7 habits of highly effective ม อะไรบ าง

สารานุกรมการบริหารและการจัดการ อุปนิสัย 7 ประการของผู้ประสบความสำเร็จ

7 habits of highly effective ม อะไรบ าง

Stephen R. Covey เขียนหนังสือชื่อ 7 Habits of Highly Effective People (1989) หรือ อุปนิสัย 7 ประการของผู้ประสบความสำเร็จด้วยความเชื่อว่า ความคิดเห็นที่เรามีต่อสิ่งใด ล้วนเป็นผลมาจากการรับรู้ (perception) ของเราที่มีต่อสิ่งนั้น การแก้ไขเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ใดที่เกิดขึ้นกับตัวเรา จะต้องเปลี่ยนที่การรับรู้ของเราเอง หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่มียอดขายตั้งแต่จัดพิมพ์ครั้งแรกถึง 25 ล้านเล่ม

จากการศึกษาแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับความสำเร็จในช่วงระยะกว่า 200 ปีที่ผ่านมา Covey ได้พบว่า ได้มีการเปลี่ยนแปลงนิยามความหมายของความสำเร็จเป็นสามช่วง กล่าวคือ

ก่อนทศวรรษที่ 1920: ความสำเร็จเป็นเรื่องของการมีจริยธรรมเป็นคุณสมบัติประจำตัว (character ethic) เช่น ความซื่อสัตย์, การถ่อมตัว, ความซื่อตรง, ความอดทนอดกลั้น, ความกล้าหาญ, ความยุติธรรม, ความเรียบง่าย หากใครสามารถดำรงตนให้เป็นผู้มีคุณสมบัติทางจริยธรรม ผู้นั้นก็คือผู้ประสบความสำเร็จ

ทศวรรษที่ 1920 เป็นต้นมา: ความสำเร็จได้เปลี่ยนความหมายมาเป็นเรื่องของบุคลิกภาพทางจริยธรรม (personality ethic) ได้แก่ภาพ, ทัศนคติ, และพฤติกรรมที่แสดงให้ปรากฏในสังคม ผู้ประสบความสำเร็จจึงเป็นผู้ที่สังคมให้การยอมรับในภาพ ทัศนคติ และพฤติกรรมซึ่งเป็นที่ยอมรับ

ปัจจุบัน ความสำเร็จเปลี่ยนความหมายมาเป็นการขึ้นสู่จุดสูงสุดในเรื่องต่าง ๆ เช่น การงาน ฐานะ ความรู้ ชื่อเสียง ทุกคนพยายามประหยัดเวลาในการบรรลุเป้าหมายด้วยการเลือกบุคคล ทีม หรือองค์กรที่ประสบความสำเร็จตามความเห็นของตนและขอให้เขาเหล่านั้นสอนหรือให้คำแนะนำว่าทำอย่างไรจึงประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตาม ความต้องการรวบรัดประหยัดเวลาในการฝึกฝนเรียนรู้เช่นนี้อาจให้ผลบ้างในระยะต้น แต่การลอกเลียนแบบคนอื่นก็ไม่ได้เป็นการปรับปรุงแก้ไขที่ฐานราก ความสำเร็จที่ได้มานั้นจึงมักเป็นความสำเร็จที่ฉาบฉวย ไม่ยั่งยืน

Covey กล่าวว่า ความสำเร็จที่แท้จริงอยู่ที่วิธีการมองปัญหา ผู้ที่ต้องการประสบความสำเร็จแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นบุคคล ทีมงาน หรือองค์กร จะต้องยอมเปลี่ยนแปลงทั้งวิธีคิดและการปฏิบัติของตน (paradigm shift) โดยเปลี่ยนให้ลึกถึงฐานราก ไม่ใช่เพียงแค่ปรับทัศนคติหรือพฤติกรรมแบบผิวเผิน นอกจากนั้นเขายังได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับพัฒนาการสู่ความมีวุฒิภาวะ (maturity continuum) โดยมีแนวคิดว่า มนุษย์มีพัฒนาการจากเด็กสู่ความเป็นผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะเป็น 3 ระยะ o ระยะที่หนึ่งเรียกว่า ระยะที่ต้องพึ่งพาผู้อื่น (dependence) มนุษย์ทุกคนเริ่มชีวิตด้วยการเป็นทารกที่ต้องพึ่งพาผู้อื่นเลี้ยงดูให้เติบโต หัวใจสำคัญของความสัมพันธ์คือ “you” o ระยะที่สองเรียกว่า ระยะที่พึ่งพาตนเอง (independence) เป็นระยะที่มีอิสระจากปัจจัยภายนอกและการเกื้อหนุนของผู้อื่น เป็นเป้าหมายของคนหลายคนซึ่งมองว่าความมีอิสระจากการต้องพึ่งพาผู้อื่นเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่มากที่สุดเรื่องหนึ่งของชีวิต หัวใจสำคัญของความสัมพันธ์คือ “I” `อุปนิสัย 7 ประการของผู้ประสบความสำเร็จ`0

`อุปนิสัย 7 ประการของผู้ประสบความสำเร็จ`1

นิสัยของผู้ประสบความสำเร็จ เน้น เป้าหมาย 1. เป็นฝ่ายรุก การค้นพบและเข้าใจในตนเอง (self mastery) เปลี่ยนจากพึ่งคนอื่น (dependence) มาเป็นพึ่งตนเอง (independence) 2. นำเป้าหมายมาเป็นจุดเริ่ม 3. เลือกทำสิ่งสำคัญก่อน 4. ชนะด้วยกันทุกฝ่าย การพัฒนาทีมงาน (teamwork) เปลี่ยนจากการพึ่งตนเอง (independence) มาเป็นพึ่งพาอาศัยกัน (interdependence) 5. เข้าใจสาเหตุของปัญหา 6. รวมพลังและความคิด 7. หมั่นฝึกฝนพัฒนาอุปนิสัย ความเจริญก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง (growth and improvement) รวมอุปนิสัยทั้ง 6 เข้าด้วยกัน (embodiment) เป็นอุปนิสัยของผู้ประสบความสำเร็จ

อุปนิสัย 7 ประการของผู้ประสบความสำเร็จ`2 *อุปนิสัย 7 ประการของผู้ประสบความสำเร็จ*`3

`อุปนิสัย 7 ประการของผู้ประสบความสำเร็จ`4

7 habits of highly effective ม อะไรบ าง
อุปนิสัย 7 ประการของผู้ประสบความสำเร็จ`5 *อุปนิสัย 7 ประการของผู้ประสบความสำเร็จ*`6

`อุปนิสัย 7 ประการของผู้ประสบความสำเร็จ`7

อุปนิสัย 7 ประการของผู้ประสบความสำเร็จ`8 *อุปนิสัย 7 ประการของผู้ประสบความสำเร็จ*`9

` Stephen R. Covey เขียนหนังสือชื่อ 7 Habits of Highly Effective People (1989) หรือ อุปนิสัย 7 ประการของผู้ประสบความสำเร็จด้วยความเชื่อว่า ความคิดเห็นที่เรามีต่อสิ่งใด ล้วนเป็นผลมาจากการรับรู้ (perception) ของเราที่มีต่อสิ่งนั้น การแก้ไขเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ใดที่เกิดขึ้นกับตัวเรา จะต้องเปลี่ยนที่การรับรู้ของเราเอง หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่มียอดขายตั้งแต่จัดพิมพ์ครั้งแรกถึง 25 ล้านเล่ม`0

` Stephen R. Covey เขียนหนังสือชื่อ 7 Habits of Highly Effective People (1989) หรือ อุปนิสัย 7 ประการของผู้ประสบความสำเร็จด้วยความเชื่อว่า ความคิดเห็นที่เรามีต่อสิ่งใด ล้วนเป็นผลมาจากการรับรู้ (perception) ของเราที่มีต่อสิ่งนั้น การแก้ไขเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ใดที่เกิดขึ้นกับตัวเรา จะต้องเปลี่ยนที่การรับรู้ของเราเอง หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่มียอดขายตั้งแต่จัดพิมพ์ครั้งแรกถึง 25 ล้านเล่ม`1

` Stephen R. Covey เขียนหนังสือชื่อ 7 Habits of Highly Effective People (1989) หรือ อุปนิสัย 7 ประการของผู้ประสบความสำเร็จด้วยความเชื่อว่า ความคิดเห็นที่เรามีต่อสิ่งใด ล้วนเป็นผลมาจากการรับรู้ (perception) ของเราที่มีต่อสิ่งนั้น การแก้ไขเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ใดที่เกิดขึ้นกับตัวเรา จะต้องเปลี่ยนที่การรับรู้ของเราเอง หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่มียอดขายตั้งแต่จัดพิมพ์ครั้งแรกถึง 25 ล้านเล่ม`2

Stephen R. Covey เขียนหนังสือชื่อ 7 Habits of Highly Effective People (1989) หรือ อุปนิสัย 7 ประการของผู้ประสบความสำเร็จด้วยความเชื่อว่า ความคิดเห็นที่เรามีต่อสิ่งใด ล้วนเป็นผลมาจากการรับรู้ (perception) ของเราที่มีต่อสิ่งนั้น การแก้ไขเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ใดที่เกิดขึ้นกับตัวเรา จะต้องเปลี่ยนที่การรับรู้ของเราเอง หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่มียอดขายตั้งแต่จัดพิมพ์ครั้งแรกถึง 25 ล้านเล่ม`3 Stephen R. Covey เขียนหนังสือชื่อ 7 Habits of Highly Effective People (1989) หรือ อุปนิสัย 7 ประการของผู้ประสบความสำเร็จด้วยความเชื่อว่า ความคิดเห็นที่เรามีต่อสิ่งใด ล้วนเป็นผลมาจากการรับรู้ (perception) ของเราที่มีต่อสิ่งนั้น การแก้ไขเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ใดที่เกิดขึ้นกับตัวเรา จะต้องเปลี่ยนที่การรับรู้ของเราเอง หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่มียอดขายตั้งแต่จัดพิมพ์ครั้งแรกถึง 25 ล้านเล่ม`4

` Stephen R. Covey เขียนหนังสือชื่อ 7 Habits of Highly Effective People (1989) หรือ อุปนิสัย 7 ประการของผู้ประสบความสำเร็จด้วยความเชื่อว่า ความคิดเห็นที่เรามีต่อสิ่งใด ล้วนเป็นผลมาจากการรับรู้ (perception) ของเราที่มีต่อสิ่งนั้น การแก้ไขเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ใดที่เกิดขึ้นกับตัวเรา จะต้องเปลี่ยนที่การรับรู้ของเราเอง หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่มียอดขายตั้งแต่จัดพิมพ์ครั้งแรกถึง 25 ล้านเล่ม`5

` Stephen R. Covey เขียนหนังสือชื่อ 7 Habits of Highly Effective People (1989) หรือ อุปนิสัย 7 ประการของผู้ประสบความสำเร็จด้วยความเชื่อว่า ความคิดเห็นที่เรามีต่อสิ่งใด ล้วนเป็นผลมาจากการรับรู้ (perception) ของเราที่มีต่อสิ่งนั้น การแก้ไขเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ใดที่เกิดขึ้นกับตัวเรา จะต้องเปลี่ยนที่การรับรู้ของเราเอง หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่มียอดขายตั้งแต่จัดพิมพ์ครั้งแรกถึง 25 ล้านเล่ม`6

` Stephen R. Covey เขียนหนังสือชื่อ 7 Habits of Highly Effective People (1989) หรือ อุปนิสัย 7 ประการของผู้ประสบความสำเร็จด้วยความเชื่อว่า ความคิดเห็นที่เรามีต่อสิ่งใด ล้วนเป็นผลมาจากการรับรู้ (perception) ของเราที่มีต่อสิ่งนั้น การแก้ไขเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ใดที่เกิดขึ้นกับตัวเรา จะต้องเปลี่ยนที่การรับรู้ของเราเอง หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่มียอดขายตั้งแต่จัดพิมพ์ครั้งแรกถึง 25 ล้านเล่ม`7

Stephen R. Covey เขียนหนังสือชื่อ 7 Habits of Highly Effective People (1989) หรือ อุปนิสัย 7 ประการของผู้ประสบความสำเร็จด้วยความเชื่อว่า ความคิดเห็นที่เรามีต่อสิ่งใด ล้วนเป็นผลมาจากการรับรู้ (perception) ของเราที่มีต่อสิ่งนั้น การแก้ไขเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ใดที่เกิดขึ้นกับตัวเรา จะต้องเปลี่ยนที่การรับรู้ของเราเอง หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่มียอดขายตั้งแต่จัดพิมพ์ครั้งแรกถึง 25 ล้านเล่ม`8 Stephen R. Covey เขียนหนังสือชื่อ 7 Habits of Highly Effective People (1989) หรือ อุปนิสัย 7 ประการของผู้ประสบความสำเร็จด้วยความเชื่อว่า ความคิดเห็นที่เรามีต่อสิ่งใด ล้วนเป็นผลมาจากการรับรู้ (perception) ของเราที่มีต่อสิ่งนั้น การแก้ไขเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ใดที่เกิดขึ้นกับตัวเรา จะต้องเปลี่ยนที่การรับรู้ของเราเอง หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่มียอดขายตั้งแต่จัดพิมพ์ครั้งแรกถึง 25 ล้านเล่ม`9

` จากการศึกษาแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับความสำเร็จในช่วงระยะกว่า 200 ปีที่ผ่านมา Covey ได้พบว่า ได้มีการเปลี่ยนแปลงนิยามความหมายของความสำเร็จเป็นสามช่วง กล่าวคือ`0

ด่วน ไม่ด่วน สำคัญ

Quadrant 1

• เรื่องวิกฤต • ปัญหากดดัน • โครงการที่มีกำหนดเส้นตาย

Quadrant 2

• การสร้างความสัมพันธ์ • การพัฒนาระยะยาว • การวางแผน

ไม่สำคัญ

Quadrant 3

• เรื่องแทรก • โทรศัพท์, การประชุม • กิจกรรมตามสมัยนิยม

Quadrant 4

• เรื่องเบ็ดเตล็ดปลีกย่อย • เรื่องเสียเวลาต่าง ๆ • เรื่องสนุกสนานบันเทิง

` จากการศึกษาแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับความสำเร็จในช่วงระยะกว่า 200 ปีที่ผ่านมา Covey ได้พบว่า ได้มีการเปลี่ยนแปลงนิยามความหมายของความสำเร็จเป็นสามช่วง กล่าวคือ`1

` จากการศึกษาแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับความสำเร็จในช่วงระยะกว่า 200 ปีที่ผ่านมา Covey ได้พบว่า ได้มีการเปลี่ยนแปลงนิยามความหมายของความสำเร็จเป็นสามช่วง กล่าวคือ`2

` จากการศึกษาแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับความสำเร็จในช่วงระยะกว่า 200 ปีที่ผ่านมา Covey ได้พบว่า ได้มีการเปลี่ยนแปลงนิยามความหมายของความสำเร็จเป็นสามช่วง กล่าวคือ`3

` จากการศึกษาแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับความสำเร็จในช่วงระยะกว่า 200 ปีที่ผ่านมา Covey ได้พบว่า ได้มีการเปลี่ยนแปลงนิยามความหมายของความสำเร็จเป็นสามช่วง กล่าวคือ`4

` จากการศึกษาแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับความสำเร็จในช่วงระยะกว่า 200 ปีที่ผ่านมา Covey ได้พบว่า ได้มีการเปลี่ยนแปลงนิยามความหมายของความสำเร็จเป็นสามช่วง กล่าวคือ`5

` จากการศึกษาแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับความสำเร็จในช่วงระยะกว่า 200 ปีที่ผ่านมา Covey ได้พบว่า ได้มีการเปลี่ยนแปลงนิยามความหมายของความสำเร็จเป็นสามช่วง กล่าวคือ`6

` จากการศึกษาแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับความสำเร็จในช่วงระยะกว่า 200 ปีที่ผ่านมา Covey ได้พบว่า ได้มีการเปลี่ยนแปลงนิยามความหมายของความสำเร็จเป็นสามช่วง กล่าวคือ`7

` จากการศึกษาแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับความสำเร็จในช่วงระยะกว่า 200 ปีที่ผ่านมา Covey ได้พบว่า ได้มีการเปลี่ยนแปลงนิยามความหมายของความสำเร็จเป็นสามช่วง กล่าวคือ`8

จากการศึกษาแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับความสำเร็จในช่วงระยะกว่า 200 ปีที่ผ่านมา Covey ได้พบว่า ได้มีการเปลี่ยนแปลงนิยามความหมายของความสำเร็จเป็นสามช่วง กล่าวคือ`9 ก่อนทศวรรษที่ 1920: ความสำเร็จเป็นเรื่องของการมีจริยธรรมเป็นคุณสมบัติประจำตัว (character ethic) เช่น ความซื่อสัตย์, การถ่อมตัว, ความซื่อตรง, ความอดทนอดกลั้น, ความกล้าหาญ, ความยุติธรรม, ความเรียบง่าย หากใครสามารถดำรงตนให้เป็นผู้มีคุณสมบัติทางจริยธรรม ผู้นั้นก็คือผู้ประสบความสำเร็จ`0

ก่อนทศวรรษที่ 1920: ความสำเร็จเป็นเรื่องของการมีจริยธรรมเป็นคุณสมบัติประจำตัว (character ethic) เช่น ความซื่อสัตย์, การถ่อมตัว, ความซื่อตรง, ความอดทนอดกลั้น, ความกล้าหาญ, ความยุติธรรม, ความเรียบง่าย หากใครสามารถดำรงตนให้เป็นผู้มีคุณสมบัติทางจริยธรรม ผู้นั้นก็คือผู้ประสบความสำเร็จ`1 ก่อนทศวรรษที่ 1920: ความสำเร็จเป็นเรื่องของการมีจริยธรรมเป็นคุณสมบัติประจำตัว (character ethic) เช่น ความซื่อสัตย์, การถ่อมตัว, ความซื่อตรง, ความอดทนอดกลั้น, ความกล้าหาญ, ความยุติธรรม, ความเรียบง่าย หากใครสามารถดำรงตนให้เป็นผู้มีคุณสมบัติทางจริยธรรม ผู้นั้นก็คือผู้ประสบความสำเร็จ2 ก่อนทศวรรษที่ 1920: ความสำเร็จเป็นเรื่องของการมีจริยธรรมเป็นคุณสมบัติประจำตัว (character ethic) เช่น ความซื่อสัตย์, การถ่อมตัว, ความซื่อตรง, ความอดทนอดกลั้น, ความกล้าหาญ, ความยุติธรรม, ความเรียบง่าย หากใครสามารถดำรงตนให้เป็นผู้มีคุณสมบัติทางจริยธรรม ผู้นั้นก็คือผู้ประสบความสำเร็จ3 ก่อนทศวรรษที่ 1920: ความสำเร็จเป็นเรื่องของการมีจริยธรรมเป็นคุณสมบัติประจำตัว (character ethic) เช่น ความซื่อสัตย์, การถ่อมตัว, ความซื่อตรง, ความอดทนอดกลั้น, ความกล้าหาญ, ความยุติธรรม, ความเรียบง่าย หากใครสามารถดำรงตนให้เป็นผู้มีคุณสมบัติทางจริยธรรม ผู้นั้นก็คือผู้ประสบความสำเร็จ4 ก่อนทศวรรษที่ 1920: ความสำเร็จเป็นเรื่องของการมีจริยธรรมเป็นคุณสมบัติประจำตัว (character ethic) เช่น ความซื่อสัตย์, การถ่อมตัว, ความซื่อตรง, ความอดทนอดกลั้น, ความกล้าหาญ, ความยุติธรรม, ความเรียบง่าย หากใครสามารถดำรงตนให้เป็นผู้มีคุณสมบัติทางจริยธรรม ผู้นั้นก็คือผู้ประสบความสำเร็จ5 ก่อนทศวรรษที่ 1920: ความสำเร็จเป็นเรื่องของการมีจริยธรรมเป็นคุณสมบัติประจำตัว (character ethic) เช่น ความซื่อสัตย์, การถ่อมตัว, ความซื่อตรง, ความอดทนอดกลั้น, ความกล้าหาญ, ความยุติธรรม, ความเรียบง่าย หากใครสามารถดำรงตนให้เป็นผู้มีคุณสมบัติทางจริยธรรม ผู้นั้นก็คือผู้ประสบความสำเร็จ`6

` ก่อนทศวรรษที่ 1920: ความสำเร็จเป็นเรื่องของการมีจริยธรรมเป็นคุณสมบัติประจำตัว (character ethic) เช่น ความซื่อสัตย์, การถ่อมตัว, ความซื่อตรง, ความอดทนอดกลั้น, ความกล้าหาญ, ความยุติธรรม, ความเรียบง่าย หากใครสามารถดำรงตนให้เป็นผู้มีคุณสมบัติทางจริยธรรม ผู้นั้นก็คือผู้ประสบความสำเร็จ`7

` ก่อนทศวรรษที่ 1920: ความสำเร็จเป็นเรื่องของการมีจริยธรรมเป็นคุณสมบัติประจำตัว (character ethic) เช่น ความซื่อสัตย์, การถ่อมตัว, ความซื่อตรง, ความอดทนอดกลั้น, ความกล้าหาญ, ความยุติธรรม, ความเรียบง่าย หากใครสามารถดำรงตนให้เป็นผู้มีคุณสมบัติทางจริยธรรม ผู้นั้นก็คือผู้ประสบความสำเร็จ`8

ก่อนทศวรรษที่ 1920: ความสำเร็จเป็นเรื่องของการมีจริยธรรมเป็นคุณสมบัติประจำตัว (character ethic) เช่น ความซื่อสัตย์, การถ่อมตัว, ความซื่อตรง, ความอดทนอดกลั้น, ความกล้าหาญ, ความยุติธรรม, ความเรียบง่าย หากใครสามารถดำรงตนให้เป็นผู้มีคุณสมบัติทางจริยธรรม ผู้นั้นก็คือผู้ประสบความสำเร็จ`9 ทศวรรษที่ 1920 เป็นต้นมา: ความสำเร็จได้เปลี่ยนความหมายมาเป็นเรื่องของบุคลิกภาพทางจริยธรรม (personality ethic) ได้แก่ภาพ, ทัศนคติ, และพฤติกรรมที่แสดงให้ปรากฏในสังคม ผู้ประสบความสำเร็จจึงเป็นผู้ที่สังคมให้การยอมรับในภาพ ทัศนคติ และพฤติกรรมซึ่งเป็นที่ยอมรับ`0

` ทศวรรษที่ 1920 เป็นต้นมา: ความสำเร็จได้เปลี่ยนความหมายมาเป็นเรื่องของบุคลิกภาพทางจริยธรรม (personality ethic) ได้แก่ภาพ, ทัศนคติ, และพฤติกรรมที่แสดงให้ปรากฏในสังคม ผู้ประสบความสำเร็จจึงเป็นผู้ที่สังคมให้การยอมรับในภาพ ทัศนคติ และพฤติกรรมซึ่งเป็นที่ยอมรับ`1

` ทศวรรษที่ 1920 เป็นต้นมา: ความสำเร็จได้เปลี่ยนความหมายมาเป็นเรื่องของบุคลิกภาพทางจริยธรรม (personality ethic) ได้แก่ภาพ, ทัศนคติ, และพฤติกรรมที่แสดงให้ปรากฏในสังคม ผู้ประสบความสำเร็จจึงเป็นผู้ที่สังคมให้การยอมรับในภาพ ทัศนคติ และพฤติกรรมซึ่งเป็นที่ยอมรับ`2

ทศวรรษที่ 1920 เป็นต้นมา: ความสำเร็จได้เปลี่ยนความหมายมาเป็นเรื่องของบุคลิกภาพทางจริยธรรม (personality ethic) ได้แก่ภาพ, ทัศนคติ, และพฤติกรรมที่แสดงให้ปรากฏในสังคม ผู้ประสบความสำเร็จจึงเป็นผู้ที่สังคมให้การยอมรับในภาพ ทัศนคติ และพฤติกรรมซึ่งเป็นที่ยอมรับ`3 ทศวรรษที่ 1920 เป็นต้นมา: ความสำเร็จได้เปลี่ยนความหมายมาเป็นเรื่องของบุคลิกภาพทางจริยธรรม (personality ethic) ได้แก่ภาพ, ทัศนคติ, และพฤติกรรมที่แสดงให้ปรากฏในสังคม ผู้ประสบความสำเร็จจึงเป็นผู้ที่สังคมให้การยอมรับในภาพ ทัศนคติ และพฤติกรรมซึ่งเป็นที่ยอมรับ`4

` ทศวรรษที่ 1920 เป็นต้นมา: ความสำเร็จได้เปลี่ยนความหมายมาเป็นเรื่องของบุคลิกภาพทางจริยธรรม (personality ethic) ได้แก่ภาพ, ทัศนคติ, และพฤติกรรมที่แสดงให้ปรากฏในสังคม ผู้ประสบความสำเร็จจึงเป็นผู้ที่สังคมให้การยอมรับในภาพ ทัศนคติ และพฤติกรรมซึ่งเป็นที่ยอมรับ`5

ทศวรรษที่ 1920 เป็นต้นมา: ความสำเร็จได้เปลี่ยนความหมายมาเป็นเรื่องของบุคลิกภาพทางจริยธรรม (personality ethic) ได้แก่ภาพ, ทัศนคติ, และพฤติกรรมที่แสดงให้ปรากฏในสังคม ผู้ประสบความสำเร็จจึงเป็นผู้ที่สังคมให้การยอมรับในภาพ ทัศนคติ และพฤติกรรมซึ่งเป็นที่ยอมรับ`6 ทศวรรษที่ 1920 เป็นต้นมา: ความสำเร็จได้เปลี่ยนความหมายมาเป็นเรื่องของบุคลิกภาพทางจริยธรรม (personality ethic) ได้แก่ภาพ, ทัศนคติ, และพฤติกรรมที่แสดงให้ปรากฏในสังคม ผู้ประสบความสำเร็จจึงเป็นผู้ที่สังคมให้การยอมรับในภาพ ทัศนคติ และพฤติกรรมซึ่งเป็นที่ยอมรับ7 ทศวรรษที่ 1920 เป็นต้นมา: ความสำเร็จได้เปลี่ยนความหมายมาเป็นเรื่องของบุคลิกภาพทางจริยธรรม (personality ethic) ได้แก่ภาพ, ทัศนคติ, และพฤติกรรมที่แสดงให้ปรากฏในสังคม ผู้ประสบความสำเร็จจึงเป็นผู้ที่สังคมให้การยอมรับในภาพ ทัศนคติ และพฤติกรรมซึ่งเป็นที่ยอมรับ8 ทศวรรษที่ 1920 เป็นต้นมา: ความสำเร็จได้เปลี่ยนความหมายมาเป็นเรื่องของบุคลิกภาพทางจริยธรรม (personality ethic) ได้แก่ภาพ, ทัศนคติ, และพฤติกรรมที่แสดงให้ปรากฏในสังคม ผู้ประสบความสำเร็จจึงเป็นผู้ที่สังคมให้การยอมรับในภาพ ทัศนคติ และพฤติกรรมซึ่งเป็นที่ยอมรับ`9

ปัจจุบัน ความสำเร็จเปลี่ยนความหมายมาเป็นการขึ้นสู่จุดสูงสุดในเรื่องต่าง ๆ เช่น การงาน ฐานะ ความรู้ ชื่อเสียง ทุกคนพยายามประหยัดเวลาในการบรรลุเป้าหมายด้วยการเลือกบุคคล ทีม หรือองค์กรที่ประสบความสำเร็จตามความเห็นของตนและขอให้เขาเหล่านั้นสอนหรือให้คำแนะนำว่าทำอย่างไรจึงประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตาม ความต้องการรวบรัดประหยัดเวลาในการฝึกฝนเรียนรู้เช่นนี้อาจให้ผลบ้างในระยะต้น แต่การลอกเลียนแบบคนอื่นก็ไม่ได้เป็นการปรับปรุงแก้ไขที่ฐานราก ความสำเร็จที่ได้มานั้นจึงมักเป็นความสำเร็จที่ฉาบฉวย ไม่ยั่งยืน`0 ปัจจุบัน ความสำเร็จเปลี่ยนความหมายมาเป็นการขึ้นสู่จุดสูงสุดในเรื่องต่าง ๆ เช่น การงาน ฐานะ ความรู้ ชื่อเสียง ทุกคนพยายามประหยัดเวลาในการบรรลุเป้าหมายด้วยการเลือกบุคคล ทีม หรือองค์กรที่ประสบความสำเร็จตามความเห็นของตนและขอให้เขาเหล่านั้นสอนหรือให้คำแนะนำว่าทำอย่างไรจึงประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตาม ความต้องการรวบรัดประหยัดเวลาในการฝึกฝนเรียนรู้เช่นนี้อาจให้ผลบ้างในระยะต้น แต่การลอกเลียนแบบคนอื่นก็ไม่ได้เป็นการปรับปรุงแก้ไขที่ฐานราก ความสำเร็จที่ได้มานั้นจึงมักเป็นความสำเร็จที่ฉาบฉวย ไม่ยั่งยืน1 ปัจจุบัน ความสำเร็จเปลี่ยนความหมายมาเป็นการขึ้นสู่จุดสูงสุดในเรื่องต่าง ๆ เช่น การงาน ฐานะ ความรู้ ชื่อเสียง ทุกคนพยายามประหยัดเวลาในการบรรลุเป้าหมายด้วยการเลือกบุคคล ทีม หรือองค์กรที่ประสบความสำเร็จตามความเห็นของตนและขอให้เขาเหล่านั้นสอนหรือให้คำแนะนำว่าทำอย่างไรจึงประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตาม ความต้องการรวบรัดประหยัดเวลาในการฝึกฝนเรียนรู้เช่นนี้อาจให้ผลบ้างในระยะต้น แต่การลอกเลียนแบบคนอื่นก็ไม่ได้เป็นการปรับปรุงแก้ไขที่ฐานราก ความสำเร็จที่ได้มานั้นจึงมักเป็นความสำเร็จที่ฉาบฉวย ไม่ยั่งยืน2 ปัจจุบัน ความสำเร็จเปลี่ยนความหมายมาเป็นการขึ้นสู่จุดสูงสุดในเรื่องต่าง ๆ เช่น การงาน ฐานะ ความรู้ ชื่อเสียง ทุกคนพยายามประหยัดเวลาในการบรรลุเป้าหมายด้วยการเลือกบุคคล ทีม หรือองค์กรที่ประสบความสำเร็จตามความเห็นของตนและขอให้เขาเหล่านั้นสอนหรือให้คำแนะนำว่าทำอย่างไรจึงประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตาม ความต้องการรวบรัดประหยัดเวลาในการฝึกฝนเรียนรู้เช่นนี้อาจให้ผลบ้างในระยะต้น แต่การลอกเลียนแบบคนอื่นก็ไม่ได้เป็นการปรับปรุงแก้ไขที่ฐานราก ความสำเร็จที่ได้มานั้นจึงมักเป็นความสำเร็จที่ฉาบฉวย ไม่ยั่งยืน3 ปัจจุบัน ความสำเร็จเปลี่ยนความหมายมาเป็นการขึ้นสู่จุดสูงสุดในเรื่องต่าง ๆ เช่น การงาน ฐานะ ความรู้ ชื่อเสียง ทุกคนพยายามประหยัดเวลาในการบรรลุเป้าหมายด้วยการเลือกบุคคล ทีม หรือองค์กรที่ประสบความสำเร็จตามความเห็นของตนและขอให้เขาเหล่านั้นสอนหรือให้คำแนะนำว่าทำอย่างไรจึงประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตาม ความต้องการรวบรัดประหยัดเวลาในการฝึกฝนเรียนรู้เช่นนี้อาจให้ผลบ้างในระยะต้น แต่การลอกเลียนแบบคนอื่นก็ไม่ได้เป็นการปรับปรุงแก้ไขที่ฐานราก ความสำเร็จที่ได้มานั้นจึงมักเป็นความสำเร็จที่ฉาบฉวย ไม่ยั่งยืน`4

` ปัจจุบัน ความสำเร็จเปลี่ยนความหมายมาเป็นการขึ้นสู่จุดสูงสุดในเรื่องต่าง ๆ เช่น การงาน ฐานะ ความรู้ ชื่อเสียง ทุกคนพยายามประหยัดเวลาในการบรรลุเป้าหมายด้วยการเลือกบุคคล ทีม หรือองค์กรที่ประสบความสำเร็จตามความเห็นของตนและขอให้เขาเหล่านั้นสอนหรือให้คำแนะนำว่าทำอย่างไรจึงประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตาม ความต้องการรวบรัดประหยัดเวลาในการฝึกฝนเรียนรู้เช่นนี้อาจให้ผลบ้างในระยะต้น แต่การลอกเลียนแบบคนอื่นก็ไม่ได้เป็นการปรับปรุงแก้ไขที่ฐานราก ความสำเร็จที่ได้มานั้นจึงมักเป็นความสำเร็จที่ฉาบฉวย ไม่ยั่งยืน`5

` ปัจจุบัน ความสำเร็จเปลี่ยนความหมายมาเป็นการขึ้นสู่จุดสูงสุดในเรื่องต่าง ๆ เช่น การงาน ฐานะ ความรู้ ชื่อเสียง ทุกคนพยายามประหยัดเวลาในการบรรลุเป้าหมายด้วยการเลือกบุคคล ทีม หรือองค์กรที่ประสบความสำเร็จตามความเห็นของตนและขอให้เขาเหล่านั้นสอนหรือให้คำแนะนำว่าทำอย่างไรจึงประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตาม ความต้องการรวบรัดประหยัดเวลาในการฝึกฝนเรียนรู้เช่นนี้อาจให้ผลบ้างในระยะต้น แต่การลอกเลียนแบบคนอื่นก็ไม่ได้เป็นการปรับปรุงแก้ไขที่ฐานราก ความสำเร็จที่ได้มานั้นจึงมักเป็นความสำเร็จที่ฉาบฉวย ไม่ยั่งยืน`6

` ปัจจุบัน ความสำเร็จเปลี่ยนความหมายมาเป็นการขึ้นสู่จุดสูงสุดในเรื่องต่าง ๆ เช่น การงาน ฐานะ ความรู้ ชื่อเสียง ทุกคนพยายามประหยัดเวลาในการบรรลุเป้าหมายด้วยการเลือกบุคคล ทีม หรือองค์กรที่ประสบความสำเร็จตามความเห็นของตนและขอให้เขาเหล่านั้นสอนหรือให้คำแนะนำว่าทำอย่างไรจึงประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตาม ความต้องการรวบรัดประหยัดเวลาในการฝึกฝนเรียนรู้เช่นนี้อาจให้ผลบ้างในระยะต้น แต่การลอกเลียนแบบคนอื่นก็ไม่ได้เป็นการปรับปรุงแก้ไขที่ฐานราก ความสำเร็จที่ได้มานั้นจึงมักเป็นความสำเร็จที่ฉาบฉวย ไม่ยั่งยืน`7

ปัจจุบัน ความสำเร็จเปลี่ยนความหมายมาเป็นการขึ้นสู่จุดสูงสุดในเรื่องต่าง ๆ เช่น การงาน ฐานะ ความรู้ ชื่อเสียง ทุกคนพยายามประหยัดเวลาในการบรรลุเป้าหมายด้วยการเลือกบุคคล ทีม หรือองค์กรที่ประสบความสำเร็จตามความเห็นของตนและขอให้เขาเหล่านั้นสอนหรือให้คำแนะนำว่าทำอย่างไรจึงประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตาม ความต้องการรวบรัดประหยัดเวลาในการฝึกฝนเรียนรู้เช่นนี้อาจให้ผลบ้างในระยะต้น แต่การลอกเลียนแบบคนอื่นก็ไม่ได้เป็นการปรับปรุงแก้ไขที่ฐานราก ความสำเร็จที่ได้มานั้นจึงมักเป็นความสำเร็จที่ฉาบฉวย ไม่ยั่งยืน`8 ปัจจุบัน ความสำเร็จเปลี่ยนความหมายมาเป็นการขึ้นสู่จุดสูงสุดในเรื่องต่าง ๆ เช่น การงาน ฐานะ ความรู้ ชื่อเสียง ทุกคนพยายามประหยัดเวลาในการบรรลุเป้าหมายด้วยการเลือกบุคคล ทีม หรือองค์กรที่ประสบความสำเร็จตามความเห็นของตนและขอให้เขาเหล่านั้นสอนหรือให้คำแนะนำว่าทำอย่างไรจึงประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตาม ความต้องการรวบรัดประหยัดเวลาในการฝึกฝนเรียนรู้เช่นนี้อาจให้ผลบ้างในระยะต้น แต่การลอกเลียนแบบคนอื่นก็ไม่ได้เป็นการปรับปรุงแก้ไขที่ฐานราก ความสำเร็จที่ได้มานั้นจึงมักเป็นความสำเร็จที่ฉาบฉวย ไม่ยั่งยืน`9

Covey กล่าวว่า ความสำเร็จที่แท้จริงอยู่ที่วิธีการมองปัญหา ผู้ที่ต้องการประสบความสำเร็จแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นบุคคล ทีมงาน หรือองค์กร จะต้องยอมเปลี่ยนแปลงทั้งวิธีคิดและการปฏิบัติของตน (paradigm shift) โดยเปลี่ยนให้ลึกถึงฐานราก ไม่ใช่เพียงแค่ปรับทัศนคติหรือพฤติกรรมแบบผิวเผิน นอกจากนั้นเขายังได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับพัฒนาการสู่ความมีวุฒิภาวะ (maturity continuum) โดยมีแนวคิดว่า มนุษย์มีพัฒนาการจากเด็กสู่ความเป็นผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะเป็น 3 ระยะ`0 Covey กล่าวว่า ความสำเร็จที่แท้จริงอยู่ที่วิธีการมองปัญหา ผู้ที่ต้องการประสบความสำเร็จแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นบุคคล ทีมงาน หรือองค์กร จะต้องยอมเปลี่ยนแปลงทั้งวิธีคิดและการปฏิบัติของตน (paradigm shift) โดยเปลี่ยนให้ลึกถึงฐานราก ไม่ใช่เพียงแค่ปรับทัศนคติหรือพฤติกรรมแบบผิวเผิน นอกจากนั้นเขายังได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับพัฒนาการสู่ความมีวุฒิภาวะ (maturity continuum) โดยมีแนวคิดว่า มนุษย์มีพัฒนาการจากเด็กสู่ความเป็นผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะเป็น 3 ระยะ1 Covey กล่าวว่า ความสำเร็จที่แท้จริงอยู่ที่วิธีการมองปัญหา ผู้ที่ต้องการประสบความสำเร็จแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นบุคคล ทีมงาน หรือองค์กร จะต้องยอมเปลี่ยนแปลงทั้งวิธีคิดและการปฏิบัติของตน (paradigm shift) โดยเปลี่ยนให้ลึกถึงฐานราก ไม่ใช่เพียงแค่ปรับทัศนคติหรือพฤติกรรมแบบผิวเผิน นอกจากนั้นเขายังได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับพัฒนาการสู่ความมีวุฒิภาวะ (maturity continuum) โดยมีแนวคิดว่า มนุษย์มีพัฒนาการจากเด็กสู่ความเป็นผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะเป็น 3 ระยะ`2

Covey กล่าวว่า ความสำเร็จที่แท้จริงอยู่ที่วิธีการมองปัญหา ผู้ที่ต้องการประสบความสำเร็จแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นบุคคล ทีมงาน หรือองค์กร จะต้องยอมเปลี่ยนแปลงทั้งวิธีคิดและการปฏิบัติของตน (paradigm shift) โดยเปลี่ยนให้ลึกถึงฐานราก ไม่ใช่เพียงแค่ปรับทัศนคติหรือพฤติกรรมแบบผิวเผิน นอกจากนั้นเขายังได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับพัฒนาการสู่ความมีวุฒิภาวะ (maturity continuum) โดยมีแนวคิดว่า มนุษย์มีพัฒนาการจากเด็กสู่ความเป็นผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะเป็น 3 ระยะ`3 Covey กล่าวว่า ความสำเร็จที่แท้จริงอยู่ที่วิธีการมองปัญหา ผู้ที่ต้องการประสบความสำเร็จแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นบุคคล ทีมงาน หรือองค์กร จะต้องยอมเปลี่ยนแปลงทั้งวิธีคิดและการปฏิบัติของตน (paradigm shift) โดยเปลี่ยนให้ลึกถึงฐานราก ไม่ใช่เพียงแค่ปรับทัศนคติหรือพฤติกรรมแบบผิวเผิน นอกจากนั้นเขายังได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับพัฒนาการสู่ความมีวุฒิภาวะ (maturity continuum) โดยมีแนวคิดว่า มนุษย์มีพัฒนาการจากเด็กสู่ความเป็นผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะเป็น 3 ระยะ4 Covey กล่าวว่า ความสำเร็จที่แท้จริงอยู่ที่วิธีการมองปัญหา ผู้ที่ต้องการประสบความสำเร็จแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นบุคคล ทีมงาน หรือองค์กร จะต้องยอมเปลี่ยนแปลงทั้งวิธีคิดและการปฏิบัติของตน (paradigm shift) โดยเปลี่ยนให้ลึกถึงฐานราก ไม่ใช่เพียงแค่ปรับทัศนคติหรือพฤติกรรมแบบผิวเผิน นอกจากนั้นเขายังได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับพัฒนาการสู่ความมีวุฒิภาวะ (maturity continuum) โดยมีแนวคิดว่า มนุษย์มีพัฒนาการจากเด็กสู่ความเป็นผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะเป็น 3 ระยะ5 Covey กล่าวว่า ความสำเร็จที่แท้จริงอยู่ที่วิธีการมองปัญหา ผู้ที่ต้องการประสบความสำเร็จแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นบุคคล ทีมงาน หรือองค์กร จะต้องยอมเปลี่ยนแปลงทั้งวิธีคิดและการปฏิบัติของตน (paradigm shift) โดยเปลี่ยนให้ลึกถึงฐานราก ไม่ใช่เพียงแค่ปรับทัศนคติหรือพฤติกรรมแบบผิวเผิน นอกจากนั้นเขายังได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับพัฒนาการสู่ความมีวุฒิภาวะ (maturity continuum) โดยมีแนวคิดว่า มนุษย์มีพัฒนาการจากเด็กสู่ความเป็นผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะเป็น 3 ระยะ6 Covey กล่าวว่า ความสำเร็จที่แท้จริงอยู่ที่วิธีการมองปัญหา ผู้ที่ต้องการประสบความสำเร็จแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นบุคคล ทีมงาน หรือองค์กร จะต้องยอมเปลี่ยนแปลงทั้งวิธีคิดและการปฏิบัติของตน (paradigm shift) โดยเปลี่ยนให้ลึกถึงฐานราก ไม่ใช่เพียงแค่ปรับทัศนคติหรือพฤติกรรมแบบผิวเผิน นอกจากนั้นเขายังได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับพัฒนาการสู่ความมีวุฒิภาวะ (maturity continuum) โดยมีแนวคิดว่า มนุษย์มีพัฒนาการจากเด็กสู่ความเป็นผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะเป็น 3 ระยะ`7

Covey กล่าวว่า ความสำเร็จที่แท้จริงอยู่ที่วิธีการมองปัญหา ผู้ที่ต้องการประสบความสำเร็จแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นบุคคล ทีมงาน หรือองค์กร จะต้องยอมเปลี่ยนแปลงทั้งวิธีคิดและการปฏิบัติของตน (paradigm shift) โดยเปลี่ยนให้ลึกถึงฐานราก ไม่ใช่เพียงแค่ปรับทัศนคติหรือพฤติกรรมแบบผิวเผิน นอกจากนั้นเขายังได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับพัฒนาการสู่ความมีวุฒิภาวะ (maturity continuum) โดยมีแนวคิดว่า มนุษย์มีพัฒนาการจากเด็กสู่ความเป็นผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะเป็น 3 ระยะ`8 Covey กล่าวว่า ความสำเร็จที่แท้จริงอยู่ที่วิธีการมองปัญหา ผู้ที่ต้องการประสบความสำเร็จแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นบุคคล ทีมงาน หรือองค์กร จะต้องยอมเปลี่ยนแปลงทั้งวิธีคิดและการปฏิบัติของตน (paradigm shift) โดยเปลี่ยนให้ลึกถึงฐานราก ไม่ใช่เพียงแค่ปรับทัศนคติหรือพฤติกรรมแบบผิวเผิน นอกจากนั้นเขายังได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับพัฒนาการสู่ความมีวุฒิภาวะ (maturity continuum) โดยมีแนวคิดว่า มนุษย์มีพัฒนาการจากเด็กสู่ความเป็นผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะเป็น 3 ระยะ`9

` o ระยะที่หนึ่งเรียกว่า ระยะที่ต้องพึ่งพาผู้อื่น (dependence) มนุษย์ทุกคนเริ่มชีวิตด้วยการเป็นทารกที่ต้องพึ่งพาผู้อื่นเลี้ยงดูให้เติบโต หัวใจสำคัญของความสัมพันธ์คือ “you”`0

` o ระยะที่หนึ่งเรียกว่า ระยะที่ต้องพึ่งพาผู้อื่น (dependence) มนุษย์ทุกคนเริ่มชีวิตด้วยการเป็นทารกที่ต้องพึ่งพาผู้อื่นเลี้ยงดูให้เติบโต หัวใจสำคัญของความสัมพันธ์คือ “you”`1

o ระยะที่หนึ่งเรียกว่า ระยะที่ต้องพึ่งพาผู้อื่น (dependence) มนุษย์ทุกคนเริ่มชีวิตด้วยการเป็นทารกที่ต้องพึ่งพาผู้อื่นเลี้ยงดูให้เติบโต หัวใจสำคัญของความสัมพันธ์คือ “you”`2 o ระยะที่หนึ่งเรียกว่า ระยะที่ต้องพึ่งพาผู้อื่น (dependence) มนุษย์ทุกคนเริ่มชีวิตด้วยการเป็นทารกที่ต้องพึ่งพาผู้อื่นเลี้ยงดูให้เติบโต หัวใจสำคัญของความสัมพันธ์คือ “you”3 o ระยะที่หนึ่งเรียกว่า ระยะที่ต้องพึ่งพาผู้อื่น (dependence) มนุษย์ทุกคนเริ่มชีวิตด้วยการเป็นทารกที่ต้องพึ่งพาผู้อื่นเลี้ยงดูให้เติบโต หัวใจสำคัญของความสัมพันธ์คือ “you”4 o ระยะที่หนึ่งเรียกว่า ระยะที่ต้องพึ่งพาผู้อื่น (dependence) มนุษย์ทุกคนเริ่มชีวิตด้วยการเป็นทารกที่ต้องพึ่งพาผู้อื่นเลี้ยงดูให้เติบโต หัวใจสำคัญของความสัมพันธ์คือ “you”5 o ระยะที่หนึ่งเรียกว่า ระยะที่ต้องพึ่งพาผู้อื่น (dependence) มนุษย์ทุกคนเริ่มชีวิตด้วยการเป็นทารกที่ต้องพึ่งพาผู้อื่นเลี้ยงดูให้เติบโต หัวใจสำคัญของความสัมพันธ์คือ “you”6 o ระยะที่หนึ่งเรียกว่า ระยะที่ต้องพึ่งพาผู้อื่น (dependence) มนุษย์ทุกคนเริ่มชีวิตด้วยการเป็นทารกที่ต้องพึ่งพาผู้อื่นเลี้ยงดูให้เติบโต หัวใจสำคัญของความสัมพันธ์คือ “you”7 o ระยะที่หนึ่งเรียกว่า ระยะที่ต้องพึ่งพาผู้อื่น (dependence) มนุษย์ทุกคนเริ่มชีวิตด้วยการเป็นทารกที่ต้องพึ่งพาผู้อื่นเลี้ยงดูให้เติบโต หัวใจสำคัญของความสัมพันธ์คือ “you”8 o ระยะที่หนึ่งเรียกว่า ระยะที่ต้องพึ่งพาผู้อื่น (dependence) มนุษย์ทุกคนเริ่มชีวิตด้วยการเป็นทารกที่ต้องพึ่งพาผู้อื่นเลี้ยงดูให้เติบโต หัวใจสำคัญของความสัมพันธ์คือ “you”9 o ระยะที่สองเรียกว่า ระยะที่พึ่งพาตนเอง (independence) เป็นระยะที่มีอิสระจากปัจจัยภายนอกและการเกื้อหนุนของผู้อื่น เป็นเป้าหมายของคนหลายคนซึ่งมองว่าความมีอิสระจากการต้องพึ่งพาผู้อื่นเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่มากที่สุดเรื่องหนึ่งของชีวิต หัวใจสำคัญของความสัมพันธ์คือ “I”0 o ระยะที่สองเรียกว่า ระยะที่พึ่งพาตนเอง (independence) เป็นระยะที่มีอิสระจากปัจจัยภายนอกและการเกื้อหนุนของผู้อื่น เป็นเป้าหมายของคนหลายคนซึ่งมองว่าความมีอิสระจากการต้องพึ่งพาผู้อื่นเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่มากที่สุดเรื่องหนึ่งของชีวิต หัวใจสำคัญของความสัมพันธ์คือ “I”1 o ระยะที่สองเรียกว่า ระยะที่พึ่งพาตนเอง (independence) เป็นระยะที่มีอิสระจากปัจจัยภายนอกและการเกื้อหนุนของผู้อื่น เป็นเป้าหมายของคนหลายคนซึ่งมองว่าความมีอิสระจากการต้องพึ่งพาผู้อื่นเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่มากที่สุดเรื่องหนึ่งของชีวิต หัวใจสำคัญของความสัมพันธ์คือ “I”`2

———————————

` o ระยะที่สองเรียกว่า ระยะที่พึ่งพาตนเอง (independence) เป็นระยะที่มีอิสระจากปัจจัยภายนอกและการเกื้อหนุนของผู้อื่น เป็นเป้าหมายของคนหลายคนซึ่งมองว่าความมีอิสระจากการต้องพึ่งพาผู้อื่นเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่มากที่สุดเรื่องหนึ่งของชีวิต หัวใจสำคัญของความสัมพันธ์คือ “I”`3

7 Habits of Highly Effective มีอะไรบ้าง

7 นิสัยของคนมีประสิทธิผลสูง จากหนังสือดัง The 7 Habits of Highly Effective People.

1.Proactive. ... .

2.Begin With the End in Mind. ... .

3.Put First Things First. ... .

4.Think Win/Win. ... .

5.Seek First to Understand, Then to Be Understood. ... .

6.Synergize. ... .

7. Sharpen the Saw..

ใครเป็นเจ้าของทฤษฎี 7 Habits

Stephen R. Covey เขียนหนังสือชื่อ 7 Habits of Highly Effective People (1989) หรือ อุปนิสัย 7 ประการของผู้ประสบความสำเร็จด้วยความเชื่อว่า ความคิดเห็นที่เรามีต่อสิ่งใด ล้วนเป็นผลมาจากการรับรู้ (perception) ของเราที่มีต่อสิ่งนั้น การแก้ไขเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ใดที่เกิดขึ้นกับตัวเรา จะต้องเปลี่ยนที่การรับรู้ของเราเอง หนังสือ ...

นิสัย ที่ดีควรมีอะไรบ้าง

"ขยัน ซื่อสัตย์ ประหยัดอดทน อ่อนน้อมถ่อมตน มีระเบียบวินัย กตัญญูรู้คุณ รักวัฒนธรรมไทย ชูชาติ ศาสน์ กษัตริย์ไว้ คืออุปนิสัยที่ดีของคนไทยเรา" ที่เป็นคุณลักษณะที่ดีของคนไทยซึ่งมีในสังคมเป็นส่วนใหญ่ แต่ส่วนที่มีข้อไม่ดีก็มีอยู่

สิ่งสําคัญที่สุดในการพัฒนานิสัย(Developing Habits) คืออะไร

1.1 การพัฒนาอุปนิสัย (Developing Habits) : ประกอบด้วย 3 สิ่งคือ : Knowledge / Skill / Desire (ความอยาก) สิ่งที่ยากในการพัฒนาอุปนิสัย คือการสร้างความอยากที่จะทำ 1.2 คุณลักษณะ (Character) / บุคลิกภาพ (Personality)