การค ดเช งระบบ ม ล กษณะสำค ญค อ

การคิดอยา่ งเปน็ ระบบ

Systematic Thinking

เรียบเรียงโดย ครูกรกฎ รอดพลู

การคดิ เชงิ ระบบ (Systems thinking) เปน็ ท้ังวิธีคดิ และชดุ เครอื่ งมอื ท่ชี ่วยใหเ้ ราเข้าใจสถานการณ์ และสามารถแก้ไขปญั หาไดด้ ีขน้ึ ผา่ นการมองอยา่ งเชือ่ มโยงเป็นระบบ ช่วยใหเ้ รามองโลกในมมุ ใหมผ่ า่ น เปา้ หมาย บรบิ ท ความเช่ือมโยง และพฤติกรรมของระบบ เพอื่ ให้ได้ข้อมูลเชิงลกึ และความเข้าใจในมมุ ใหมๆ่ ที่เราจะไมเ่ ห็นหากใชก้ ารมองอยา่ งแยกสว่ น

กอ่ นทจ่ี ะพดู ถงึ การคดิ เชิงระบบและการประยกุ ตใ์ ช้การคิดเชิงระบบในการแก้ไขปญั หาใน รายละเอยี ด มาดกู นั ก่อนว่าระบบคืออะไร?

ระบบคอื อะไร?

ระบบคือการเชื่อมโยงกันขององคป์ ระกอบย่อยเพื่อบรรลวุ ัตถปุ ระสงคบ์ างอย่าง ระบบมี องคป์ ระกอบ 3 อยา่ ง ได้แก่

องคป์ ระกอบย่อย การเชือ่ มโยงซ่งึ กันและกนั เป้าหมาย

(elements) (interconnectedness) (purpose)

1. องคป์ ระกอบยอ่ ย(elements) เชน่ ระบบย่อยอาหารมอี งค์ประกอบย่อยอนั ได้แก่ ปาก คอ ลำไส้ กระเพาะอาหาร เอนไซมต์ า่ ง ๆ

2. การเชือ่ มโยงซง่ึ กนั และกนั (interconnectedness) เช่น ระบบย่อยอาหารเชอ่ื มโยงกันด้วยการไหลของ อาหารและสารเคมีท่ีช่วยในการยอ่ ย

3. เปา้ หมาย (purpose) เช่น ระบบย่อยอาหารมีเปา้ หมายในการทำให้รา่ งกายสามารถดดู ซมึ สารอาหารไปท่ี กระแสเลือดและกำจดั ของเสียออกจากร่างกาย

ระบบไม่จำเปน็ ต้องเป็นระบบทางกายภาพเสมอไป ทีมฟุตบอลกเ็ ปน็ ระบบ ท่ปี ระกอบด้วยนกั กีฬา โคช้ สนาม และลกู บอล ท่เี ชื่อมโยงกนั ดว้ ยกติกา กลยทุ ธ์ของโคช้ การสื่อสารของผเู้ ลน่ และกฎทางฟสิ กิ ส์ท่ี ทำใหท้ ง้ั ลูกบอลและผู้เล่นเคลื่อนทไ่ี ปได้ โดยมเี พ่อื หมายในการออกกำลงั กาย เพ่ือสนั ทนาการ เพื่อชัยชนะ หรอื เพ่ือสร้างรายได้ หรอื มากก่วาหนึง่ เป้าหมายรวมกนั

โรงเรยี น โรงพยาบาล ระบบสุริยะ สัตว์ หรือต้นไม้กเ็ ปน็ ระบบ ป่ากเ็ ป็นระบบท่ปี ระกอบดว้ ย ระบบยอ่ ยอยา่ งต้นไม้และสตั วต์ ่าง ๆ

ถา้ แบบนน้ั แล้วระบบหมายถงึ การรวมกลมุ่ กนั ของอะไรก็ตามใช่ไหม? คำตอบคือไม่เสมอไป ก้อน กรวดท่อี ยู่กระจดั กระจายอยู่บนถนนเป็นระบบหรือไม่? คำตอบคือไมเ่ ปน็ เพราะว่าก้อนกรวดเหล่านั้นไม่ได้ เชื่อมโยงกนั และไม่ไดม้ าอยู่รวมกันอย่างมเี ป้าหมาย ไม่วา่ เราจะเพิ่มหรอื ลดก้อนกรวดก็ยงั เปน็ กองกรวดท่ี กระจดั กระจายอยู่บนถนน แต่ในทางกลบั กันหากขาดอวัยวะซักอย่างหนงึ่ ระบบย่อยอาหาร ร่างกายก็จะไม่ สามารถทำงานได้ตามปกติ

แล้วการคิดเชิงระบบใชท้ ำอะไรได้บา้ ง

การคดิ เชิงระบบเป็นกรอบความคดิ ทสี่ ามารถประยุกต์ใช้ได้ในหลายจุดประสงค์และบริบท เชน่

• เพอ่ื ทำความเขา้ ใจเช่นนักชีววทิ ยาใช้การคิดเชิงระบบในเพื่อทำความเข้าใจระบบทซ่ี บั ซ้อนอยา่ งระบบ นเิ วศวทิ ยา

• เพื่อทำนายเชน่ นกั เศรษฐศาสตรใ์ ช้การคิดเชิงระบบในการทำความเข้าใจพลวัตของเศรษฐศาสตร์โลก เพอื่ การทำนายแนวโนม้ และวางแผนรองรับสถานกาณ์ในอนาคต

• เพอื่ แก้ปัญหาเชน่ นักวิทยาศาสตร์ วศิ วกร และนักธรุ กิจใช้การคิดเชงิ ระบบเพื่อแกป้ ัญหาในกระบวนการ ผลิตหรือธุรกรรมต่าง ๆ ซึง่ การประยกุ ตใ์ นการคิดเชงิ ระบบในบริบทนถี้ ูกพฒั นาไปเปน็ กระบวนการ ที่ เรียกว่า Lean และ Six sigma

• เพื่อออกแบบระบบเชน่ วิศวกร นักออกแบบเชงิ ระบบ และสถาปนกิ พัฒนาชุดเครอ่ื งมือทเ่ี รียกวา่ วศิ วกรรม เชงิ ระบบเพื่อใช้ในการออกแบบระบบทีซ่ ับซ้อน

การคิดเชงิ ระบบ (Systems Thinking) คือแนวคิดและเครื่องมือในการทำความเขา้ ใจและ แก้ปญั หาในระบบซบั ซ้อน (complex systems) และมพี ลวัต (dynamics) ผา่ นกระบวนการคดิ ใน 3 ลกั ษณะ

1. คดิ ลกึ คือ การทำความเข้าถึงรากของปญั หา โดยเคร่ืองมือหลกั คอื Iceberg model (แบบจำลองภูเขา นำ้ แขง็ ) และ Ladder of inference (บนั ไดการอนมุ าน)

2. คิดครบ คือ การคิดอย่างครบถว้ น ด้วยการมองจากภาพใหญ่ และทำความเขา้ ใจความสัมพนั ธ์ โดย เครอ่ื งมือหลกั คือ Causal loop diagram (CLD) หรือ แผนภาพวงจรสาเหตุ และ Stocks and flows diagram (SFD) หรือ แผนภาพการสะสมและการไหล

3. คิดยาว คอื การสงั เกตและทำความเข้าใจพลวัตของระบบในระยะยาว โดยเคร่ืองมือหลกั คอื Behavior- over-time (BOT) graphs หรอื กราฟการเปลีย่ นแปลงของพฤติกรรมในชว่ งเวลา

Iceberg model เปน็ หนึ่งในเครอื งมือของการคดิ เชงิ ระบบทชี่ ่วยใหเ้ ราเข้าใจระบบได้อย่างลกึ ซง้ึ ขึ้น ปญั หาเชงิ มรี ากที่ใหญแ่ ละลกึ เปรยี บไดก้ บั ภูเขาน้ำแข็งทโี่ ผลเ่ หนอื น้ำทด่ี ูเหมือนมีขนาดเลก็ แตม่ ขี นาดภเู ขา น้ำแข็งขนาดใหญ่ซ่อนอยู่ใตน้ ้ำ

Iceberg model มี 4 ชั้นจากบนลงล่าง

1. เหตกุ ารณ์ (events) เป็นสิง่ ทสี่ งั เกตเหน็ ได้ เปรียบได้กับยอดภเู ขานำ้ แข็งท่ีโผลม่ าเหนือน้ำ ในตัวอย่างนี้ คือ พนักงานมาสายในวันอังคาร

2. แนวโน้ม (patterns) คอื แนวโน้มหตกุ ารณ์ทเ่ี กดิ ขน้ึ เม่อื สงั เกตในกรอบระยะเวลาหนง่ึ ในตัวอยา่ งน้ี คือ พนักงานมาสายทกุ วนั อังคาร

3. โครงสร้าง (structure) แสดงให้เห็นความสมั พันธข์ ององค์ประกอบย่อยในระบบ เชน่ ในกรณนี คี้ ือ พนักงาน และเวลางาน ที่ไมม่ ีความยดื หยุ่น กล่าวคือพนักงานจะต้องเข้างานในเวลาท่ีกำหนดไว้ โครงสรา้ งเปน็ สาเหตุ ของแนวโนม้ ในกรณีน้ี พนักงานคนนอ้ี าจเรียนภาคคำ่ ทุกคืนวนั จนั ทร์สง่ ผลใหม้ าสายทุกวันอังคาร

4. Mental models คอื วธิ ีการมองโลกของผ้ทู ี่อยใู่ นระบบ ในกรณนี ี้ ผูจ้ ัดการอาจจะคิดว่าเขาไมส่ ามารถเชื่อ ใจว่าพนักงานจะทำงานอย่างเตม็ ทไี่ ด้หากใหใ้ ห้ความยดื หยุ่นเร่ืองเวลาและสถานทใี่ นการทำงาน จึงตอ้ งให้ พนกั งานมาทำงานท่ีออฟฟิศในเวลาที่กำหนด เพื่อท่ีเคา้ จะได้เหน็ ดว้ ยตาตนเองว่าพนกั งานกำลังทำงานอยู่

การคดิ และแก้ไขปญั หาเชิงระบบ สง่ิ แรกๆ ที่มีความสำคัญคือการความเขา้ ใจรากเง้าของพฤติกรรมของ ระบบ ดังนน้ั Iceberg model จึงเปน็ เคร่อื งมือสำคัญทีช่ ว่ ยใหเ้ รามองลึกเขา้ ไปถึงแนวโนม้ ความสมั พนั ธ์ และสาเหตขุ องพฤติกรรม เพ่ือท่ีจะเข้าใจระบบทีเ่ รากำลงั ออกแบบได้ดีข้นึ

การมองเฉพาะเหตุการณ์เปรียบเสมือนการมองปัญหาทเ่ี ห็นเฉพาะก้อนนำ้แข้งท่ีอย่เู หนือผิวนำ้ การแก้ไข ปัญหาเชิงระบบมองเห็นสงิ่ ท่ีอยู่ใตน้ ำ้ ท่ีทำให้เกดิ เหตุการณ์น้นั ซำ้ แล้วซำ้ ย่งิ เรามองเหน็ ประเดน็ ที่ซ่อนอยู่ใต้ น้ำมากข้นึ เทา่ ไหร่ ยงิ่ เปน็ โอกาสใชจ้ ุดคานงัดที่ย่ิงมีประสทิ ธิภาพในการแก้ไขปญั หาเชงิ ระบบมากขน้ึ เท่านน้ั

คิดลกึ – ดว้ ย Ladder of Inference หลายๆ ครงั้ เราดว่ นสรปุ หรอื มีความอคติ จงึ ทำให้ตัดสินใจผิดพลาด Ladder of inference ชว่ ยใหเ้ รา สามารถตรวจสอบสมมติฐานของเราอย่างเป็นขนั้ เปน็ ตอน เพ่อื มองโลกอยา่ งไม่มีอคตแิ ละช่วยใหต้ ัดสนิ ใจได้ ดีขนึ้

เรม่ิ จากปลายบนั ได ทีป่ ระสบการณใ์ นอดตี ทำใหเ้ ราสงั เกตเห็นขอ้ มลู และเหตุการณบ์ างอย่าง และไมเ่ หน็ บางอย่าง จากนน้ั ปจั จยั ด้านวัฒนธรรม การเล้ยี งดู วิธีมองโลกของเรา ทำให้เราสรา้ งความหมายกับขอ้ มูล และเหตกุ ารณ์น้นั ๆ ความหมายทเ่ี ราตีความมาน้ันก่อใหเ้ กิดความเช่อื ความเช่ือก่อใหเ้ กิดการกระทำ

ขอยกตัวอยา่ งสถานการณเ์ พอื่ ให้เห็นภาพ

Ladder of inference ช่วยใหเ้ รามองเหตกุ ารณ์ตามความเปน็ จริง เปน็ เครื่องมือชว่ ยสะท้อนคิด (self- reflection) ของนักคดิ เชงิ ระบบ ชว่ ยให้เราสามารถเข้าใจระบบได้อยา่ งท่มี นั เปน็ จรงิ ๆ โดยแยกแยะข้อมูล ทเี่ ปน็ ขอ้ เทจ็ จรงิ หรือสง่ิ ท่ีเกดิ ขน้ึ จรงิ (facts)ออกจากการตีความตามความเชอ่ื หรือประสบการณ์ในอดตี ของ เรา(interference)ซ่งึ อาจจะทำให้เกดิ อคติ และทำให้เราสังเกตปัญหาไดไ้ ม่ตรงตามความเปน็ จริง

คิดครบ – ด้วย Causal Loop Diagram Causal Loop Diagram (CLD) เป็นหนึ่งในเคร่ืองมอื ของ Systems thinking ท่ีช่วยให้เห็นความสัมพันธ์ ระหว่างองคป์ ระกอบย่อย (element)ในระบบ ซ่ึงสง่ ผลต่อพฤติกรรมของระบบ

CLD เป็นเคร่ืองมือที่ใช้อธบิ ายความสมั พนั ธเ์ ชงิ คุณภาพระหวา่ งสาเหตุหรอื ปัจจัยท่ีเกี่ยวขอ้ งกับปญั หากับ ผลลัพธ์ทเ่ี ราสนใจศกึ ษา และสามารถระบุทิศทางของความสมั พันธจ์ ากการเปล่ยี นแปลงเชงิ ปรมิ าณได้ โดย ใสเ่ ครือ่ งหมาย + หรือ -เพอ่ื แสดงทศิ ทางของความสัมพนั ธ์จากการเปล่ียนแปลงเชงิ ปริมาณ หากการ เปลย่ี นแปลงเชิงปริมาณของสาเหตุ (cause) ทำใหม้ ีการเปล่ยี นแปลงของผลลพั ธใ์ นทิศทางเดียวกัน ใช้ เครอ่ื งหมาย + หรือ S (same, similar) แตถ่ า้ การเปล่ยี นแปลงเชงิ ปริมาณของสาเหตุทำใหม้ กี าร เปลี่ยนแปลงของผลลพั ธใ์ นทางตรงกันข้าม ใช้เคร่ืองหมาย – หรือ O (opposite)

การบริโภคมากขน้ึ จนเกินความต้องการของรา่ งกาย ทำให้เสยี่ งตอ่ ภาวะอว้ น ยิง่ บริโภคมากข้นึ ก็ ย่ิงทำใหน้ ้ำหนกั เพิม่ ข้นึ จึงมที ิศทางความสัมพันธเ์ ป็นบวก หรอื การบรโิ ภคน้อยลง กย็ ิ่งทำใหน้ ำ้ หนักน้อยลง ก็ยงั คงมที ิศทางความสมั พนั ธเ์ ป็นบวก แต่ถ้ามีการออกกำลงั กายเป็นประจำเพมิ่ มากขน้ึ ทำใหโ้ อกาสที่ นำ้ หนกั จะเกินเกณฑล์ ดลง จงึ มีความสมั พนั ธ์เป็นลบนอกจากนี้ความสัมพันธย์ งั สามารถเชื่อมโยงยอ้ นกลับ เป็น Feedback loop (วงจรป้อนกลบั ) ได้ด้วย

Reinforcing loop (วงจรเสริมกำลงั ) ก่อใหเ้ กดิ ผลกระทบแบบกอ้ นหิมะ (Snowball effect) ซง่ึ ทำให้สถานการณ์ท่ีใหญโ่ ตขน้ึ อยา่ งรวดเร็ว เทียบได้กับก้อนหิมะที่สะสมมวลหมิ ะขณะกลิ้งลงจากภเู ขาที่ สะสมมวลหมิ ะ เมื่อใหญ่ข้ึนก็ทำให้ย่ิงเพ่ิมความเร็ว และย่งิ เมือ่ เพ่ิมความเรว็ ก็ยงิ่ ทำให้ใหญ่ขน้ึ อย่างทวีคูณ

ขอยกตัวอย่างใกลต้ วั เมือ่ มใี ครซักคนพดู ไมด่ กี ับเราๆ คงรู้สึกโกรธ และถ้าพูดตอบโต้ไมด่ ีดว้ ย อารมณโ์ กรธ ซง่ึ กย็ ่งิ อาจทำใหเ้ กดิ การโกรธมากยง่ิ ขึน้ เราใช้ R เป็นสัญลักษณข์ อง Reinforcing loop

วงจรอกี แบบหนึ่งคอื Balancing loop (วงจรสร้างสมดุล) มคี ณุ สมบัติในการรักษาสมดุล ตัวอยา่ ง ใกล้ตวั กค็ ืออาการหวิ เมื่อเราหวิ เราก็กิน เมื่อกนิ ไปถึงจนอ่ิมแล้ว เรากห็ ายหวิ จงึ หยดุ กนิ

ในระบบหนึง่ อาจจะมีความสัมพันธ์มากกวา่ 1 feedback loop เชน่ กรณีจำนวนประชากรกเ็ กีย่ วข้องกับ การตายและการเกิด โดยความมคี วามสัมพนั ธ์แบบ Reinforcing loop กบั การเกดิ เพราะเมื่อมกี ารเกดิ ก็ ทำให้ประชากรเพ่ิมขนึ้ และเมอ่ื มปี ระชากรเพิ่มข้นึ กท็ ำให้มีการเกิดมากขึ้น สญั ลักษณ์ || บง่ บอกถึงการ ล่าช้า (delay) ท่ีเกิดข้นึ ในกรณีน้ีหมายถงึ ประชากรต้องเติบโตถึงวัยเจริญพนั ธถ์ ึงจะมลี ูกได้ (มีการเกิด)

สว่ นการตายมคี วามสัมพนั ธแ์ บบ Balancing loop กบั จำนวนประชากร เมอื่ มีการตายเพิ่มข้นึ ก็ทำให้ จำนวนประชากรลดลง ในระบบทซี่ ับซ้อนมาก ๆ เช่นระบบสขุ ภาพ มีความเกยี่ วข้องกับหลายคนและและองคก์ รเกนิ กวา่ ท่ใี ครคน เดยี วจะมภี าพท่ีครบถว้ น ดังน้ันในการสร้าง CLD ระบบขนาดใหญ่ มักทำในรูปแบบ Group Model Building (GMB) ซ่ึงก็คอื เวิร์คชอปที่ผูม้ ีส่วนเกี่ยวข้อง(Stakeholders)ท่ีเกีย่ วขอ้ งมาสรา้ ง CLD ร่วมกนั CLD ช่วยใหผ้ ูท้ ี่มสี ่วนเกยี่ วข้องมีภาพเดยี วกนั จงึ กลา่ วไดว้ า่ ประโยชนแ์ รกของ CLD คือการเป็นเครอ่ื งมอื สื่อสาร กอ่ นทจี่ ะนำไปวเิ คราะหห์ าจุดคานงัด (Leverage point) ซึ่งก็คอื การแกป้ ญั หาท่ีใชแ้ รงน้อยแต่ ได้ผลมาก จะสงั เกตไดว้ า่ CLD เป็นเคร่ืองมอื เชงิ คุณภาพท่ีมีจุดประสงคห์ ลักในการเน้นการแสดงความสมั พันธ์ของ องค์ประกอบย่อยของระบบซ่ึงเพยี งพอในการทำความเข้าใจระบบรวมถึงหาจดุ คานงดั ซ่ึงหากตอ้ งการ วิเคราะห์ระบบในเชงิ ปรมิ าณจะต้องเแปลง CLD ไปเป็นStocks and flows diagram ท่ีจะใช้ในการสรา้ ง แบบจำลองของระบบต่อไป

คดิ ครบ – ดว้ ย Stocks and flows diagram

Stocks and flows diagram (แผนภาพการสะสมและการไหล)เป็นหนงึ่ ในเครอ่ื งมือเชงิ ปรมิ าณที่ ชว่ ยทำใหเ้ ข้าใจพลวตั (dynamics)ของระบบ โดย stock คือค่าที่เราสนใจ เช่นปริมาณประชากร จำนวน ผ้ปู ่วยในแผนกฉุกเฉนิ จำนวนเงนิ เกบ็ ในบัญชีออมทรัพย์ของเรา stock จะตอ้ งเปน็ สิ่งท่ีวดั หรอื นบั ได้ แตไ่ ม่ จำเปน็ ตอ้ งเป็นสงิ่ ของทางกายเทา่ นนั้ ความพงึ พอใจก็เปน็ stockไดf้ lowคือการไหลเข้าหรอื ออกทีส่ ง่ ผลต่อ การสะสมของstock

ตัวอยา่ งคลาสสคิ ท่ีใชใ้ นการอธบิ าย stockและflowคือโมเดลอ่างน้ำ ระดับน้ำในอ่างอาบนำ้ ข้นึ อย่ปู รมิ าณ นำ้ ทไ่ี หลเขา้ จากก็อกน้ำ และปรมิ าณนำ้ ที่ไหลออกจากจุกระบายน้ำ

โมเดลอา่ งอาบนำ้ สามารถวาดเปน็ SFDไดด้ งั น้ี

ตัวอยา่ ง Bathtub model เป็นตวั อยา่ งง่ายๆ ทีช่ ่วยให้ทำความเขา้ ใจ stock และ flowแตพ่ ลวตั ของระบบ ในชีวิตจริงมีความซับซ้อนกวา่ น้ัน stock สามารถมวี งจรปอ้ นกลับมาท่ี flow ได้ โดยมสี องชนิดคอื Reinforcing loop (วงจรเสริมกำลัง)และ Balancing loop (วงจรสร้างสมดุล) Reinforcing feedback คือการท่ีระดับของ stock ปอ้ นกลับมาท่ีflow ซึง่ สง่ ผลต่อระดบั ของstock ตวั อย่างที่พบเหน็ ในชวี ติ ประจำวนั คือบญั ชีเงินฝากท่ีจำนวนดอกเบีย้ ทค่ี ำนวณจากจำนวนเงินฝาก และ ป้อนกลับมาเพิ่มจำนวนเงินฝากอีก กลายเป็นดอกเบ้ยี ทบต้น

หรอื จำนวนประชากร

ตัวอย่างของ Balancing loop ทีใ่ กล้ตวั เรากค็ ือการกินกาแฟ ถา้ วนั ไหนเราพักผ่อนน้อย เรากอ็ าจจะเพิ่ม พลงั ในการทำงานด้วยกาแฟ เมื่อกนิ กาแฟแล้วเราจะรสู้ ึกเรารู้สึกตืน่ มีพลงั พร้อมทำงานก็หยุดกนิ กาแฟ แต่ ถา้ ตกบ่ายเรารูส้ ึกง่วงหลังจากทานข้าวเท่ียงเราก็อาจจะกินกาแฟเพิม่ อีกแกว้ Feedback loop ลักษณะนม้ี ี คณุ สมบัติในการรกั ษาสมดลุ กล่าวคอื เราคงจะไม่กนิ กาแฟไปเรื่อยๆ ถึงแมจ้ ะรสู้ ึกไม่ง่วงแล้ว

โดยปกติแลว้ SFD จะเป็นการพัฒนาตอ่ ยอดมาจากCLDตวั อย่างเช่นโมเดลจำนวนประชากรในรูปแบบ CLD

สามารถแปลเปน็ STD ไดด้ ังน้ี

CLD ช่วยให้เหน็ ความสำคญั แต่ไมส่ ามารถวิเคราะห์ในเชงิ ปรมิ าณได้ กลา่ วคือเรารวู้ า่ เม่ือมปี ระชากรมาก ข้นึ กท็ ำให้อัตราการเกิดมากขึ้นแต่ไมร่ ้วู า่ มากข้นึ เท่าไหร่ เมอ่ื แปลงเป็น Stocks and flows diagram แลว้ เราสามารถใส่สมการและสรา้ งแบบจำลองบนคอมพิวเตอร์เพือ่ สามารถวเิ คราะหใ์ นเชงิ ปริมาณได้ นอกจากนเ้ี รายังสามารถทดลองปรับตวั แปรต่างๆ และจำลองให้เหน็ ผลการเปล่ยี นแปลง ก่อนทจี่ ะนำไป ปฏบิ ตั ิจรงิ นกั คดิ เชิงระบบเขา้ ใจถึงพลวตั ของระบบท่ีมกี ารเปล่ยี นแปลงตามชว่ งเวลา และใช้ กราฟ BOT ซ่ึงเปน็ อีก เคร่ืองมอื ของการคิดเชงิ ระบบเพื่อติดตาม ทำความเข้าใจ และออกแบบระบบให้มพี ฤตกิ รรมทีต่ ้องการ อาจกล่าวไดว้ ่านักคดิ เชิงระบบมองโลกผา่ น SFDโดยstockคือสง่ิ ทีส่ นใจ และต้องการควบคุมระดับของ stock ให้อยใู่ นระดบั ทีต่ ้องการ ผ่านการควบคุมการไหลเข้าและออก (inflows and outflow)

คิดยาว – ด้วย Behavior-over-time (BOT) graphs

พลวตั ของระบบเป็นคณุ สมบัติทีส่ ำคัญทนี่ ักคดิ เชงิ ระบบสนใจ แต่เขาหรือเธอไม่ได้สนใจการ เปลีย่ นแปลงเปน็ ครงั้ คราว แตส่ นใจศกึ ษาธรรมชาติพลวตั ของระบบในช่วงเวลาหนง่ึ ๆ ผา่ น ซึ่งสามารถ สังเกตไดผ้ า่ น Behavior-over-time (BOT) graph หรือกราฟการเปลยี่ นแปลงของพฤติกรรมในช่วงเวลา

กลับมาท่ตี วั อยา่ งโมเดลอ่างอาบน้ำ ซ่ึงสามารถจำลองได้ด้วย SFD และ กราฟ BOT นแ้ี สดงให้ เหน็ ระดบั ท่ีเปลีย่ นไปตามเวลาต้ังแตเ่ ริม่ เอาปลก๊ั ระบายน้ำออก

พฤติกรรมของระบบไมไ่ ดเ้ ป็นเสน้ ตรงเสมอไป ลกั ษณะของ BOT สะท้อนโครงสรา้ งของระบบ

มาดูตัวอยา่ งระบบท่ีมี Balancing loop 2 วงทม่ี ีทิศทางตรงกันขา้ มกนั ระบบปรับอากาศมีลกั ษณะนี้ ในประเทศเมืองหนาวท่ีต้องเปดิ เคร่อื งใหค้ วามร้อนเพื่อให้ห้องมีอากาศอุ่น สบายจะมี Balancing loop จำนวน 2 วง วงแรกคือเครื่องควบคมุ อุณหภูมิ(Thermostat) ที่ช่วยปรับให้ อณุ หภูมิเปน็ ไปตามท่เี ราตง้ั ไว้ และวงทส่ี องคอื อากาศร้อนที่จะไหลออกไปข้างนอกผา่ นช่องหน้าตา่ งและ ประตตู า่ งซ่ึงเปน็ ไปตามหลักฟิสิกส์ทีพ่ ยายามจะให้อุณหภมู ิข้างในและข้างนอกเทา่ กัน

Balancing loop แรก (เครอ่ื งควบคมุ อณุ หภมู ิ) จะมีกราฟ BOT ดงั นี้ Balancing loop ท่ีสอง(ความอนุ่ ไหลออกตามช่องหนา้ ตา่ งและประต)ู จะมกี ราฟ BOT ดังน้ี

เมอ่ื นำท้ังสอง Balancing loop มารวมกนั จะมีกราฟ BOT ดังนี้

จะเห็นไดว้ ่าอณุ หภูมขิ องห้องจะต่ำกวา่ ท่ีตงั้ ไวท้ เี่ ครอื่ งควบคมุ อุณหภมู ิ ดังน้นั เพ่ือให้ได้อุณหภมู ิท่ีต้องการเรา จะต้องต้งั อุณหภมู ิใหส้ ูงกว่าท่ีต้องการ คำถามต่อไปก็คือสงู กว่าเทา่ ไหร่ คำตอบกค็ ือข้นึ อย่กู ับอุณหภูมขิ ้าง นอก และถ้าระบบน้นั มีความลา่ ช้าล่ะ กราฟ BOTจะจะมหี น้าตาเปน็ อย่างไร ระบบสนิ ค้าคงคลงั เป็นตวั อย่างของ ระบบทม่ี ีพฤติกรรมน้ี

กราฟ BOT ของระบบมกี ็จะมีความกวัดแกวง่

ความกวดั แกวง่ อธิบายได้ดงั น้ี เม่ือยอดขายสงู ขึ้น เจา้ ของโชว์รูมรถกจ็ ะไมไ่ ดส้ ั่งรถเพ่ิมทันที แตร่ อ ดูซักชว่ งเวลาหนึ่งเพอื่ ดแู นวโนม้ ดงั นน้ั จำนวนรถคงคลังกจ็ ะลดลง และจะเพ่ิมสูงข้นึ เมื่อรถมาส่งท่ี คลงั สินค้า ท้ายสุดมาดูระบบท่ีมี Balancing loop และ Reinforcing loop

จำนวนประชากรมีคุณสมบตั ิน้ี และจะมี BOTไดส้ ามแบบขน้ึ อยูก่ ับว่า Feedback loop ไหน เด่น กว่ากัน

นีเ้ ป็นตวั อยา่ ง BOTGs ของระบบทม่ี ี Stock เดยี ว แตใ่ นทางปฏิบัตริ ะบบอาจจะมหี ลาย Stock เชอ่ื มต่อกนั ที่จะทำให้ BOTGs มีความซบั ซ้อนยิ่งขึ้นไปอีก

เมอ่ื เราทำความเข้าใจระบบแลว้ เราจะแกป้ ญั หาผ่านจดุ คานงัดทใ่ี ช้แรงน้อยแต่ไดผ้ ลมาก

หาจุดคานงัดอย่างไร จึงแกป้ ญั หาเชงิ ระบบไดอ้ ยา่ งย่ังยืน

หลังจากทเี่ ราใชเ้ คร่ืองมือตา่ งๆ ของการคิดเชงิ ระบบ เพ่ือทำความเข้าใจระบบแลว้ ขั้นตอนตอ่ ไปก็คอื การ หาจดุ คานงดั (Leverage point) ในการแก้ปัญหา ซ่งึ ก็คือจุดที่ใช้แรงนอ้ ยท่สี ดุ แต่ได้ผลลพั ธส์ งู สุด อยา่ งที่ อาร์คมิ ิดิส บิดาวิชาสถิตยศาสตร์ (Statics) ผคู้ ดิ คน้ นวัตกรรมเครอื่ งจักรกลหลายช้นิ รวมท้งั อุปกรณเ์ ครือ่ ง ทุ่นแรงทีย่ งั ใชง้ านอยจู่ นถงึ ปัจจบุ นั ไดก้ ล่าวไวว้ า่

“หากหาจุดทเี่ หมาะสม หาจดุ คานงดั ท่ีถกู จุด งานยกก้อนหินก็ไม่ใชเ่ รอื่ งยาก”

จุดคานงดั ของระบบคืออะไร? Donella Meadows นกั สง่ิ แวดล้อมชาวอเมรกิ นั ไดใ้ ห้คำแนะนำในการหาจดุ คาดงัดไว้ในหนังสือThinking in Systems: A Primer โดยลสิ ตด์ งั กลา่ วเรยี งจากผลกระทบทีน่ ้อยไปมาก ดงั น้ี

12. คา่ ตวั แปรต่างๆ การปรบั ค่าตวั แปร เช่นขนาดของ stockหรือ อัตราของ flow ใหผ้ ลน้อยที่สดุ เนื่องจากไมไ่ ดเ้ ปน็ ปรบั เปล่ียนในเชงิ โครงสรา้ งของระบบ เช่นการเพิ่มงบสำหรับตำรวจไมไ่ ด้ทำให้อาชญากรรมหายไปการปรับ คา่ ตวั แปรท่มี ผี ลกระทบสูง คือตวั แปรที่ควบคมุ คา่ ของ Reinforcement loop เชน่ อัตราดอกเบี้ย หรือ อัตราการเกิด แตต่ ัวแปรลักษณะน้ีพบได้ไมบ่ ่อยนัก 11. ขนาดของ Buffer Buffer คืออัตราส่วนระหวา่ งขนาดของ stock และ flowซง่ึ Bufferทม่ี ีขนาดใหญช่ ว่ ยใหร้ ะบบมคี วาม เสถยี ร เช่นหมูบ่ ้านทม่ี ีอ่างเก็บนำ้ ขนาดใหญ่ก็จะประสบปัญหาการขาดน้ำนอ้ ยหมบู่ ้านท่ีอาศยั แต่แม่น้ำ ระบบสินคา้ คงคลังก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของ Buffer ที่ชว่ ยใหร้ ้านคา้ มีสินคา้ บริการลูกคา้ เสมอ แต่การท่ีมี Bufferขนาดใหญ่ก็ทำให้ระบบไมม่ คี วามยืดหยุ่น ทั้งต้องแบกรับตน้ ทนุ ในการรักษาสินค้าคงคลงั จดุ คานงัดนีค้ ือการเปลย่ี นขนาดของ Bufferซ่ึงก็ไม่ใชส่ ่งิ ท่ีทำไดง้ ่ายนักในทางปฏิบตั เิ นื่องจากBufferเช่นอ่าง เกบ็ น้ำหรอื คลงั สินคา้ มลี ักษณะทางกายภาพ

10. โครงสรา้ งทางกายภาพ

ถนนเป็นระบบอยา่ งหนึ่งท่ีมี stockเป็นปริมาณความหนาแนน่ รถของ และ flow คืออตั รารถทไ่ี หลเขา้ ออก ท่ตี ามแยกต่างๆ ถนนที่ออกแบบมาไม่ดกี ็ทำใหร้ ถติดโดยไม่จำเปน็ และการปรับมักจะหมายถึงการสรา้ ง ถนนใหม่ซึ่งไม่ใชเ้ ร่ืองทีจ่ ะทำได้งา่ ย โครงสรา้ งทางกายภาพจึงเป็นจดุ คานงดั ท่ีทำไดย้ ากในทางปฏิบตั ิ 9. ความล่าช้า ความล่าชา้ หรือดเี ลย์ (Delay) ส่งให้ระบบมกี ารแกว่ง (oscilation) เช่น หากมคี วามล่าช้าในการรบั ข้อมูล ระดับของ Stocks แล้วเราก็จะไม่สามารถปรับ Flows ได้อยา่ งทันทว่ งทีทำให้ระดบั ของStocksมีความขนึ้ ๆ ลงๆ ถึงแม้เราไดร้ ับข้อมูลระดับของ Stocks อย่างทนั ท่วงทีแตม่ ีความล่าชา้ ในการปรับขนาด Flows ก็ทำให้ ขนาดของ Stocks มกี ารแกว่งเชน่ กนั ความลา่ ชา้ ทำให้ระบบไม่สามารถรับมือกบั การเปลี่ยนแปลงในระยะ สัน้ ไดอ้ ยา่ งมีประสิทธภิ าพ น้นั เป็นเหตุผลทท่ี ำใหก้ ารวางแผนเศรษฐกจิ แบบรวมศนู ยใ์ นอดตี สหภาพโซเวียต ไร้เสถยี รภาพ เนื่องจากมีความล่าช้าของข้อมลู หากเราสามารถปรับความล่าชา้ ของระบบได้ กถ็ ือว่าเปน็ จุดคานงัดที่มผี ลกระทบสูง แต่หลายๆ คร้ังการ ปรบั ความลา่ ช้าไม่ใชเ่ รอื่ งงา่ ยนัก

8. Balancing loop

Balancing loop (วงจรสร้างสมดลุ )มีบทบาทสำคญั ในการช่วยรกั ษาสมดุลของระบบ ให้ขนาด ของ stock อยู่ในระดับเป้าหมาย ทั้งนป้ี ระสิทธิผลของ Balancing loop อยู่ท่ีความสามารถในการเฝา้ สงั เกตระดบั stockและความไวในการปรับระดับของFlowท่ีช่วยปรบั สมดลุ ของระบบ ตวั อยา่ งในการเพิ่ม พลังของ Balancing loop ที่พบในชีวิตจริงได้แก่ • การสร้างเสริมสุขภาพ เชน่ การออกกำลังกาย ทานอาหารทมี่ ีประโยชน์ ชว่ ยให้ร่างกายสามารถตอ่ สู้กับ โรคภัยไดด้ ขี ึ้น • ระบบเฝา้ ระวังและรายงานสถานการณ์ด้านส่ิงแวดล้อม • กฎหมายการเปดิ ขอ้ มลู เพื่อช่วยใหร้ ฐั บาลมีความโปร่งใสมากขน้ึ

7. Reinforcing Loop

เนื่องจาก Reinforcing loop (วงจรเสรมิ กำลัง)สรา้ งผลกระทบแบบก้อนหิมะ(Snowball effects) ท่ที ำให้ การเติบโตหรอื พงั ทลายอย่างรวดเร็ว ซ่งึ ก่อใหเ้ กิดการล้มสลายของระบบ ระบบท่ีมี Feedback loop ลักษณะนี้อาจพบไมบ่ ่อยนัก เพราะจะมี Balancing loop มาช่วยสร้างความสมดุลย์ให้ ยกตวั อยา่ ง เช่นเม่ือผ้คู นเห็นผลกระทบของการมปี ระชากรมาก ก็ตัดสินใจมีลกู นอ้ ยลง ตัวอย่างทีส่ ำคัญของ Reinforcing loop ในสงั คมคือเรือ่ งความเหลอ่ื มลำ้ ที่คนรวยสามารถเข้าถึงทรพั ยากร รวมถึงการให้การศึกษาทดี่ ีแก่บุตร ทำใหย้ ง่ิ ได้เปรียบและรวยข้นึ ทำให้ความเหลื่อมล้ำยิ่งถา่ งขึ้น จดุ คาดงัด คือการทำงาน Reinforcing loop อ่อนกำลังลง ผ่านนโยบายตา่ งๆ เช่นอตั ราภาษีก้าวหนา้ ภาษมี รดก หรือ การมกี ารศกึ ษาโดยรัฐท่ีมีคุณภาพ 6. การใหข้ อ้ มลู มกี ารศึกษาในประเทศเนเธอร์แลนดเ์ กยี่ วกับตำแหน่งของมิเตอร์ไฟการใชไ้ ฟกับปริมาณไฟที่ใชใ้ นครัวเรือน พบวา่ บา้ นทีม่ ีมเิ ตอรไ์ ฟในทีๆ่ เห็นได้ง่าย ทำใหท้ ราบถึงปริมาณไฟท่ีใชไ้ ปแล้ว มกี ารใช้ไฟนอ้ ยกว่าบา้ นท่ีมี มเิ ตอร์อย่ใู นหอ้ งใต้ดินถงึ 30% การให้ข้อมลู ถือเปน็ จดุ คานงดั ที่ทรงพลงั และสามารถทำได้งา่ ยในทาง ปฏิบัติ แต่ความทา้ ทายอยู่ท่กี ารใหข้ อ้ มูลในท่ีๆ ใช้และสามารถโน้มน้าวใจได้

5. กฎ

กฏเป็นหนงึ่ ในสิ่งทีบ่ ่งบอกความเชอื่ มโยงขององค์ประกอบย่อยในระบบ การเปล่ยี นกฎเชน่ ในบรบิ ทของ มหาวิทยาลยั นกั ศึกษาเป็นผ้ใู ห้คะแนนอาจารย์ หรอื อาจารย์ถกู ประเมนิ จากงานที่ช่วยแก้ปญั หาได้จริงๆ มากกวา่ การตพี ิมพ์ ก็จะทำให้มหาวิทยาลัยนแ้ี ตกต่างจากมหาวทิ ยาอื่นๆ เปน็ อย่างมาก การเปล่ยี นกฎหรือ ปรับนโยบายเปน็ จุดคาดงดั ที่ทรงพลงั ดงั น้นั การทำงานรว่ มกบั ผกู้ ำหนดนโยบายจงึ เป็นสงิ่ สำคัญ 4. การจัดการตัวเอง สิ่งมชี วี ิตและระบบสังคมมีความสามารถในการโครงสรา้ งหรือพฤตกิ รรมใหม่ ในเชงิ ชวี วทิ ยาเรยี กว่า วิวฒั นาการ ในเชิงสงั คมและเศรษฐกิจเรยี กว่าการปฏวิ ัตทิ างสงั คม ในเชิงระบบเรยี กว่าการจดั การ ตัวเอง (Self-organization) การจดั การตวั เองทำให้ระบบมีความยืดหยนุ่ สามารถปรบั ตัวและอยรู่ อดได้ ระบบท่ีสามารถจดั ตัวเองได้ จะตอ้ งมกี ารเข้าถึงข้อมลู เก่ยี วกับระบบที่มากมายและหลากหลายท่ีชว่ ยให้มหี ลายทางเลอื กในการออกแบบ ระบบใหม่ รวมถึงกลไกในการทดลองต้นแบบระบบน้นั ด้วย ในเชงิ ชีววิทยา DNA คือข้อมูลท่สี ร้างใหเ้ กดิ ความหลากหลายของพันธกุ รรม และการมชี ีวติ รอดก็คือการทดสอบตน้ แบบของสง่ิ มีชวี ติ ใหม่ ดงั น้ันจดุ คาน งดั ในการจดั การตัวเองก็คือการสร้างสงิ่ แวดล้อมให้เกดิ ความหลากทางความคิด และการทดลอง

3. เปา้ หมายและหน้าท่ีของระบบ

ใน 3 องค์ประกอบของระบบไดแ้ ก่ องคป์ ระกอบย่อย ความเช่ือมโยงซง่ึ กนั และกนั และเป้าหมาย นน้ั องคป์ ระกอบย่อยมผี ลกระทบต่อระบบน้อยทีส่ ดุ ตวั อย่างเชน่ การเปล่ียนตวั นักกีฬาในทีมฟตุ บอล ทีม น้ันกย็ ังคงเป็นทมี ฟตุ บอลอยู่ ความเปลี่ยนแปลงของการเชือ่ มโยงมผี ลมากกว่า เช่นการเปลยี่ นกตกิ าทำให้ กฬี านน้ั ไมใ่ ช่ฟุตบอลอกี ต่อไป แตก่ ารเปลี่ยนจดุ ประสงค์มีผลกระทบต่อระบบมากท่สี ดุ ยกตวั อย่างเชน่ การ เปลย่ี นจดุ ประสงค์ในการเลน่ ฟุตบอลจากการชนะเปน็ การแพ้จะทำให้พฤติกรรมของระบบจากหน้ามือเป็น หลังมือ 2. การเปล่ียนกระบวนทัศน์

กระบวนทัศน์ (Paradigm)คอื วิธีคดิ และความเชื่อทส่ี ังคมหน่ึงๆ มรี ่วมกนั เปน็ ส่งิ ที่ทกุ คนเขา้ ใจโดยไม่ตอ้ ง เขยี นหรือพูดออกมา เช่น การเติบโตทางเศรษฐศาสตรเ์ ป็นสิ่งท่ดี ี คนที่ไดเ้ งนิ เดือนเยอะเกง่ กวา่ คนได้ เงนิ เดอื นน้อย

กระบวนทศั น์เป็นสิง่ ท่ที ำให้เกิดระบบและวฒั นธรรมตา่ งๆ เช่นชาวอิยปิ ต์สรา้ งปริ ามดิ เพราะเชื่อในชวี ิตหลัง ความตาย หากการเปลี่ยนกระบวนทศั น์ไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายแล้วทำไมผเู้ ขียนถงึ คดิ วา่ เป็นจุดคานงดั ท่ีทรง พลังเกือบจะมากท่สี ดุ ?เพราะผลกระทบจากการเปลยี่ นกระบวนทัศนน์ น้ั สงู มาก แต่ไม่ได้ใช้ค่าใช่จา่ ยสงู และ ไม่ต้องปรับเปลย่ี นทางกายภาพ

การเปลี่ยนกระบวนทศั นบ์ างคร้ังเกิดข้ึนช้าหรือไมเ่ กิดข้นึ เลย แต่บางครง้ั ก็เกิดขึ้นเรว็ ราวกบั ดีดนวิ้ ในการใช้ จุดคานงัดนีน้ ักคิดเชงิ ระบบต้องรณรงคใ์ หส้ ังคมและผู้กำหนดนโยบายเหน็ ถึงปญั หาของกระบวนทศั น์เกา่ และข้อดีของกระบวนทัศน์ใหม่

1. อยูเ่ หนือกระบวนทศั น์

ที่ทรงพลงั ไปกวา่ การเปลยี่ นกระบวนทศั น์ คือการไมย่ ึดติดอยู่กบั กระบวนทัศน์ใดๆ เพราะโลกนนั้ ซับซ้อน กวา่ เกดิ กวา่ ความเข้าใจของมนุษย์ จึงเปิดรับกระบวนทัศนใ์ หมอ่ ยูเ่ สมอ

ปัญหาแบบไหน ท่ีตอ้ งใชก้ ารคิดเชิงระบบ

นกั แกป้ ัญหาหรอื นวัตกรทีด่ จี ะตอ้ งเลือกใชว้ ธิ ีการแกป้ ัญหาใหเ้ หมาะกบั ประเภทของปัญหา เพือ่ ท่ีเราจะได้ ไมแ่ ก้ไขปัญหาดว้ ยวธิ ีทไ่ี ม่เหมาะสมตามคำพงั เพยฝรง่ั ทวี่ ่า “สำหรบั ผูท้ ถี่ นัดใช้ค้อนแลว้ ทกุ อย่างจะเป็น ตะปู” หรอื ตามคำพังเพยไทยท่ีว่า“ขชี่ า้ งจบั ตัก๊ แตน”

แล้วการคิดเชิงระบบนัน้ เหมาะกับปัญหาแบบไหนกนั ? ก่อนทีจ่ ะตอบคำถามน้ี มาดกู ันกอ่ นว่าปัญหาน้ันมีแบบไหนบ้าง

1. ปญั หาเรียบง่าย (Simple problem) เชน่ การทำอาหารตามสูตร ปัญหาประเภทน้จี ะไม่มีตัวแปรท่ที ำให้ผล ลพั ธ์ออกมาได้ไมด่ ี สง่ิ สำคญั คือการมสี ูตรทีด่ ี และการทำตามสูตรเปะ๊ ๆ โดยไมต่ อ้ งมีความเช่ียวชาญอะไร เป็นพิเศษ ก็จะทำให้ได้อาหารออกมาดีแบบเปะ๊ ๆ ทุกคร้ังเชน่ กัน

2. ปัญหายุ่งยาก (Complicated problem) เช่น การส่งจรวดไปดวงจนั ทร์ สตู รมคี วามสำคัญ แต่ไม่เพียงพอ เราตอ้ งใชค้ วามเชยี่ วชาญหลากหลายสาขาในการแกป้ ัญหานี้ เมอื่ ไดส้ ูตรและองค์ความร้ใู นการสร้างจรวด อนั ท่หี น่ึงแล้วเราสามารถปรบั ใช้ในการสร้างจรวดอันต่อไปได้ เพราะจรวดใดๆ กม็ ีองคป์ ระกอบส่วนใหญ่ คล้ายๆ กัน ปญั หาท่ยี ากมักเป็นปัญหาเชงิ เทคนิค เปน็ ปัญหาทร่ี ายละเอยี ดเยอะและมีความยากเชงิ เทคนิค แต่ตรงไปตรงมา สามารถระบุโจทยห์ รอื ตน้ ตอของปญั หาได้ชดั เจน

3. ปญั หาซบั ซ้อน (Complex problem) เชน่ การเล้ยี งลูกที่การใช้สตู รสำเร็จมีขอ้ จำกัด การเลยี้ งลูกคนแรก ไดแ้ บบหน่ึงไม่ได้ชว่ ยการันตีวา่ จะสามารถเลี้ยงลกู คนต่อไปได้ในแบบเดียวกนั เพราะเด็กแตล่ ะคนก็มคี วาม แตกต่างกัน การเลยี้ งลูกคนหน่ึงใหป้ ระสบการณบ์ างอย่างแต่มขี อ้ จำกดั ในการใช้วธิ ีการเดียวกันในการเลย้ี ง ลกู คนต่อไป ปัญหาทางสงั คมและองคก์ รส่วนใหญ่จะเป็นปัญหาทซ่ี ับซ้อนปน็

ปญั หาทีซ่ บั ซ้อนนีย้ ังรู้จักในชอ่ื ปัญหาท่ีพยศ (Wicked problem) หรือความท้าทายทไี่ ม่อยูน่ งิ่ (Adaptive challenge) ดว้ ย แล้วอะไรทำให้สร้างความซับซอ้ นให้กับปัญหาซับซ้อน? เพราะการปฏิสมั พันธ์ของผู้ทเี่ กีย่ วข้องท่มี ีมุมมองดา้ นคณุ คา่ ความเชอื่ หรือความเขา้ ใจต่อปญั หาที่ต่างกัน และมารากของปญั หาทซ่ี ่อนอยูล่ ึก ส่งผลใหเ้ กดิ ปญั หาที่มีความซับซ้อนและมีพลวัตสงู การคดิ เชงิ ระบบเหมาะกบั การแกป้ ัญหาท่ีซับซ้อน เน่ืองจากมีวิธีคิดและชดุ เครอื่ งมอื ทชี่ ว่ ยให้ คดิ ลกึ ทช่ี ว่ ย ใหข้ ดุ ลึกไปถงึ ชุดความเชือ่ (mental model) ที่ทำให้เกิดพฤตกิ รรมนัน้ คิดกวา้ ง ท่ชี ่วยใหเ้ ห็นความ เช่อื มโยงทกุ องค์ประกอบทม่ี ีสว่ นทำให้เกิดปญั หา และ คิดยาว ท่ชี ว่ ยให้เข้าใจพลวัตของปญั หา

ท่ีว่านักคิดเชงิ ระบบนน้ั คดิ ต่าง เคา้ คิดอยา่ งไร?

ไอนส์ ไตนไ์ ด้กล่าวไว้วา่ “We can’t solve problems by using the same kind of thinking we used when we created them” หรอื แปลเปน็ ไทยไดว้ า่ “เราไม่สามารถแก้ปญั หาโดยใช้วธิ คี ิดแบบเดิมๆ ทเ่ี ราใช้การสร้างปญั หานนั้ ข้นึ มา”

ดังน้นั เมอ่ื นักคดิ เชิงระบบต้องแกไ้ ขปญั หาท่ีซบั ซอ้ น จึงตอ้ งใชว้ ิธีคิดใหมป่ ญั หาทีน่ ักคิดเชิงระบบแกไ้ ขมักจะ เปน็ ปญั หาท่ีซบั ซ้อนจะมีพลวัตสูง และขอบเขตของปญั หาทไี่ มช่ ดั เจน เมื่อเทียบกบั นกั แกไ้ ขปัญหาเชงิ เทคนคิ ท่โี จทย์ชัดแต่การแก้ยาก ทำให้นักแก้ไขปัญหาเชิงเทคนคิ ต้องใช้เวลาส่วนใหญไ่ ปกบั การแก้ไข ปญั หา ต่างจากนักคิดเชงิ ระบบซึ่งจำเปน็ ใชเ้ วลาในการทำความเขา้ ใจปญั หาที่ซบั ซ้อนยาวนาน แถม แนวทางในการแก้ปญั หากม็ ักจะไมป่ รากฎชดั เจนด้วย Leyla Acaroglu นักออกแบบและนวตั กรดา้ นความย่ังยนื ชาวออสเตรเลียไดใ้ ห้ขอ้ แนะนำ 7 ข้อสำหรบั นกั คิดเชงิ ระบบมือใหม่ ในการรับมือกับปญั หาซับซ้อนน้ี 1. จงโอบรับความซับซ้อน วธิ แี ก้แบบเรว็ ๆ (Quick fix) ใช้ไมไ่ ด้กบั ปญั หาท่ีซับซ้อน ดงั น้นั นกั คดิ เชิงระบบจะต้องโอบรบั ความซบั ซ้อน น้ันโดยที่ไมด่ ว่ นสรปุ เพราะคิดว่าตวั เองเขา้ ใจปัญหาดแี ล้วหรอื รบี หาวธิ ีแก้ หรอื เครื่องมือตา่ งๆ ของการคดิ เชิงระบบ ช่วยใหส้ ามารถวเิ คราะห์และทำความเขา้ ใจกบั ปัญหาทซ่ี บั ซ้อน 2. อยา่ รีบลงมอื แกป้ ัญหา มนุษยเ์ รามแี นวโนม้ ทจ่ี ะรีบลงมือแก้ปญั หา ทำใหเ้ ราไมใ่ ชเ้ วลาในการทำความเขา้ ใจปัญหาอยา่ งเพยี งพอ เพ่ือเข้าใจพลวัตและข้อมูลเชิงลกึ ต่างๆ ทซี่ ่อนอยูใ่ นระบบ หากมไี อเดยี ท่ีดใี นการแกป้ ัญหา จดมันไวก้ อ่ น แตอ่ ย่ารีบหยดุ ทำความเขา้ ใจปัญหา แต่จงโฟกัสกบั การเรยี นรทู้ ำความเข้าใจปัญหาและทำความเข้าใจอยา่ ง ลกึ ซ้งึ 3. มองหาจุดคานงัดที่ซ่อนอยู่

จดุ คานงัดคือจุดในการแก้ปัญหาในระบบทล่ี งแรงน้อยแต่ได้ผลมาก เปรียบเทียบไดก้ บั คานงดั ที่ชว่ ยใหเ้ รา สามารถยกของหนักได้โดยใช้แรงไม่มาก โดยมากแล้วจุดคานงดั ของระบบจะซ่อนอยู่ นักแกป้ ญั หาเชงิ ระบบ ต้องมองทะลใุ หเ้ หน็ รากและความเชือ่ มโยง

ตัวอยา่ งเช่น หากเราต้องต้องการแกป้ ัญหาคะแนนสอบทต่ี ่ำลงของเดก็ นกั เรยี นในอำเภอของเรา จดุ คานงัด อาจจะไมใ่ ช่คุณภาพการสอน แต่อาจจะเปน็ วฒั นธรรมชุมชนที่ดี หรอื การสรา้ งแรงบนั ดาลใจให้กบั นกั เรียน การสรา้ งแผนที่ของระบบโดยใช้เคร่ืองมือเคร่อื งมอื อย่างCausal loop diagram (แผนภาพวงจรสาเหตุ) สามารถช่วยหาจุดคานงดั ได้(เรียนรู้เกย่ี วกบั Causal loop diagram ไดท้ ่ี มองครบ มองลึก มองยาว:ชดุ เครื่องมือของนักคิดเชิงระบบ) 4. เริม่ จากจุดท่ีเราทำได้ ปญั หาทางสงั คมมักมีความซบ้ ซ้อนและใหญ่ จนทำให้เรารสู้ ึกท้อแทห้ รือถอดใจ เพราะว่ามันใหญเ่ กนิ กว่าท่ี เราจะแก้ได้ แต่นักคดิ เชิงระบบควรจะเรมิ่ จากจุดทีท่ ำสามารถทำได้ ไมว่ ่าจะเปน็ ตวั เอง ครอบครวั ชมุ ชน หรอื องค์กร 5. เข้าใจระดับของการแก้ปัญหาเพ่ือเลือกวธิ แี ก้ทีเ่ หมาะสม

การเขา้ ใจระดบั การแกป้ ัญหาวา่ เป็นระดบั บุคคล ระดับสังคม หรอื ระบบนเิ วศน์ ชว่ ยให้สามารถช่วยให้เรา เลอื กวธิ ีการแกป้ ญั หาทเี่ หมาะสมได้ ในระดับบคุ คลเราสามารถแก้ปัญหาไดด้ ้วยการสร้างผลติ ภัณฑ์ หรอื การสร้างปฏสิ ัมพันธ์กบั สงั คม หรือใชท้ ง้ั สองอย่างได้ เช่น การใช้ Fitness tracker (ผลติ ภณั ฑ์) ที่มีการแข่งขันกับเพ่ือน (ปฏสิ ัมพันธ์) เพอ่ื กระตุน้ ให้ บุคคลมีการออกกำลังกายอย่างสมำ่ เสมอ ในระดบั สงั คมเราก็สามารถแก้ปัญหาได้ดว้ ยผลติ ภัณฑ์ หรือการปฏิสมั พนั ธก์ ับสงั คม หรือใช้ทง้ั สองอยา่ งได้ เช่นกัน ตัวอย่างเชน่ การแกป้ ัญหาการเหยียดเพศในท่ที ำงาน เราอาจจะพฒั นาส่อื (ผลติ ภณั ฑ์) ทช่ี ว่ ยให้ พนักงานสามารถระบแุ ละจัดการกบั พฤติกรรมเหยียดเพศ หรอื การสร้างวฒั นธรรมองค์กรท่ีให้บทบาท ผู้หญงิ มากขนึ้ (ปฏิสัมพนั ธ)์

6. ป้องกันให้ไมเ่ กิดผลกระทบทไ่ี ม่ไดต้ ้งั ใจ สังเกตและประเมนิ ผลกระทบจากการแก้ปัญหาว่าชว่ ยแกป้ ัญหาไหม หรือก่อให้เกดิ ผลในทางลบหรือไม่ 7. แก้ปญั หาในวนั น้อี าจจะไม่ได้ผลลัพธใ์ นทันที

ระบบมกั จะมีความลา่ ชา้ ระหวา่ งการแกป้ ัญหาและผลลพั ธ์ เช่น การเร่ิมออกกำลังกายไม่ไดท้ ำให้ระบบ รา่ งกายของเราดีขึน้ โดยทันที อาจจะต้องใช้เวลาเปน็ เดือนที่จะเหน็ ผลลัพธ์ทว่ี ัดได้ชดั เจน ดงั นั้นอดทนรอ หากการแกป้ ัญหาเชงิ ระบบเป็นวิธีทคี่ ุณคดิ ว่าน่าสนใจ มาเริ่มเรียนรเู้ ครอ่ื งมือต่างๆ ของการคิดเชงิ ระบบได้ ท่ี มองครบ มองลกึ มองยาว:ชุดเครอ่ื งมือของนักคดิ เชิงระบบ