ส ขภาพด ม ทางเล อก 9-11 ม ถ นายน 2560

ทักษิณ-แกนนำ นปช.อยู่เบื้องหลังเผาเมืองถลำลึกไม่ฟื้น !!

เผยแพร่: 30 มี.ค. 2560 06:23 ปรับปรุง: 30 มี.ค. 2560 08:28 โดย: MGR Online

เมืองไทย 360 องศา

ต้องกล่าวว่ามัน “ถลำลึก” ลงไปแบบจมดิ่งกันเลยทีเดียวกับ คำพิพากษาที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯฝ่ายความมั่นคง อดีต ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ ในคดีที่ถูกฟ้องหมิ่นประมาทจากการกล่าวพาดพิง นพ.เหวง โตจิราการ, นายจตุพร พรหมพันธุ์ และ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ สมาชิกพรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. ทำนองว่า เป็นผู้ก่อการร้ายเผาบ้านเผาเมือง ในช่วงก่อนการเลือกตั้งเมื่อปี 2554 โดยมีการยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2558

โดยฝ่ายโจทก์อ้างว่า คำพูดดังกล่าวทำให้พวกเขาเสียหาย อีกทั้งยังเป็นการพูดจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเสียงเลือกตั้งให้แก่ตนเอง หรือผู้สมัครอื่น หรือพรรคการเมืองใด หรือให้งดเว้นการลงคะแนนให้แก่ผู้สมัคร หรือพรรคการเมืองใด ความผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 53, 137

ต่อมาเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2560 ศาลได้พิพากษาโดยพิเคราะห์จากหลักฐานทั้งฝ่ายโจทก์ และจำเลย แล้วเห็นว่า การที่ นายสุเทพ จำเลย ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน ระบุว่า ผู้เสียหายทั้งสามมีส่วนร่วมในการเผาบ้านเผาเมืองนั้น ก็ปรากฏว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และได้รับข้อมูลจากรายงานการสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ว่า ในช่วงเหตุการณ์ชุมนุมของ นปช. ในปี 2553 มีการเผาห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ และศาลากลางจังหวัด 3 แห่ง

ซึ่งการกระทำนั้นเป็นขบวนการที่มี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และแกนนำ นปช. อยู่เบื้องหลัง กระทั่ง ศอฉ. ได้สั่งให้ยุติการชุมนุม เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2553 และวันเดียวกัน แกนนำ นปช. ก็ได้เข้ามอบตัว ดังนั้น จึงมีเหตุให้จำเลยเชื่อโดยสุจริตใจ ไม่มีเหตุว่าเป็นการกล่าวเท็จ และต่อมายังปรากฏว่า ดีเอสไอได้สรุปสำนวนส่งอัยการยื่นฟ้องแกนนำ นปช. ในคดีก่อการร้ายต่อศาล ซึ่งขณะนั้นผู้เสียหายใช้เอกสิทธิ์ ส.ส. ขอเลื่อนคดี ดังนั้น สิ่งที่จำเลยกล่าวจึงเป็นข้อเท็จจริงที่มีอยู่ และเป็นการกล่าวถึงข้อเท็จจริงตามกรอบกฎหมาย ไม่ได้เป็นการสร้างข้อเท็จจริงขึ้นมาเอง”

ส่วนที่จำเลยกล่าวว่า นปช. เกี่ยวพันกับพรรคเพื่อไทยนั้น พบว่า นอกจากผู้เสียหายเป็นแกนนำ นปช. แล้ว ยังเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย และพรรคเพื่อไทย ได้ส่งผู้เสียหายทั้งสามรายลงสมัครเป็น ส.ส. บัญชีรายชื่อ โดย นายจตุพร อยู่ลำดับที่ 8 นายณัฐวุฒิ ลำดับที่ 9 และ นพ.เหวง ลำดับที่ 19 ซึ่งถือเป็นรายชื่อในลำดับต้นๆ แสดงให้เห็นว่า พรรคเพื่อไทยให้ความสำคัญ และผู้เสียหายทั้งสามรายยังได้รับเลือกตั้งให้เป็น ส.ส. การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งฯ

“ดังนั้น การกระทำของจำเลยจึงไม่อาจรับฟังได้ว่าเป็นความเท็จ เป็นการตอบคำถามโดยอาศัยข้อเท็จจริงตามที่ได้ความมา และเป็นการรายงานสถานการณ์ให้ประชาชนทั่วไปได้รับทราบในฐานะที่จำเลยเป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง จึงไม่เป็นความผิดตามคำฟ้อง พิพากษายกฟ้อง”

แน่นอนว่า ผลจากคำพิพากษาดังกล่าวย่อมทำให้ฝ่ายจำเลย คือ สุเทพ เทือกสุบรรณ พอใจเพราะไม่มีความผิดตามฟ้อง แต่ในทางตรงข้ามย่อมต้องเป็นผลลบกับอีกฝ่ายอย่างมาก

แม้ว่าในคำพิพากษาระบุในลักษณะที่ว่าสาเหตุที่ สุเทพ ไม่มีความผิด เนื่องจากเป็นการพูดตามรายงานของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และต่อมาก็มีการสรุปสำนวนส่งฟ้องต่อศาลในข้อหาก่อการร้ายในฐานะรองนายกฯฝ่ายความมั่นคง ไม่ได้กล่าวขึ้นลอยๆ

อย่างไรก็ดี เมื่อไปเชื่อมโยงกับคดีอื่นๆ ที่คนพวกนี้กำลังถูกดำเนินคดี รวมไปถึง นปช. หลายคนที่ถูกศาลพิพากษาออกมาแล้วมันยิ่งเพิ่มน้ำหนักให้เห็นการการชุมนุมของ นปช. ภายใต้การนำของพวกเขาไม่ใช่เป็นการชุมนุมโดยสงบ แต่มีการยุยงปลุกปั่นให้เกิดความรุนแรง จนมีเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมือง มีการเผาห้างเซ็นทรัล เวิลด์ มีการเผาศาลากลางจังหวัดหลายแห่งตามมา

ขณะเดียวกัน ในเวลาต่อมายังมีการดำเนินคดีกับกลุ่มคนที่เรียกว่า “ชายชุดดำ” พร้อมหลักฐานที่เป็นอาวุธสงครามจำนวนมาก ล่าสุด ที่เห็นชัดก็คือการเข้าตรวจค้นจับกุมเครือข่ายของ “โกตี๋” วุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ ในย่านปทุมธานี และอีก 8 จังหวัด 7 จุด พบอาวุธสงคราม และเครื่องกระสุนหลายรายการ และได้ผู้ต้องหารวม 9 คนซึ่งการจับกุมดังกล่าวเรียกว่าเป็น “คลังแสง” ย่อมๆ ได้เลยทีเดียว

แม้ว่าการตรวจค้นครั้งนี้จะไม่ได้ตัวเจ้าของบ้านและคนครอบครองอาวุธดังกล่าว เนื่องจาก โกตี๋ คนนี้ได้หลบหนีหมายจับคดีความมั่นคงและคดี “หมิ่นเบื้องสูง” ไปก่อนหน้านี้นานหลายเดือนแล้ว และจนบัดนี้เจ้าหน้าที่ก็ยังไม่อาจจับตัวมาดำเนินคดีได้ ซึ่งผลจากการตรวจค้นคราวนี้ “โกตี๋” กับพวกก็ถูกออกหมายจับถูกดำเนินคดีที่เกี่ยวกับการครอบครองอาวุธสงคราม มีความผิดหลายกระทงมีโทษหนัก

ขณะเดียวกัน หากโฟกัสไปที่เฉพาะบุคคลอย่าง “โกตี๋” ในวงการมีใครไม่รู้บ้างว่าเขาเป็น นปช. หรือ “คนเสื้อแดง” ในแบบ “ฮาร์ดคอร์” หรือเคลื่อนไหวในแบบรุนแรง ซึ่งแน่นอนว่า สาเหตุหลักที่ทำให้เขาเคลื่อนไหวแบบนั้นได้อย่างสะดวกก็เป็นเพราะ “มีปลอกคอ” มีเจ้าหน้าที่รัฐที่ฝักใฝ่การเมืองคอยให้ท้ายอุ้มชูจนเหิมเกริมก่อเหตุแบบไม่เกรงกลัวกฎหมายมาอย่างต่อเนื่อง แม้กระทั่งจาบจ้วงเบื้องสูง

มาวันนี้เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไปมีการดำเนินคดีตามกฎหมายกับคนพวกนี้ บางคนก็ต้องหลบหนีหัวซุกหัวซุนอยู่ไม่เป็นสุข และอย่าได้แปลกใจที่จะได้เห็นบรรดาแกนนำของ นปช. บางคน เช่น เหวง โตจิราการ จะรีบออกมาปฏิเสธว่าคนพวกนี้ไม่ใช่ นปช. ไม่ใช่พวกเดียวกัน เป็น “แดงเทียม” อะไรประมาณนี้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะถ้าขึ้นออกมารับว่าเป็นคนกลุ่มเดียวกัน มันก็เสี่ยงต่อความผิดในคดี “ก่อการร้าย” ที่ตัวเขากำลังถูกฟ้องในศาลเวลานี้หรือเปล่า โดยคดีนี้มีอัตราโทษสูงมาก

ดังนั้น เมื่อประเมินจากความเคลื่อนไหว และพิจารณาจากคำพิพากษาข้างต้นมันก็ยิ่งตอกย้ำและเป็นองค์ประกอบได้อย่างดีว่าการชุมนุมของ นปช. ที่ผ่านมา ไม่ใช่การชุมนุมโดยสงบ แต่เป็นการก่อความรุนแรง โดยมีการระบุว่า ทักษิณ ชินวัตร กับพวกแกนนำดังกล่าวอยู่เบื้องหลังโดยเฉพาะการเผาเมือง ซึ่งมันจะยิ่งถลำลึกดำดิ่งลงไปเรื่อยๆ !!