม่มีที่สิ้นสุดรับสั่งกับพระอานนท์ว่า

    อานนท์ให้สุภัททะเข้ามาหาตถาคตเถิด

    เพียงเท่านี้สุภัททะปริพาชกก็ได้เข้าเฝ้าสมประสงค์เขากราบลงใกล้แท่นบรรทมแล้วทูลว่าข้าแต่พระจอมมุนีข้าพระองค์นามว่า สุภัททะ ถือเพศเป็นปริพาชกมาไม่นานได้ยินกิตติศัพท์เล่าลือเกียรติคุณแห่งพระองค์แต่ก็หาได้เคยเข้าเฝ้าไม่บัดนี้พระองค์จะดับขันธปรินิพพานแล้วข้าพระองค์ขอประทานโอกาสซึ่งมีอยู่น้อยนี้ทูลถามข้อข้องใจบางประการเพื่อจะได้ไม่เสียใจภายหลัง

    ถามถิดสุภัททะพระศาสดาตรัส

    พระองค์ผู้เจริญคณาจารย์ทั้งหกคือปูรณะกัสสปะมักขลิโคศาลอชิตเกสกัมพลปกุทธกัจจายนะ สัญชัยเวลัฎฐบุตรและนิครนถ์นาฎบุตรเป็นศาสดาเจ้าลัทธิมีคนนับถือมากเคารพบูชามากศาสดาเหล่านี้ยังจะเป็นพระอรหันต์หมดกิเลสหรือประการใด

    เรื่องนี้หรือสุภัททะที่เธอดิ้นรนขวนขวายมาหาเราด้วยความพยายามอย่างยิ่งยวดพระศาสดาตรัสทั้งยังหลับพระเนตรอยู่

    เรื่องนี้เองพระเจ้าข้าสุภัททะทูล

    พระอานนท์รู้สึกกระวนกระวายทันที เพราะเรื่องที่สุภัททะมารบกวนพระศาสดานั้นเป็นเรื่องไร้สาระเหลือเกินขณะที่พระอานนท์จะเชิญสุภัททะออกจากที่เฝ้านั้นเองพระศาสดาก็ตรัสขึ้นว่า

    อย่าสนใจกับเรื่องนั้นเลย สุภัททะเวลาของเราและของเธอเหลือน้อยเต็มทีแล้วจงถามสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่เธอเองเถิด

    ข้าแต่ท่านสมณะถ้าอย่างนั้นข้าพระองค์ขอทูลถามปัญหาสามข้อคือ ร้อยเท้าในอากาศมีอยู่หรือไม่สมณะภายนอกศาสนาของพระองค์มีอยู่หรือไม่สังขารที่เที่ยงมีอยู่หรือไม่

    สุภัททะรอยเท้าในอากาศนั้นไม่มี ศาสนาใดไม่มีมรรคมีองค์แปดสมณะผู้สงบถึงที่สุดก็ไม่มีในศาสนานั้นสังขารที่เที่ยงนั้นไม่มีเลยสุภัททะปัญหาของเธอมีเท่านี้หรือ

    มีเท่านี้พระเจ้าข้าสภัททะ ทูลแล้วนิ่งอยู่

    พระพุทธองค์ผู้ทรงอนาวรณญาณทรงทราบอุปนิสัยของสุภัททะแล้วจึงตรัสต่อไปว่าสุภัททะถ้าอย่างนั้นจงตั้งใจฟังเถิดเราจะแสดงธรรมให้ฟังแต่โดยย่อ 

ดูกรสุภัททะอริยมรรคประกอบด้วยองค์แปดเป็นทางประเสริฐสามารถให้บุคคลผู้เดินไปตามทางนี้ถึงซึ่งความสุขสงบเย็นเต็มที่เป็นทางเดินไปสู่อมตะ 

ดูกรสุภัททะ ถ้าภิกษุหรือใครก็ตามจะพึงอยู่โดยชอบปฏิบัติดำเนินตามมรรคอันประเสริฐประกอบด้วยองค์แปดนี้อยู่โลกก็จะไม่พึงว่างจากพระอรหันต์

    สุภัททะฟังพระพุทธดำรัสนี้แล้วเลื่อมใสทูลขอบรรพชาอุปสมบท พระพุทธองค์ตรัสว่า ผู้ที่เคยเป็นนักบวชในศาสนาอื่นมาก่อนถ้าประสงค์จะบวชในศาสนาของพระองค์จะต้องอยู่ติดถิยริวาสคือ บำเพ็ญตนทำความดีจนภิกษุทั้งหลายไว้ใจเป็นเวลาสี่เดือนก่อนแล้วจึงจะบรรพชาอุปสมบทได้สุภัททะทูลว่าเขาพอใจอยู่บำรุงปฏิบัติภิกษุทั้งหลายสักสิบปี

    พระศาสดาทรงเห็นความตั้งใจจริงของสุภัททะดังนั้นจึงรับสั่งให้พระอานนท์นำสุภัททะไปบรรพชาอุปสมบทพระอานนท์รับพุทธบัญชาแล้วนำสุภัททะไป ณ ที่ส่วนหนึ่งปลงผมและหนวดแล้วบอกกรรมฐานให้ ให้ตั้งอยู่ในไตรสรณคมน์และศีลสำเร็จเป็นสามเณรบรรพชาแล้วนำมาเฝ้าพระศาสดาพระผู้ทรงมหากรุณาให้อุปสมบทแก่

    สุภัททะเป็นภิกษุโดยสมบูรณ์แล้ว ตรัสบอกกัมมัฏฐานอีกครั้งหนึ่ง

สุภัททะภิกษุใหม่ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะพยายามให้บรรลุพระอรหัตตผลในคืนนี้ก่อนที่พระศาสดาจะนิพพาน 

จึงออกไปเดินจงกรมอยู่ในที่สงัดแห่งหนึ่งในบริเวณอุทยานสาลวโนทยาน

บัดนี้ร่างกายของสุภัททะภิกษุห่อหุ้มด้วยผ้ากาสาวพัสตร์เมื่อต้องแสงจันทร์ในราตรีนั้นดูผิวพรรณของท่านเปล่งปลั่งงามอำไพ 

มัชฌยาม แห่งราตรีจวนจะสิ้นอยู่แล้วดวงรัชนีกลมโตเคลื่อนย้ายไปอยู่ทางท้องฟ้าด้านตะวันตก 

สภัททะภิกษุตั้งใจแน่วแน่ว่าจะบำเพ็ญเพียรคืนนี้ตลอดราตรี เพื่อบูชาพระศาสดาผู้จะนิพพานในปลายปัจฉิมยามดังนั้นแม้จะเหน็ดเหนื่อยอย่างไรก็ไม่ย่อท้อ

แสงจันทร์นวลผ่องสุกสกาวเมื่อครู่นี้ดูจะอับรัศมีลงสุภัททะภิกษุแหงนขึ้นดูท้องฟ้า เมฆก้อนใหญ่กำลังเคลื่อนเข้าบดบังแสงจันทร์จนมิดดวงไปแล้ว 

แต่ไม่นานนักเมฆก้อนนั้นก็เคลื่อนคล้อยไปแสงโสมสาดส่องลงมาสว่างนวลดังเดิม

ทันใดนั้นดวงปัญญาก็พลุ่งโพลงขึ้นในดวงใจของสุภัททะภิกษุเพราะนำดวงใจไปเที่ยบกับดวงจันทร์

อาท่านอุทานเบาๆจิตนี้เป็นธรรมชาติที่ผ่องใสมีรัศมีเหมือนดวงจันทร์แต่อาศัยกิเลสจรมาเป็นครั้งคราว 

จิตนี้จึงเศร้าหมองเหมือนก้อนเมฆบดบังดวงจันทร์ให้อับแสง

    และแล้ววิปัสสนาปัญญาก็โพลงขึ้นชำแรกกิเลสแทงทะลุบาปธรรมทั้งมวลที่ห่อหุ้มดวงจิตแหวกอวิชาและโมหะอันเป็นประดุจตาข่ายด้วยศัสตรา คือวิปัสสสนาชำระจิตให้บริสุทธิ์จากกิเลสอาสวะทั้งมวลบรรลุอรหัตตผลพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาแล้วลงจากที่จงกรมมาถวายบังคมบาทแห่งพระศาสดาแล้วนิ่งอยู่

    ภายใต้แสงจันทร์สีนวลยองใยนั้น พระผู้มีพระภาคบรรทมเหยียดพระวรกายในท่าสีหะไสยาแวดล้อมด้วยพุทธบริษัทมากหลายแผ่เป็นปริมณฑลกว้างออกไปสุดสายตาประดุจดวงจันทร์ที่ถูกแวดล้อมด้วยกลุ่มเมฆก็ปานกัน

    พระพุทธองค์ตรัสกับพระอานนท์ว่า อานนท์ เมื่อเราล่วงลับไปแล้วเธอทั้งหลายอาจคิดว่าบัดนี้พวกเธอไม่มีศาสดาแล้จะพึงว้าเหว่ไร้ที่พึ่ง

    อานนท์เอยพึงประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่าธรรมวินัยอันใดที่เราได้แสดงแล้วบัญญัติแล้ว ขอให้ธรมวินัยอันนั้นจงเป็นศาสดาของพวกเธอแทนเราต่อไปเธอทั้งหลายจงมีธรรมวินัยเป็นที่พึ่งเถิดอย่าได้มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย

    เมื่อพระอานนท์มิได้ทูลถามอะไรพระธรรมราชาจึงตรัสต่อไปว่า

    ดูกรภิกษุทั้งหลายผู้มาประชุมกันอยู่ ณ ที่นี้ผู้ใดมีความสงสัยเรื่องพระพุทธเจ้าพระธรรมพระสงฆ์ในมรรคหรือปฏิปทาข้อใดๆ ก็จงถามเสียบัดนี้เธอทั้งหลายจะได้ไม่เสียใจภายหลังว่ามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระศาสดาแล้ว มิได้ถามข้อสงสัยแห่งตน

    ภิกษุทุกรูปเงียบกริบบริเวณปรินิพพานมณฑลสงบเงียบไม่มีเสียงใดๆ เลยแม้จะมีพุทธบริษัทประชุมกันอยู่เป็นจำนวนมากก็ตามทุกคนปรารถนาจะฟังแต่พระพุทธดำรัสเพื่อเป็นเครื่องเตือนใจเป็นครั้งสุดท้าย

    บัดนี้พละกำลังของพระผู้มีพระภาคเจ้าเหลืออยู่น้อยเต็มทีแล้ว ประดุจน้ำที่เทราดไปในดินที่แตกระแหงย่อมพลันเหือดแห้งหายไปมิได้ปรากฏแก่สายตาถึงกระนั้นพระบรมโลกนาถก็ยังประทานปัจฉิมโอวาทเป็นพระพุทธดำรัสสุดท้ายว่า

    ดูกรภิกษุทั้งหลายบัดนี้เป็นวาระสุดท้ายแห่งเราแล้วเราขอเตือนเธอทั้งหลายให้จำมั่นไว้ว่าสิ่งทั้งปวงมีความเสื่อมและสิ้นไปเป็นธรรมดาเธอทั้งหลายจงอยู่ด้วยความไม่ประมาทเถิด

    ย่างเข้าสู่ปัจฉิมยามพระจันทร์โคจรไปทางขอบฟ้าทิศตะวันตกแสงโสมสาดส่องทิวไม้ลงมาท้องฟ้าเกลี้ยงเกลาปราศจากเมฆหมอกรัชนีแจ่มจรัสดูเหมือนจะจงใจส่องแสงเปล่งปลั่งเป็นพิเศษครั้งสุดท้ายแล้วสลัวลงเล็กน้อยเหมือนจงใจอาลัยในพระศาสดาผู้เป็นครูของเทวดาและมนุษย์

    พระผู้มีพระภาคมีพระกายสงบหลับพระเนตรสนิทพระอนุรุทธเถระซึ่งเป็นพระเถระผู้ใหญ่อยู่ในเวลานั้นและได้รับการยกย่องจากพระผู้มีพระภาคว่าเป็นเลิศทางทิพยจักขุ ได้เข้าฌานตาม ทราบว่าพระพุทธองค์เข้าสู่ปฐมฌานทุติยฌานตติยฌานและจตุตถฌานออกจากจตุถฌานแล้วเข้าสู่อรูปสมาบัติคืออากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะอากิญจัญญายตนะเนวสัญญานาสัญญายตนะและสัญญาเวทยิตนิโรธตามลำดับแล้วถอยออกมาจากสัญญาเวทยิตนิโรธจนถึงปฐมฌาน แล้วเข้าสู่ปฐมฌานจนถึงจตุตถฌานอีกเมื่อออกจากจตุตถฌานยังไม่ทันเข้าสู่อาสานัญจายตนะ พระองค์ก็ปรินิพพานในระหว่างนี้เอง

    ในที่สุดแม้พระองค์ก็ต้องประสบอวสานเหมือนคนทั้งหลาย พระธรรมที่พระองค์เคยพร่ำสอนมาตลอดพระชนม์ชีพว่าสัตว์ทั้งหลาย มีความตายเป็นที่สุดนั้นเป็นสัจธรรมที่ไม่ยกเว้นแม้แต่พระองค์เอง

    นึกย้อนหลังไปเมื่อสี่สิบห้าปีก่อนปรินิพพานพระองค์เป็นผู้โดดเดี่ยว เมื่อปัญจวัคคีย์ทอดทิ้งไปแล้วพระองค์ก็ไม่มีใครอีกเลยภายใต้โพธิบัลลังก์ครั้งกระนั้นแสงสว่างแห่งการตรัสรู้ได้โชติช่วงขึ้นพร้อมด้วยแสงสว่างแห่งรุ่งอรุณพระองค์มีเพียงหยาดน้ำค้างบนใบโพธิ์พฤกษ์เป็นเพื่อน ต้องเสด็จออกจากโพธิมณฑลไปพาราณสีด้วยพระบาทเปล่าถึงสิบวันเพียงเพื่อหาเพื่อนผู้รับคำแนะนำของพระองค์เพียงห้าคนแต่มาบัดนี้มีภิกษุสงฆ์สาวกเป็นจำนวนแสนจำนวนล้านมีหมู่ชนเป็นจำนวนมากเดินทางมาจากทิศานุทิศเพียงเพื่อได้เข้าเฝ้าพระองค์ บุคคลทั้งหลายรู้สึกว่าการได้เห็นพระพุทธเจ้านั้นเป็นความสุขอย่างยิ่ง

    เมื่อสี่สิบห้าปีมาแล้วพระองค์ทรงมีเพียงหญ้าคามัดหนึ่งที่นายโสตถิยะนำมาถวายและทรงทำเป็นที่รองประทับ มาบัดนี้มีเสนาสนะมากหลายที่สวยงามซึ่งผู้มีจิตศรัทธาสร้างอุทิศถวาย พระองค์เช่นเชตวันเวฬุวันชีวกัมพวันมหาวันปุพพารามนิโครธารามโฆสิตารามฯลฯ เศรษฐีคหบดีต่างแย่งชิงกันจองเพื่อให้พระองค์รับภัตตาหารของเขาแน่นอนทีเดียวหากพระองค์เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์คงจะไม่ได้รับความนิยมเลื่อมใสถึงขนาดนี้และไม่ยืนนานถึงปานนี้

    เมื่อสี่สิบห้าปีมาแล้วภายใต้โพธิพฤกษ์อันร่มเย็นริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชราพระองค์ได้บรรลุแล้วซึ่งกิเลสนิพพานกำจัดกิเลสและความมืดให้หมดไปและบัดนี้ภายใต้ต้นสาละทั้งคู่และความเยือกเย็นแห่งปัจฉิมยาม พระองค์ก็ดับแล้วด้วยขันธ์นิพพาน

    สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้มีพระรูปอันวิจิตรด้วยมหาปุริสลักษณะสามสิบสองประการประดับด้วยอนุพยัญชนะแปดสิบมีพระธรรมกายอันสำเร็จแล้วด้วยนานาคุณรัตนะ มีศีลขันธ์อันบริสุทธิ์ด้วยอาการทั้งปวงเป็นต้นถึงฝั่งแห่งความเป็นผู้ยิ่งใหญ่ด้วยยศด้วยบุญด้วยฤทธิ์ด้วยกำลังและด้วยปัญญาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นยังต้องดับแล้วด้วยการตกลงแห่งฝนคือมรณะ เหมือนกองอัคคีใหญ่ต้องดับมอดลงเพราะฝนห่าใหญ่ตกลงมาฉะนั้น

    พระองค์เคยตรัสไว้ว่าไม่ว่าพาลหรือบัณฑิตไม่ว่ากษัตริย์พราหมณ์ ไวศยะศูทรหรือจัณฑาล ในที่สุดก็ต้องบ่ายหน้าไปสู่ความตายเหมือนภาชนะไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ในที่สุดก็ต้องแตกสลายเหมือนกันหมดนั้นช่างเป็นความจริงเสียนี่กระไร

    อันความตายนี้มีอิทธิพลยิ่งใหญ่นักไม่มีใครสามารถต้านทานต่อสู้ด้วยวิธีไดๆ ได้เลยก้าวเข้าไปสู่ปราสาทแห่งกษัตริยาธิราชและแม้ในวงชีวิตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างสง่าผ่าเผยปราศจากความสะทกสะท้านใดๆเช่นเดียวกกับก้าวเข้าไปสู่กระท่อมน้อยของขอทานพระยามัจจุราชนี้เป็นตุลาการที่เที่ยงธรรมยิ่งนัก ไม่เคยลำเอียงหรือกินสินบนของใครเลยย่อมพิจารณาคดีตามบทพระอัยการและอ่านคำพิพากษาด้วยถ้อยคำอันหนักแน่นเด็จเดี่ยวไม่ฟังเสียงคัดค้านและขอร้องของใครท่ามกลางเสียงคร่ำครวญอันระคนด้วยกลิ่นธูปควันนั้นท่านได้ยื่นพระหัตถ์ออกกระชากให้ความหวังของทุกคนหลุดลอยและแล้วทุกอย่างก็เป็นไปตามพระบัญชาของพระองค์ เมื่อมาถึงจุดนี้ความยิ่งใหญ่ของผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายก็กลายเป็นเพียงนิยายที่เล่าสู่กันฟังเท่านั้น

    มงกุฏประดับเพชรก็มีค่าเท่ากับหมวกฟางพระคฑาอันมีลวดลายวิจิตรก็เหมือนท่อนไม้ที่ไร้ค่าเมื่อความตายมาถึงเข้าพระราชาก็ต้องถอดมงกุฏเพชรลงวาง ทิ้งพระคฑาไว้แล้วเดินเคียงคู่ไปกับชาวนาหรือขอทานผู้ทิ้งจอบเสียมหมวกฟางและคันไถหรือภาชนะขอทานไว้ให้ทายาทของตน

    พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานไปแล้วพระกายของพระองค์เหมือนคนทั้งหลายซึ่งต้องแตกสลายไปในที่สุดแต่ความดีและเกียรติคุณของพระองค์ยังคงดำรงอยู่ในโลกต่อไปอีกนานเท่าใดไม่อาจจะกำหนดได้ ความดีนี่เองที่เป็นสาระอันแท้จริงของชีวิต

    โอพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ประเสริฐพระองค์ผู้ทรงพระมหากรุณากว้างใหญ่ดุจห้วงมหรรณพมีน้ำพระทัยใสบริสุทธิ์ดุจน้ำค้างเมื่อรุ่งอรุณ ทรงมีพระทัยหนักแน่นดุจมหิดลรับได้ทั้งเรื่องดีและเรื่องร้ายทรงสละความสุขส่วนพระองค์ขวนขวายเพื่อความสงบร่มเย็นของปวงชนพระองค์เป็นผู้ประทานแสงสว่างแก่โลกภายในคือดวงจิตประดุจพระอาทิตย์ให้แสงสว่างแก่โลกภายนอกคือท้องฟ้า ปฐพีบัดนี้พระองค์ปรินิพพานเสียแล้วมองไม่เห็นแม้แต่เพียงพระสรีระซึ่งเคยรับใช้พระองค์โปรยปรายธรรมรัตน์ประหนึ่งม้าแก้วแห่งพระเจ้าจักรพรรดิ์เป็นพาหนะนำเจ้าของตรวจความสงบสุขแห่งประชากร

    โอพระมหามุนีผู้เป็นจอมชน บัดนี้ข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นประดุจนกในเวหาไร้โพธิ์หรือไทรที่จะจับเกาะประดุจเด็กน้อยผู้ขาดมารดาเหมือนเรือที่ลอยคว้างอยู่ในมหาสมุทรอ้างว้างว้าเหว่สุดประมาณจะหาใครเล่าผู้เสมอเสมือนพระองค์

    แม้พระอานนท์พุทธอนุชาเองก็ไม่สามารถจะอดกลั้นน้ำตาไว้ได้เป็นเวลายี่สิบห้าปีจำเดิมแต่รับหน้าที่พุทธอุปัฏฐากมาเคยรับใช้ใกล้ชิดพระพุทธองค์เสมือนเงาตามองค์บัดนี้พระพุทธองค์เสด็จจากไปเสียแล้วท่านรู้สึกว้าเหว่และเงียบเหงาไม่ได้เห็นพระองค์อีกต่อไปเวลายี่สิบห้าปีนานพอที่จะก่อความรู้สึกสะเทือนใจอย่างรุนแรงเมื่อมีการพลัดพราก

    แต่แล้วเรื่องทั้งหลายก็มาจบลงด้วยสัจธรรมที่พระองค์ทรงพร่ำสอนอยู่เสมอว่า

    สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นสิ่งนั้นย่อมมีการดับไปเป็นธรรมดา

    สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเกิดขึ้นเพราะมีเหตุสิ่งนั้นย่อมดับได้

    สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นในเบื้องต้นตั้งอยู่ในท่ามกลาง และดับไปในที่สุด

    บัดนี้พระพุทธองค์ดับแล้วดับอย่างหมดเชื้อทิ้งวิบากขันธ์และกิเลสานุสัยทั้งปวง ประดุจกองไฟดับลงแล้วเพราะหมดเชื้อฉะนั้น