ต ดแบล คล สสามารถค ำประก นได ม ย

ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้กระทำหรือผู้ถูกกระทำ แต่มนุษย์ก็หลีกเลี่ยงเรื่องตดไม่ได้ ทั้งนี้ทางการแพทย์ระบุว่ามนุษย์ต้องตดเฉลี่ยวันละ 10-20 ครั้ง ดังนั้นขอให้ทำใจเถอะว่าตดเป็นเรื่องธรรมชาติ

“ตด” หรือภาษาที่สุภาพหน่อยเรียกว่า “ผายลม” คืออาการที่ลมระบายออกมาทางทวารหนัก สาเหตุของการตดเกิดจากแก๊สที่สะสมในระบบย่อยอาหาร เนื่องจากกระบวนการย่อยสลายอาหารไปเป็นพลังงานของร่างกาย

แต่ถ้าใครชอบตดบ่อยๆ อาจเกิดจากการรับประทานอาหารบางชนิดที่ทำให้เกิดแก๊สมาก เช่น อาหารจำพวกโปรตีนสูงพวกเนื้อสัตว์ ไข่ พืชตระกูลถั่ว ผักที่มีเส้นใยสูง หรือผักบางจำพวกทำให้ตดมีกลิ่นรุนแรง เช่น คะน้า กะหล่ำปลี รวมถึงผักที่มีกลิ่นแรง นอกจากนี้การกลืนอากาศซึ่งเกิดขึ้นจากการเคี้ยวอาหาร หายใจ สูบบุหรี่ ซึ่งแก๊สเหล่านี้ต้องหาที่ระบายออกถ้าตีขึ้นข้างบนจะกลายเป็นเรอ แต่ถ้าลมตีลงล่างก็เรียกว่าตด

การตดตลอดทั้งวันในปริมาณที่พอดี จะช่วยระบายแก๊สที่สะสมอยู่ในร่างกายที่อาจทำให้ท้องอืดได้ ซึ่งหลังจากที่ได้ตดระบายแก๊สออกไปจะทำให้รู้สึกสบายท้องขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่อย่างไรก็ตาม ตดมากตดน้อย ตดมีกลิ่นเหม็น อาการเหล่านี้ยังเป็นสัญญาณเตือนให้เรารู้ว่าอวัยวะภายในมีความผิดปกติอย่างไร และหากอาการเหล่านี้เกิดขึ้นพร้อมกับอาการทางเดินอาหารอื่นๆ อาจเป็นสัญญาณเตือนก็ได้ว่าคุณกำลังมีอาการผิดปกติในระบบการย่อย

ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme

ต ดแบล คล สสามารถค ำประก นได ม ย

ตด 6 ประเภทที่ส่งสัญญาณเตือนภัยต่อร่างกาย รีบเช็คด่วน

1. ตดเพราะท้องผูก :เรามักได้ยินว่าการกินผักมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับความพอดีด้วย คนรักสุขภาพที่ชอบกินผักเป็นอาหารหลักทุกมื้อนั้นอาจจะไม่ตอบโจทย์ด้านสุขภาพเสียแล้ว วารสารขององค์การอนามัยโลกตีพิมพ์บทความเมื่อปี 2019 กล่าวว่าควรบริโภคใยอาหาร 25 ถึง 29 กรัมในแต่ละมื้อจึงเหมาะสมที่สุด การที่ร่างกายได้รับไฟเบอร์จากผักในปริมาณที่สูงอาจส่งผลต่อระบบทางเดินอาหารได้ เช่น ท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย ทำให้เกิดแก๊สมากในระบบการย่อย วิธีแก้ไขคือเมื่อทานผักเยอะๆ ก็ควรดื่มน้ำเยอะด้วย

  1. ตดจากเครื่องดื่มน้ำอัดลม : เวลาอากาศร้อนๆ คนส่วนมากชอบดื่มน้ำอัดลมเย็นๆ จะช่วยคลายร้อน แต่น้ำอัดลมประกอบด้วยกรดคาร์บอนิก ซึ่งทำให้น้ำอัดลมซ่า มีฟอง เป็นตัวผลิตแก๊สในลำไส้ นอกจากนี้เบียร์ โซดา และน้ำแร่อัดแก๊สก็อยู่ในประเภทเครื่องดื่มน้ำอัดลมด้วย ผลเสียของการดื่มเครื่องดื่มที่มีแก๊สมากๆ จะทำให้คุณตดได้ทั้งวันทั้งคืน ซึ่งอาจสร้างความรำคาญให้กับคนรอบข้างได้

3. ช่วยด้วย! ตดมีกลิ่นเหม็นรุนแรง :ปกติตดที่ถูกสุขลักษณะจะมีแค่เสียงแต่ไร้กลิ่นเรียกว่าตดสะอาด แต่ถ้าใครตดมีกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ อาจเกิดจากคุณกินผักประเภทกลิ่นแรงหรือผักที่มีส่วนประกอบของกำมะถัน เช่น พืชตระกูลกะหล่ำ ถั่ว ชีส แต่ถ้าตดมีกลิ่นเหม็นอย่างรุนแรงเป็นเวลานาน แนะนำให้ไปพบแพทย์ เพราะเป็นไปได้ว่ากลิ่นจะเชื่อมโยงกับโรคลำไส้อักเสบหรือลำไส้แปรปรวน

4. ตดเหม็นจากแพ้อาหาร : ถ้าหลังจากดื่มนมหรือกินชีสแล้วรู้สึกเป็นตะคริวและมีอาการท้องอืดมาก นั่นคืออาการแพ้แลคโตส เนื่องจากร่างกายไม่สามารถย่อยน้ำตาลแลคโตส มีสาเหตุมาจากความผิดปกติของลำไส้เล็กที่ไม่สามารถผลิตเอนไซม์ที่ใช้ย่อยน้ำตาลแลคโตสโดยเฉพาะ จนน้ำตาลแลคโตสไม่สามารถดูดซึมในร่างกายได้ส่งผ่านต่อไปที่ลำไส้ใหญ่ และเชื้อแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่เข้าย่อยแลคโตส จนเกิดเป็นแก๊ส และของเหลวในลำไส้ ทำให้มีอาการผิดปกติต่างๆ เกิดขึ้น

5. ตดบ่อยตอนมีประจำเดือน : ในช่วงการมีประจำเดือนของผู้หญิงนั้น เป็นระยะที่ฮอร์โมนผิดปกติแปรปรวน อาจทำให้เกิดอาการร่างกายบวมน้ำหรือท้องอืดไม่สบายตัว ซึ่งจะส่งผลให้ร่างกายปล่อยตดออกมาบ่อยผิดปกติด้วย

6. ตดเพราะเครียด :ความเครียดส่งผลเสียได้ทุกระบบของร่างกายรวมถึงระบบการย่อยด้วย เวลาเกิดอาการเครียดเรามักจะรู้สึกท้องอืด อาหารไม่ย่อย หรือท้องเสีย การที่ช่องท้องมีแก๊สมากเกินไปตามธรรมชาติก็ต้องระบายออกมาเป็นตด บางคนอาจะรู้สึกว่าการได้ปลดปล่อยแก๊สออกมาบ้างจะช่วยให้หายอึดอัดและช่วยให้เครียดน้อยลง แต่อย่างไรก็ตามวิธีคลายเครียดที่ดีที่สุดคือการหาสาเหตุของความเครียดและกำจัดมันทิ้งเสีย

ตดหรือผายลม แม้จะเป็นกระบวนการทางชีวภาพของร่างกายที่เกิดขึ้นกับทุกคนเป็นปกติ โดยเฉลี่ยประมาณ 5-15 ครั้งต่อวัน แต่บางครั้งการผายลมบ่อยหรือผายลมเหม็นอาจทำให้รู้สึกอับอายหรือเป็นกังวลเมื่ออยู่กับผู้อื่น อย่างไรก็ตาม ปัญหานี้อาจแก้ไขได้ด้วยการหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ก่อให้เกิดการสะสมแก๊สในระบบย่อยอาหาร โดยเฉพาะการรับประทานอาหารบางชนิดหรือพฤติกรรมบางประการ

ต ดแบล คล สสามารถค ำประก นได ม ย

สาเหตุของการตดหรือผายลม

การตดหรือผายลมเกิดจากแก๊สที่สะสมในระบบย่อยอาหารเนื่องจากกระบวนการย่อยสลายอาหารไปเป็นพลังงานของร่างกาย การรับประทานอาหารบางชนิดที่ทำให้เกิดแก๊สมาก หรือการกลืนอากาศซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเคี้ยวอาหาร หายใจ สูบบุหรี่ หรืออื่น ๆ แม้แก๊สส่วนใหญ่จะถูกขับออกมาด้วยการเรอ แต่ก็มีบางส่วนที่ลงไปสู่ระบบย่อยอาหาร ผ่านลำไส้ ทำให้เกิดอาการท้องอืด อาหารไม่ย่อย และขับออกมาในรูปแบบของการผายลมในที่สุด

การมีแก๊สสะสมมากจนทำให้ตดหรือผายลมออกมาอาจมีสาเหตุมาจากปัจจัยที่เป็นไปได้ ดังนี้

อาหารที่รับประทาน อาหารบางชนิดจะทำให้เกิดแก๊สระหว่างที่ถูกย่อยสลายมากกว่าชนิดอื่น ๆ เนื่องจากกระบวนการหรือความยากในการย่อย เป็นสาเหตุให้มีแก๊สในกระเพาะมาก รู้สึกปวดท้อง ท้องอืด และผายลมตามมา โดยเฉพาะอาหารที่ประกอบด้วยน้ำตาลธรรมชาติ มีเส้นใยอาหารสูง หรืออาหารประเภทแป้ง ได้แก่

  • ผักและผลไม้ที่มีน้ำตาลบางชนิดและอาจทำให้เกิดแก๊สในท้องขณะย่อย เช่น น้ำตาลฟรุกโตสที่พบได้ในหัวหอม น้ำตาลแรฟฟิโนสในหน่อไม้ฝรั่ง บร็อคโคลี่ กะหล่ำปลี น้ำตาลซอร์บิทัลจากลูกพรุน ลูกท้อ แอปเปิล รวมถึงผักผลไม้ที่มีเส้นใยอาหารชนิดละลายน้ำ เช่น ถั่วลันเตา แต่หากเป็นเส้นใยอาหารชนิดไม่ละลายน้ำก็มักจะถูกย่อยและขับผ่านไปได้โดยง่าย ไม่ทำให้เกิดแก๊สหรือรู้สึกไม่สบายท้อง
  • หมากฝรั่งและลูกอมบางชนิดที่มีส่วนประกอบเป็นสารให้ความหวานอย่างซอร์บิทอล (Sorbitol)
  • อาหารจำพวกแป้งซึ่งมีคาร์โบไฮเดรตสูง โดยเฉพาะอาหารที่ทำจากธัญพืช ขนมปัง ข้าวโพด มันฝรั่ง แต่อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่ดูเหมือนจะไม่ทำให้เกิดแก๊สก็คือข้าว
  • นมและผลิตภัณฑ์จากนม คนที่มีเอนไซม์แลคเตสไม่เพียงพออาจย่อยน้ำตาลแลคโตสในนมได้ยาก รวมไปถึงอาหารที่ทำจากนมอย่างไอศกรีม ชีส หรืออาหารใดก็ตามที่มีแลคโตส ซึ่งนอกจากจะทำให้เกิดแก๊สก็ยังอาจมีอาการปวดท้องร่วมด้วย
  • ข้าวโอ๊ต อีกหนึ่งอาหารที่สามารถทำให้เกิดแก๊สในท้อง เพราะมีเส้นใยอาหารชนิดละลายน้ำสูง การรับประทานข้าวโอ๊ตจึงควรเริ่มจากปริมาณน้อย ๆ ก่อนจะค่อย ๆ เพิ่มปริมาณขึ้นเพื่อให้ร่างกายปรับตัว หรือรับประทานสลับกับอาหารจากรำข้าวสาลีซึ่งมีเส้นใยอาหารชนิดไม่ละลายน้ำสูง
  • ถั่วต่าง ๆ เช่น ถั่วลิสง ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่วเหลือง หรือถั่วเขียว ซึ่งก็มีน้ำตาลแรฟฟิโนสเช่นกัน อีกทั้งยังประกอบด้วยเส้นใยอาหารชนิดละลายน้ำ
  • เครื่องดื่มน้ำอัดลมหรือน้ำหวาน เครื่องดื่มเหล่านี้ส่งผลให้มีแก๊สในท้องจนรู้สึกไม่สบายท้องได้ เนื่องจากในโซดามีการอัดอากาศหรือแก๊สเข้าไป รวมถึงฟรุกโตสซึ่งเป็นน้ำตาลที่ให้ความหวานและอาจย่อยได้ยาก

การกลืนอากาศมากเกินไป อากาศจำนวนมากสามารถเข้าสู่ระบบทางเดินอาหารผ่านการดื่มน้ำหรือรับประทานอาหาร ซึ่งแก๊สกว่า 50 เปอร์เซ็นต์มาจากอากาศที่กลืนเข้าไปนี้เอง ส่งผลให้มีอาการเรอหรือสะอึกตามมาได้ นอกจากนี้ อากาศบางส่วนก็ยังผ่านเข้าไปสู่ระบบย่อยอาหารและถูกปล่อยออกมาทางทวารหนักในรูปของการผายลม โดยปัจจัยที่ทำให้มีการกลืนอากาศมากเกินไปมักพบว่าเกิดจากพฤติกรรมต่อไปนี้

  • เคี้ยวหมากฝรั่ง
  • อมลูกอมหรืออมอาหารบางชนิด
  • รับประทานอาหารหรือดื่มน้ำอย่างรวดเร็วจนเกินไป
  • ดื่มเครื่องดื่มน้ำอัดลม
  • ดื่มน้ำจากหลอด
  • กลืนน้ำลายบ่อยเกินไป ซึ่งอาจเกิดขึ้นเมื่อรู้สึกวิตกกังวล
  • สวมใส่ฟันปลอมที่หลวมเกินไป
  • สูบบุหรี่

ผลจากยารักษาโรคหรือปัญหาสุขภาพ

  • ยารักษาโรคหรืออาหารเสริมบางชนิดอาจมีผลข้างเคียงให้มีอาการท้องอืดหรือเกิดแก๊สในระบบย่อยอาหารมาก เช่น ยารักษาโรคเบาหวานอย่างอะคาร์โบส (Acarbose) รวมถึงอาหารเสริมใยอาหารบางชนิด
  • การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน เกิดขึ้นกับผู้หญิงที่มักมีอาการท้องอืดก่อนหน้าช่วงมีประจำเดือน โดยเป็นผลจากการที่ร่างกายกักเก็บของเหลวไว้
  • โรคบางชนิดสามารถส่งผลให้มีแก๊สมากและผายลมบ่อย เช่น ภาวะการย่อยแลคโตสผิดปกติ (Lactose Intolerance) เกิดจากการที่ร่างกายไม่ย่อยน้ำตาลแลคโตสในนม ซึ่งหากลองงดการดื่มนมแล้วพบว่าตนเองมีแก๊สหรือผายลมน้อยลง อาการดังกล่าวก็อาจสาเหตุจากปัญหานี้ รวมถึงโรคอื่น ๆ ที่อาจส่งผลให้ผู้ป่วยมีแก๊สมากหรือผายลมบ่อย ได้แก่
    • ลำไส้แปรปรวน
    • โรคลำไส้อุดตัน
    • อาหารไม่ย่อย
    • กรดไหลย้อน
    • แผลในกระเพาะอาหาร
    • โรคโครห์น
    • โรคแพ้กลูเตน

ตดเหม็น ตดบ่อย เป็นอันตรายหรือไม่

การตดหรือผายลมเกิดขึ้นได้ตั้งแต่วันละ 6-20 กว่าครั้ง และมักเกิดขึ้นหลังจากรับประทานอาหารเป็นปกติ โดยไม่ได้ทำให้เกิดอันตรายใด ๆ แม้จะมีการกลั้นผายลมก็ตาม ซึ่งบางครั้งแก๊สก็อาจถูกขับผ่านออกมาโดยไม่รู้ตัวในปริมาณเพียงเล็กน้อยและไม่ส่งกลิ่น แต่การรับประทานอาหารบางชนิด เช่น อาหารที่มีสารซัลเฟอร์หรือมีแบคทีเรียที่สร้างแก๊สมีเทนหรือไฮโดรเจนซัลไฟด์ ก็อาจส่งผลให้ลมที่ผายออกมามีกลิ่นเหม็นได้

ทั้งนี้ ความถี่หรือลักษณะการผายลมที่ผิดปกติไม่มีข้อบ่งบอกอย่างแน่ชัด การสังเกตอาการด้วยตนเองจึงเป็นสิ่งที่พอจะทำได้ในเบื้องต้น โดยควรไปพบแพทย์เมื่อการผายลมเริ่มรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ผายลมมีกลิ่นเหม็นบ่อยครั้ง หรือในกรณีที่มีอาการใด ๆ ต่อไปนี้ปรากฏร่วมด้วย เพราะอาจแสดงถึงปัญหาสุขภาพร้ายแรง

  • ปวดท้องและท้องอืดต่อเนื่องเป็นเวลานาน
  • มีอาการท้องเสียหรือท้องผูกเกิดขึ้นซ้ำ ๆ
  • น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • กลั้นอุจจาระไม่อยู่
  • มีเลือดปนในอุจจาระ
  • มีอาการบ่งบอกถึงการติดเชื้อ เช่น ไข้สูง หนาวสั่น อาเจียน ปวดกล้ามเนื้อ หรือปวดข้อต่อ เป็นต้น

วิธีป้องกันการตดเหม็นหรือตดบ่อย

การตดหรือผายลมที่มีกลิ่นเหม็นนั้นหลีกเลี่ยงได้โดยพยายามลดการรับประทานอาหารที่มีสารซัลเฟอร์ ซึ่งก่อให้เกิดแก๊สที่มีกลิ่น เช่น หัวหอม กระเทียม หน่อไม่ฝรั่ง ไข่ นม แป้งข้าวโพด ผักกาดหอม มะเขือเทศ ถั่วเหลือง และปลาบางชนิดอย่างแซลมอน ส่วนวิธีป้องกันการผายลมบ่อยอาจทำได้ด้วยการหลีกเลี่ยงปัจจัยที่มักทำให้เกิดการสะสมแก๊สเป็นจำนวนมาก ดังนี้

  • ลดอาหารที่มีเส้นใยอาหาร น้ำตาลธรรมชาติ และแป้งที่ย่อยยาก ซึ่งจะทำให้เกิดแก๊สในระบบย่อยอาหารขึ้นมาก ได้แก่
    • ผักบางชนิด เช่น หน่อไม้ฝรั่ง กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บร็อคโคลี่ แตงกวา พริกหยวก หัวหอม ถั่วลันเตา มันดิบ หัวผักกาดแดง
    • ผลไม้บางชนิด เช่น แอปริคอท แอปเปิลแดง แอปเปิลเขียว กล้วย แตงโม ลูกพรุน ลูกท้อ ลูกแพร์
    • ธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี ข้าวโอ๊ต
    • ถั่วบางชนิด เช่น ถั่วลิสง ถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง
    • นมและผลิตภัณฑ์จากนม เช่น ชีส ไอศกรีม โดยเฉพาะในผู้ที่มีภาวะย่อยแลคโตสผิดปกติ
    • เครื่องดื่มน้ำอัดลมต่าง ๆ รวมถึงน้ำผลไม้ เบียร์ ไวน์
    • อาหารชนิดอื่นนอกจากนมที่อาจประกอบด้วยแลคโตส เช่น ขนมปัง น้ำสลัด และธัญพืช
    • อาหารจากไข่
    • อาหารทอดหรืออาหารที่มีไขมันสูง สามารถก่อให้เกิดอาการท้องอืดได้
    • น้ำตาลและสารที่ใช้แทนน้ำตาล เช่น ซอร์บิทอล
  • รับประทานอาหารและดื่มน้ำช้า ๆ เพราะการรับประทานอาหารอย่างเร่งรีบจนเกินไปอาจทำให้มีการกลืนอากาศลงไปมากและเกิดแก๊สตามมาในที่สุด นอกจากนี้ ผู้ที่สวมใส่ฟันปลอมควรตรวจดูให้ดีก่อนว่ามีความพอดีกับช่องปาก เพราะหากฟันปลอมหลวมจะทำให้เกิดการกลืนอากาศเข้าไประหว่างเคี้ยวอาหารได้
  • อย่าดื่มน้ำก่อนมื้ออาหาร เนื่องจากจะทำให้สูญเสียกรดที่ใช้ในการย่อยอาหาร ทำให้อาหารถูกย่อยสลายได้ไม่ดีเท่าที่ควร ทางที่ดีควรดื่มน้ำในช่วง 30 นาทีก่อนรับประทานอาหาร จะช่วยให้กระเพาะสามารถย่อยได้ดีขึ้น
  • เลี่ยงพฤติกรรมใด ๆ ที่อาจทำให้ต้องกลืนอากาศเข้าไป เช่น การเคี้ยวหมากฝรั่ง สูบบุหรี่ หรือดื่มน้ำจากหลอด
  • ไม่รับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มใด ๆ ที่มีสารให้ความหวานแทนน้ำตาลอย่างซอร์บิทอลหรือน้ำตาลแอลกอฮอล์ โดยซอร์บิทอลนั้นมักนำมาใช้เป็นส่วนผสมในหมากฝรั่ง

อย่างไรก็ตาม อาหารหรือพฤติกรรมแต่ละอย่างอาจส่งผลแตกต่างกันในแต่ละคน บางคนจะเกิดแก๊สมากหากรับประทานผลไม้กับโปรตีน แต่บางคนอาจมีแก๊สมากจากการรับประทานอาหารประเภทแป้งกับโปรตีนร่วมกัน ทางที่ดีควรสังเกตปัจจัยต่าง ๆ ที่น่าจะเป็นสาเหตุให้มีแก๊สสะสมในระบบย่อยอาหารมาก โดยลองจดบันทึกว่ารู้สึกอึดอัดท้อง เรอ หรือผายลมหลังจากการรับประทานอาหาร ยารักษาโรค หรือการทำกิจกรรมใด ๆ เพื่อเลี่ยงพฤติกรรมและอาหารที่น่าจะเป็นตัวการกระตุ้นการผายลมโดยเฉพาะ

วิธีรักษาเพื่อลดแก๊สในระบบย่อยอาหาร

การมีแก๊สในระบบย่อยอาหารมากเกินไปนั้น ยังไม่มียาสำหรับรักษาให้หายอย่างเด็ดขาด มีเพียงยาบางชนิดที่อาจช่วยลดอาการอาหารไม่ย่อย ซึ่งมีขายตามร้านขายยาทั่วไป เช่น

  • แอลฟา-กลูโคซิเดส ตัวยาประกอบด้วยเอนไซม์ที่จะช่วยย่อยสลายคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนในอาหารจำพวกถั่ว ธัญพืช และผักหลาย ๆ ชนิดให้กลายเป็นน้ำตาลที่ย่อยง่ายขึ้น โดยรับประทาน 2-3 เม็ดก่อนมื้ออาหาร ทว่าอาหารเสริมชนิดนี้จะไม่เห็นผลในกรณีที่แก๊สเกิดจากเส้นใยอาหารหรือแลคโตส
  • เอนไซม์แลคเตส สามารถช่วยย่อยแลคโตสในนม สำหรับผู้ที่มีภาวะย่อยแลคโตสในนมผิดปกติ
  • ยาไซเมทิโคน เป็นยาที่ช่วยลดฟองแก๊สในระบบย่อยอาหาร ถ่านกัมมันต์หรือชาร์โคล อาจมีคุณสมบัติช่วยลดการเกิดแก๊สหรืออาการท้องอืด โดยจะไปจับกับของเหลวในลำไส้และลดแก๊ส ลดอาการท้องอืด ทั้งยังทำให้อุจจาระจับตัวเป็นเนื้อยิ่งขึ้น

ตดบ่อยมากเป็นเพราะอะไร

การตด หรือการผายลมบ่อยมากเกินไปนั้นเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงสุขภาพภายในได้เป็นอย่างดี ซึ่งภาวะหรือโรคที่เกี่ยวข้องกับการตด ได้แก่ โรคมะเร็งลำไส้ โรคลำไส้แปรปรวน ระบบดูดซึมอาหารทำงานผิดปกติ การแพ้อาหารที่มีส่วนประกอบของแลคโตส (lactose) เช่น นมวัวและโยเกิร์ต ภาวะที่เกี่ยวของกับกระเพาะอาหาร เช่น การที่อาหารเป็นพิษ ฯลฯ

ตดมีกลิ่นเหม็นเพราะอะไร

ในแพทย์แผนจีนการที่ตดบ่อย และมีกลิ่นเหม็นมากๆนั้น คืออาการของลำไส้ กระเพาะอาหาร ม้ามทำงานไม่ดี กลิ่นเหม็นยิ่งมาก มักจะมาจากความร้อนชื้น การที่จะลดความร้อนชื้นได้นั้น เราไม่ควรรับประทานเนื้อสัตว์เยอะ ไม่รับประทานอาหารที่มีฤทธิ์เผ็ดร้อน พยายามดื่มน้ำมากๆ ก็อาจจะช่วยลดอาการตดเหม็นได้ค่ะ

กลิ่นตดบอกอะไรได้บ้าง

กลิ่นของการผายลม สามารถบอกสุขภาพภายในสำไส้ได้ 3 แบบ ไร้กลิ่น เกิดได้จากทานโปรตีนน้อย มีกลิ่น เกิดจากการทานอาหารที่มีโปรตีนหรือผักที่มีกลิ่นแรง มีกลิ่นแรง มากผิดปกติอาจเกิดจากลำไส้มีการติดเชื้อแบคทีเรีย ลำไส้ที่มีอุจจาระค้างอยู่นานหรือลำไส้อุดตัน

คนเราควรตดวันละกี่ครั้ง

ตด หรือผายลม เป็นการปล่อยแก๊สในลำไส้ออกทางทวารหนัก ซึ่งเป็นผลมาจากกระบวนการสะสมในระบบย่อย อาจมีเฉพาะเสียง กลิ่น หรือทั้งสองอย่าง ทางการแพทย์ระบุว่ามนุษย์ต้องตดเฉลี่ยวันละ 10-20 ครั้ง ซึ่งเป็นเรื่องธรรมชาติเป็นการระบายแก๊สที่สะสมอยู่ในร่างกายที่อาจส่งผลให้ท้องอืด แต่หากมีกลิ่นและเสียงผิดปกติ หรือเกิดขึ้นพร้อมกับอาการทาง ...