จำนวนยอดขาย โทรศ พท ม อถ อ เช ยงใหม

พค.เร่งยกเครื่องระบบบริการ รองรับจดตั้งบริษัทใหม่ คาดปี’67 แตะ 1 แสนรายครั้งแรก เล็งสุ่มตรวจนอมินี 2.6 หมื่นราย

เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในปี 2567 กรมยังเดินหน้าการยกระดับและเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ ลดกฎระเบียบ ควบคู่กับการขับเคลื่อนการทำงานของกรมภายใต้วิสัยทัศน์ เป็นองค์กรภาครัฐชั้นนำด้านบริการดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบในปี 2570 และสร้างพลังขับเคลื่อนธุรกิจไทยให้ยั่งยืนด้วยนวัตกรรม ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรภาครัฐและเอกชน ช่วยเหลือธุรกิจและประชาชนในการเพิ่มรายได้ ลดภาระค่าใช้จ่าย เช่น จัดหาช่องทางตลาด หนุนขายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ หาแหล่งทุนด้วยดอกเบี้ยอัตราพิเศษ จัดมหกรรมรวมพลัง SMEs ไทยปลายเดือนมีนาคม 2567 ครั้งแรกที่กรุงเทพฯ

จากนั้นออนทัวร์ให้ครบ 4 ภูมิภาค รวมถึงกรมอยู่ระหว่างขอมติ ครม.เห็นชอบร่างกฎหมายของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เพื่อลดต้นทุน และอำนวยความสะดวกการประกอบธุรกิจ เช่น ร่างกฎกระทรวงยกเลิกกฎกระทรวงซึ่งออกตามกฎหมายว่าด้วยหอการค้าบางฉบับที่ไม่เหมาะสมกับกาลปัจจุบัน พ.ศ. … (ยกเลิกค่าธรรมเนียมหอการค้า) และร่างกฎกระทรวงลดอัตราค่าธรรมเนียม สำหรับห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัดในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ พ.ศ. … เป็นต้น

นางอรมนกล่าวว่า ประกอบกับทิศทางการฟื้นตัวเศรษฐกิจ ตามการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง จะเป็นแรงกระตุ้นยอดจัดตั้งบริษัทใหม่เพิ่มขึ้น ดูจากแนวโน้มยอดยื่นตั้งบริษัทใหม่ 11 เดือนแรกปี 2566 รวมแล้วกว่า 8.1 หมื่นราย ทั้งปี 2566 คาดเกิน 8.5 หมื่นราย จึงตั้งเป้าจะผลักดันยอดจดตั้งบริษัทใหม่ปี 2567 แตะ 1 แสนราย และทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และพบว่าต่างชาติเข้ามาขอจดตั้งบริษัทในไทยเพิ่มขึ้น จากข้อมูล 11 เดือนแรกปีนี้

ประเทศที่เข้ามาลงทุนผ่านการจดทะเบียนนิติบุคคลตามกฎหมายไทย มากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่ จีน 1,880 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 234% ทุนมากสุด อาทิ การผลิตอุปกรณ์ควบคุมและจ่ายไฟฟ้า ผลิตเหล็กและเหล็กกล้าแผ่น ผลิตเครื่องจักรใช้งานทั่วไป ตามด้วยสิงคโปร์ 704 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 321% จีน-ฮ่องกง 523 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 730% เมียนมา 136 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 401.73% และเยอรมนี 99 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7,539%

นางอรมนกล่าวต่อว่า พร้อมกันนี้ กรมให้ความสำคัญและเข้มงวดการป้องปรามธุรกิจที่มีลักษณะนอมินี (คนไทยถือหุ้นแทนต่างชาติ) เพื่อหลีกเลี่ยงการขออนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ซึ่งปี 2567 มีแผนตรวจสอบบริษัทถือหุ้นโดยต่างด้าวว่าปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวหรือไม่ หรือส่อเป็นนอมินี ประมาณ 26,000 ราย ที่ส่วนใหญ่ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้อง ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และร้านอาหาร และ เน้นในพื้นที่เป้าหมายที่นักท่องเที่ยวนิยม 9 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี ชลบุรี ระยอง ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี และกรุงเทพฯ

การตรวจสอบ เช่น ธุรกิจที่คนต่างด้าวถือหุ้นไม่ถึงร้อยละ 50 ธุรกิจมีคนต่างด้าวเป็นผู้มีอำนาจกระทำการ การกำหนดให้สิทธิคนต่างด้าวมากกว่าคนไทยไม่ว่าจะเป็นเรื่องสิทธิการออกเสียงลงคะแนน สิทธิการรับเงินปันผล รวมทั้งสิทธิการรับคืนทุนเมื่อเลิกกิจการ เป็นต้น สำหรับผลการตรวจสอบปี 2566 ได้คัดเลือกตรวจสอบ 15,000 ราย พบว่า สงสัยอาจเสี่ยงเข้าข่ายนอมินี 400 ราย และตรวจสอบเชิงลึกพบกระทำผิดเข้าข่ายเป็นนอมินี 8 ราย ที่ประกอบธุรกิจด้านท่องเที่ยวและอสังหาริมทรัพย์ ในเชียงใหม่ ภูเก็ต และพัทยา ซึ่งเป็นการกระทำผิดตามกฎหมายผู้ประกอบการต่างด้าว ที่มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับตั้งแต่ 1 แสน ถึง 1 ล้านบาท และปรับรายวัน 1-5 หมื่นบาทต่อวัน ขณะที่บริษัทที่เหลือบางส่วนผิดกฎหมายของหน่วยงานอื่น ก็ได้ส่งเรื่องต่อให้หน่วยงานนั้นๆ แล้ว

“ผู้กระทำผิด ก็ไม่ใช่จะมีแต่จีน รัสเซียหรือคนยุโรป ก็มี ซึ่งการเพิ่มจำนวนตรวจสอบนอมินีปี 2567 มากขึ้นตามทิศทางของการฟื้นตัวของธุรกิจ โดยเฉพาะภาคท่องเที่ยว ค่อนข้างเพิ่มมาก และมักเป็นกลุ่มที่มีกระแสความกังวลเรื่องการเข้ามาลงทุนของต่างชาติ แต่ไม่ได้ทำถูกกฎหมายไทย” นางอรมนกล่าว

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดข้อมูลคาดการณ์ธุรกิจโดดเด่นในปี 67 กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวยังคงมาแรง สอดรับกับมาตรการสนับสนุนการท่องเที่ยวของภาครัฐ สวนทางกับกลุ่มธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติกและเคมีภัณฑ์ ที่เสี่ยงเป็นธุรกิจดาวดับ ตามเทรนด์รักษ์โลกของคนในยุคปัจจุบัน

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า กรมได้นำข้อมูลจากคลังข้อมูลธุรกิจมาทำการวิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจเชิงลึก เพื่อเฟ้นหาธุรกิจดาวเด่น และธุรกิจสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอย สำหรับปี 25667 พบว่าปี 2567 ธุรกิจที่มีความโดดเด่นและน่าจับตามอง แบ่งเป็น 4 กลุ่มธุรกิจ 9 ประเภทธุรกิจ ประกอบด้วย กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ถือเป็นธุรกิจที่ได้รับผลดีจากปัจจัยบวกในการเปิดประเทศและมาตรการสนับสนุนภาครัฐที่ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องสามารถดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจ สร้างโอกาสและรายได้ให้กับกลุ่มธุรกิจได้เป็นอย่างดี

ทั้งนี้ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวที่น่าสนใจ คือ 1.ธุรกิจท่องเที่ยว เช่น ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร ธุรกิจโรงแรม รีสอร์ต ห้องชุด เกสต์เฮาส์ ธุรกิจจัดนำเที่ยว ธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินตรา ธุรกิจตัวแทนการเดินทาง และ 2.ธุรกิจการจัดประชุม แสดงสินค้า คอนเสิร์ต เช่น ธุรกิจการจัดแสดงทางธุรกิจและสินค้า ธุรกิจการจัดประชุม ธุรกิจจัดงานเลี้ยง ธุรกิจกิจกรรมด้านความบันเทิง

กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับด้านสุขภาพ กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพ เพื่อการรักษารูปร่าง หน้าตา และการดูแลสุขภาพของบุคคล สำหรับกลุ่มที่มีความต้องการดูแลเป็นพิเศษ มีประเภทธุรกิจที่น่าสนใจ ประกอบด้วย 1.ธุรกิจสุขภาพและความงาม เช่น ธุรกิจปลูกพืช เครื่องเทศ เครื่องหอม ยารักษาโรค ธุรกิจโรงพยาบาล คลินิกโรคเฉพาะทาง ธุรกิจขายปลีก/ส่งเภสัชภัณฑ์และเวชภัณฑ์ และ 2.ธุรกิจดูแลผู้สูงอายุ เช่น ธุรกิจสถานที่ดูแลรักษาสำหรับผู้สูงอายุ ธุรกิจบริการจัดหาที่พักให้ ธุรกิจสังคมสงเคราะห์โดยไม่มีที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุ กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องรูปแบบการใช้ชีวิต

กลุ่มธุรกิจนี้ถือเป็นธุรกิจที่น่าจับตามองเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับรูปแบบการใช้ชีวิตและไลฟ์สไตล์ของคนในปัจจุบัน มีการปรับรูปแบบให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยประเภทธุรกิจที่น่าสนใจประกอบด้วย 1.ธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง เช่น ธุรกิจดูแลสัตว์เลี้ยง ธุรกิจขายปลีกอาหารและอุปกรณ์สัตว์เลี้ยง ธุรกิจขายส่งอาหารสัตว์ และ 2.ธุรกิจเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม เช่น ธุรกิจรีไซเคิล ธุรกิจให้คำปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อม ธุรกิจผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า

กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับบริการดิจิทัลและซอฟต์แวร์ เป็นกลุ่มธุรกิจตอบโจทย์โลกปัจจุบันที่ขับเคลื่อนด้วยดิจิทัลและนวัตกรรม ทั้งภาครัฐและภาคธุรกิจ ครอบคลุมทุกช่วงวัยของประชากรในสังคม มีมูลค่าทางการตลาดระดับสูง โดยมีประเภทธุรกิจที่น่าสนใจ ประกอบด้วย 1.ธุรกิจบริการ e-Commerce ได้แก่ ธุรกิจขายปลีกทางอินเทอร์เน็ต และธุรกิจตลาดกลางในการซื้อขายออนไลน์ 2.ธุรกิจบริการชำระเงินแบบดิจิทัล ได้แก่ ธุรกิจการประมวลผลและการเรียกชำระเงินสำหรับธุรกรรมทางการเงิน เป็นธุรกิจให้บริการชำระเงินค่าสินค้าหรือบริการผ่านทางออนไลน์ และ 3.ธุรกิจซอฟต์แวร์ เช่น ธุรกิจจัดทำโปรแกรมเว็บเพจ ธุรกิจจัดทำโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ธุรกิจให้คำปรึกษาทางด้านซอฟต์แวร์

ทั้งนี้ ปี 2566 ธุรกิจที่มีความโดดเด่นและมาแรง 5 ธุรกิจ ประกอบด้วย 1.กลุ่มธุรกิจการท่องเที่ยว ซึ่งยอดตั้งธุรกิจใหม่ เพิ่มขึ้นถึง 64% ได้แก่ ธุรกิจจัดนำเที่ยว ตัวแทนธุรกิจการเดินทาง โรงแรม รีสอร์ต ห้องชุด สปา และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ

2.กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพิ่มขึ้น 36% ได้แก่ ธุรกิจกิจกรรมของตัวแทนและนายหน้าอสังหาริมทรัพย์โดยได้รับค่าตอบแทนหรือตามสัญญาจ้าง และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

3.กลุ่มธุรกิจสมุนไพร เพิ่มขึ้น 33% ได้แก่ การปลูกพืชประเภทเครื่องเทศ เครื่องหอม ยารักษาโรค พืชทางเภสัชภัณฑ์ และการผลิตผลิตภัณฑ์จากพืชและสัตว์ที่ใช้รักษาโรค

4.กลุ่มธุรกิจการติดตั้งไฟฟ้าและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เพิ่มขึ้น 25% ได้แก่ ธุรกิจการติดตั้งไฟฟ้า การผลิต ส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ การขายส่งอุปกรณ์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และการผลิตแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ 5.กลุ่มธุรกิจ e-Commerce หรือธุรกิจการค้าปลีกสินค้าออนไลน์ เพิ่มขึ้น 19%

นอกจากนี้ปี 2566 ธุรกิจที่เสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอย 3 ธุรกิจ ประกอบด้วย 1.กลุ่มธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติกและเคมีภัณฑ์ ลดลง 30% ได้แก่ ธุรกิจการผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติก การผลิต ปุ๋ยเคมีและการผลิตเคมีภัณฑ์อนินทรีย์ขั้นมูลฐาน 2.กลุ่มธุรกิจขายปลีกสินค้าในร้านค้า หรือธุรกิจการค้าปลีกช่องทางออฟไลน์ ลดลง 12% 3.กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเชื้อเพลิงสันดาป ลดลง 5% ได้แก่ ธุรกิจการขายปลีกเชื้อเพลิงยานยนต์ในสถานี หรือสถานีบริการน้ำมัน การขายส่งเชื้อเพลิงแข็ง/เหลว และการทำเหมืองแร่ เหมืองแร่อโลหะและเหมืองหิน

อย่างไรก็ตาม จากการวิเคราะห์โดยใช้ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์จากหลายภาคส่วน เช่น จำนวน/อัตราการเติบโตของการจัดตั้ง อัตราการเลิก การเพิ่มปริมาณการลงทุนของธุรกิจ (จำนวนการเพิ่มทุนจดทะเบียน) และข้อมูลจากปัจจัยภายนอก ได้แก่ แนวโน้มธุรกิจ กระแสความนิยม นโยบายภาครัฐ ดัชนีทางเศรษฐกิจ ร่วมกับสถานการณ์ภาพรวมของประเทศ ดังนั้น ปี 2566 ธุรกิจดาวเด่นที่มาแรงส่วนใหญ่จะสอดคล้องกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศและของโลก โดยเฉพาะธุรกิจที่เคยประสบปัญหาช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้กลับมาฟื้นตัวจนมีความโดดเด่นอีกครั้ง

ขณะที่ธุรกิจที่เสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอยจะสอดคล้องกับกระแสธุรกิจรักษ์โลกและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น โดยมีผลจากเทคโนโลยีดิจิทัล บริการรูปแบบธุรกิจใหม่ๆ ที่ส่งผลกระทบและเปลี่ยนแปลงมูลค่าบริการและสินค้าที่มีอยู่ของอุตสาหกรรมเดิม ซึ่งในปี 2567 ธุรกิจเสี่ยงสู่ภาวะถดถอยยังเหมือนปี 2566 โดยหากดูตัวเลขยอดจดทะเบียนตั้งใหม่ปี 66 คาดว่าทั้งปีจะเกินกว่า 80,000-90,000 ราย และคาดว่าจากแผนส่งเสริมในด้านต่างๆ ของรัฐบาลจะทำให้ยอดจดทะเบียนตั้งใหม่ในปี 67 จะมียอดเกือบถึง 100,000 รายได้แน่นอน

นอกจากนี้กรมฯ ยังมีแผนการตรวจสอบธุรกิจที่มีลักษณะนอมินี หรือการให้คนไทยถือหุ้นแทนคนต่างด้าวเพื่อหลีกเลี่ยงการขออนุญาตประกอบธุรกิจตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ว่าในปี 2567 กรมมีแผนที่จะตรวจสอบธุรกิจที่มีแนวโน้มเข้าข่ายเป็นนอมินีตั้งแต่ขั้นตอนการจดทะเบียน โดยก่อนจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล จะตรวจสอบเอกสารที่ธนาคารออกให้เพื่อรับรองหรือแสดงฐานะการเงินของผู้เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นคนไทยที่ลงทุนหรือถือหุ้นในนิติบุคคลร่วมกับคนต่างด้าว เพื่อแสดงความน่าเชื่อถือว่าคนไทยที่ร่วมลงทุนมีฐานะทางการเงินที่สามารถลงทุนด้วยตนเองได้ และเมื่อจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลแล้วยังจะกำกับดูแลอย่างต่อเนื่องตามแผนงานโครงการตรวจสอบประจำปี ซึ่งในปี 2567 มีเป้าหมายตรวจสอบนิติบุคคลประมาณ 26,000 ราย ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจท่องเที่ยวและเกี่ยวเนื่อง ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ต เป้าหมาย 9 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี ชลบุรี ระยอง ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี และกรุงเทพฯ โดยพิจารณาจากการถือหุ้นของคนต่างด้าว ตั้งแต่ 40% ขึ้นไป เป็นธุรกิจที่มีคนต่างด้าวเป็นผู้มีอำนาจกระทำการ มีการกำหนดให้สิทธิคนต่างด้าวมากกว่าคนไทย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสิทธิการออกเสียงลงคะแนน สิทธิการรับเงินปันผล รวมทั้งสิทธิการรับคืนทุนเมื่อเลิกกิจการ

ทั้งนี้ ยังได้นำเรื่องแหล่งที่มาของเงินที่ใช้ในการประกอบธุรกิจ เช่น การกู้ยืมหรือให้กู้ยืมเงินแก่คนต่างด้าวโดยมีเงื่อนไขที่ผิดปกติในทางการค้าหรือทางธุรกิจการเงินทั่วไป มาประกอบการพิจารณา โดยในปี 2566 ได้ตรวจสอบนิติบุคคลที่มีความเสี่ยงรวม 15,000 ราย และเมื่อตรวจสอบแล้วเห็นว่าต้องตรวจสอบเชิงลึกประมาณ 400 ราย จึงได้ทำการตรวจสอบ จนพบพฤติกรรมน่าสงสัย และได้ส่งดำเนินคดีรวม 8 ราย ตามความผิดของ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ส่วนรายอื่นๆ ที่ไม่ผิดกฎหมายที่กรมดูแลอยู่ แต่ผิดกฎหมายของหน่วยงานอื่น เช่น การตรวจคนเข้าเมือง หรือภาษี ได้ส่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามกฎหมายไปแล้ว