ภาษาไทย หรือ ภาษาไทยกลาง เป็นภาษาในกลุ่มภาษาไท ซึ่งเป็นกลุ่มย่อยของตระกูลภาษาขร้า-ไท และเป็นภาษาราชการ และภาษาประจำชาติของประเทศไทย มีการสันนิษฐานว่าภาษาในตระกูลนี้มีถิ่นกำเนิดจากทางตอนใต้ของประเทศจีน และนักภาษาศาสตร์บางส่วนเสนอว่า ภาษาไทยน่าจะมีความเชื่อมโยงกับตระกูลภาษาออสโตร-เอเชียติก ตระกูลภาษาออสโตรนีเซียน และตระกูลภาษาจีน-ทิเบต Show ภาษาไทยเป็นภาษาที่มีระดับเสียงของคำแน่นอนหรือวรรณยุกต์เช่นเดียวกับภาษาจีน และออกเสียงแยกคำต่อคำ ภาษาไทยปรากฏครั้งแรกในพุทธศักราช 1826 โดยพ่อขุนรามคำแหง และปรากฏอย่างสากลและใช้ในงานของราชการ เมื่อวันที่ 31 มีนาคม พุทธศักราช 2476 ด้วยการก่อตั้งสำนักงานราชบัณฑิตยสภาขึ้น และปฏิรูปภาษาไทย พุทธศักราช 2485 การจำแนกประวัติภาษาไทยจัดอยู่ในกลุ่มภาษาไท (Tai languages) ภาษาหนึ่ง ซึ่งเป็นสาขาย่อยของตระกูลภาษาขร้า-ไท ภาษาไทยมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับภาษาในกลุ่มภาษาไทตะวันตกเฉียงใต้ภาษาอื่น ๆ เช่น ภาษาลาว ภาษาผู้ไท ภาษาคำเมือง ภาษาไทใหญ่ เป็นต้น รวมถึงภาษาตระกูลไทอื่น ๆ เช่น ภาษาจ้วง ภาษาเหมาหนาน ภาษาปู้อี ภาษาไหล ที่พูดโดยชนพื้นเมืองบริเวณไหหนาน กวางสี กวางตุ้ง กุ้ยโจว ตลอดจนยูนนาน ไปจนถึงเวียดนามตอนเหนือ ซึ่งสันนิษฐานว่าจุดกำเนิดของภาษาไทยน่าจะมาจากบริเวณดังกล่าว ราวพุทธศตวรรษที่ 13-15 ได้มีการอพยพของผู้พูดภาษากลุ่มไทลงมาจากจีนตอนใต้ มายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยนำพาภาษากลุ่มไทลงมาด้วย ภาษาที่ชนกลุ่มไทกลุ่มนี้พูดได้รับการสืบสร้างเป็นภาษาไทตะวันตกเฉียงใต้ดั้งเดิม ซึ่งในเวลาต่อมาได้รับอิทธิพลจากภาษาตระกูลออสโตรเอเชียติก ที่พูดโดยชาวออสโตรเอเชียติก และอยู่อาศัยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่เดิม รวมถึงได้รับอิทธิพลจากภาษาทางวรรณกรรม คือ ภาษาสันสกฤต และ ภาษาบาลี จนพัฒนามาเป็นภาษาไทยในปัจจุบัน ภาษาไทยเก่าภาษาไทยในอดีตมีระบบเสียงที่แตกต่างไปจากภาษาไทยปัจจุบันอย่างชัดเจน ซึ่งมีประเด็นสำคัญต่อไปนี้
สามารถสรุประบบเสียงพยัญชนะภาษาไทยเก่าได้ดังนี้ ระบบเสียงพยัญชนะ (35-37 หน่วยเสียง) ริมฝีปาก ปุ่มเหงือก เพดานแข็ง เพดานอ่อน เส้นเสียง กัก ไม่ก้อง ไม่มีลม ป /p/ ต /t/ จ /c/ (หรือ /t͡ɕ/) ก /k/ ไม่ก้อง มีลม ผ /pʰ/ ถ /tʰ/ ฉ /cʰ/ (หรือ /t͡ɕʰ/) ข /kʰ/ ก้อง พ /b/ ท /d/ ช /ɟ/ (หรือ /d͡ʑ/) ค /ɡ/ กักเส้นเสียง บ /ʔb/ (หรือ /ɓ/) ด /ʔd/ (หรือ /ɗ/) อย /ʔj/ อ /ʔ/ เสียดแทรก ไม่ก้อง ฝ /f/ ส /s/ ฃ /x/ ห /h/ ก้อง ฟ /v/ ซ /z/ ฅ /ɣ/ นาสิก ไม่ก้อง หม /hm/ หน /hn/ หญ /hɲ/ (หง /hŋ/) ก้อง ม /m/ น /n/ ญ /ɲ/ ง /ŋ/ เสียงไหลและกึ่งสระ ไม่ก้อง หว /hw/ (หร /hr/) หล /hl/ ก้อง ว /w/ ร /r/ ล /l/ ย /j/
ระบบเสียงข้างต้นมีความสอดคล้องกันกับอักษรในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง นั่นคือ มีการใช้อักษร ฃ และ ฅ แยกกับ ข และ ค อย่างชัดเจน บ่งบอกว่าภาษาไทยในสมัยที่มีการสร้างจารึกดังกล่าว หน่วยเสียงพยัญชนะเหล่านี้ต้องแตกต่างกัน นอกจากนี้ยังอธิบายได้ว่า เหตุใดวรรณยุกต์ในภาษาไทยในจารึกสมัยสุโขทัยจึงมีวรรณยุกต์เพียง 2 รูป (เอกและโท) เท่านั้น เป็นเพราะว่าภาษาไทยเก่ามีวรรณยุกต์เพียงสามเสียงเท่านั้น (เสียงสามัญไม่เขียนรูปวรรณยุกต์) อย่างไรก็ตาม หน่วยเสียง /x/ และ /ɣ/ น่าจะมีการสูญหายไปในอย่างรวดเร็วในสมัยพระยาลิไท โดยเกิดการรวมกับหน่วยเสียง /kʰ/ และ /g/ โดยสังเกตได้จากการใช้รูปพยัญชนะ ฃ สลับกับ ข และ ฅ สลับกับ ค ในศิลาจารึกสมัยพระยาลิไท บ่งบอกว่าหน่วยเสียงทั้งสองคู่ไม่มีความแตกต่างกันอีกต่อไป ปัจจุบันจึงมีการเลิกใช้ตัวอักษร ฃ และ ฅ ระบบเสียงวรรณยุกต์สามเสียงสอดคล้องกับฉันทลักษณ์ในสมัยอยุธยาตอนต้น เช่นการบังคับเอกโทในโคลงสี่สุภาพ ในวรรณกรรมสมัยอยุธยาตอนต้นที่เขียนในโคลงสี่สุภาพ ยังไม่ปรากฏว่ามีการใช้คำเอกโทษหรือโทโทษเกิดขึ้น จึงสันนิษฐานได้ว่าระบบเสียงของภาษาไทยที่ใช้ในสมัยอยุธยาตอนต้นยังคงเป็นระบบเสียงแบบเก่าอยู่ ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงของระบบเสียงภาษาไทยต่อไปในสมัยอยุธยาตอนกลาง อนึ่ง เสียงสระ ใ /aɰ/ และ ไ /aj/ ในสมัยอยุธยาตอนต้นยังคงรักษาความแตกต่างไว้ได้เช่นกัน โดยสังเกตได้จากการที่คำที่มีรูปสระ ไ และ ใ จะไม่สัมผัสกัน การเปลี่ยนแปลงระบบเสียงที่สำคัญในสมัยอยุธยาตอนต้น (พุทธศตวรรษที่ 21) ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงของระบบเสียงภาษาไทยเก่าขึ้น นับเป็นจุดเปลี่ยนผ่านจากภาษาไทยเก่าไปเป็นภาษาไทยสมัยใหม่ โดยมีขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงดังนี้
ภาษาไทยถิ่นกลางมีการแตกตัวและการยุบรวมของเสียงวรรณยุกต์ที่มีลักษณะเฉพาะ แบ่งแยกได้จากภาษาถิ่นภาคอื่น ๆ ได้แก่ การแตกตัวของเสียงวรรณยุกต์ *A ออกเป็นสองเสียงที่ต่างกันระหว่างพยัญชนะเสียงไม่ก้องที่มีลม (/pʰ tʰ t͡ɕʰ kʰ h f s x m̥ n̥ ɲ̊ ŋ̊ ʍ l̥/) กับเสียงไม่ก้องที่ไม่มีลม (/p t t͡ɕ k ʔb ʔd ʔj ʔ/) และมีการยุบรวมของเสียงวรรณยุกต์ *B2 (เอก-ก้อง) และ *C1 (โท-ไม่ก้อง) อีกด้วย จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคำว่า ค่า กับ ข้า หรือคำว่า น่า กับ หน้า จึงออกเสียงวรรณยุกต์เป็นเสียงเดียวกันในภาษาไทยถิ่นกลาง แตกต่างจากภาษาไทยถิ่นเหนือและอีสานที่มีการแตกตัวและยุบรวมของเสียงวรรณยุกต์ที่ต่างไปจากนี้ จึงออกเสียงวรรณยุกต์ของทั้งสองคำนี้ต่างกันไปด้วย สำหรับภาษาไทยถิ่นกลางบางสำเนียง เช่น สำเนียงกรุงเทพ และสำเนียงอยุธยา เป็นต้น มีการยุบรวมเสียงวรรณยุกต์ *A1 ของพยัญชนะเสียงไม่ก้อง ไม่มีลม (/p t t͡ɕ k ʔb ʔd ʔj ʔ/) กับเสียงวรรณยุกต์ *A2 ของพยัญชนะเสียงก้อง (/b d d͡ʑ g v z ɣ m n ɲ ŋ r w l j/) ด้วย จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคำว่า กา กับ คา จึงออกเสียงวรรณยุกต์เหมือนกัน (เสียงสามัญ) แต่ออกเสียงวรรณยุกต์ต่างจากคำว่า ขา ซึ่งเป็นเสียงจัตวา ในขณะที่ภาษาไทยถิ่นกลางบางสำเนียง เช่น สำเนียงสุพรรณ (ในผู้พูดบางราย) มีการออกเสียงวรรณยุกต์ของคำว่า กา กับ คา ที่ต่างกันอยู่ นั่นคือยังไม่มีการยุบรวมของเสียงวรรณยุกต์ *A1 และ *A2 ดังกล่าว การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวทำให้ภาษาไทยกรุงเทพปัจจุบันมีเสียงวรรณยุกต์ที่แตกต่างกัน 5 หน่วยเสียง และสำเนียงสุพรรณ (ในผู้พูดบางราย) มีเสียงวรรณยุกต์ 6 หน่วยเสียง รูปแบบการแตกตัวของเสียงวรรณยุกต์ที่แตกต่างกัน ของภาษาไทยสำเนียงกรุงเทพ และสำเนียงสุพรรณบุรี สรุปได้ตามตารางต่อไปนี้ (ให้เสียงวรรณยุกต์เดียวกันมีสีเดียวกัน และวรรณยุกต์ที่ปรากฏในตารางเป็นเสียงวรรณยุกต์ในปัจจุบัน) สำเนียงอยุธยา, สำเนียงกาญจนบุรี คำเป็น คำตาย กลุ่มพยัญชนะ เสียงพยัญชนะเดิม สามัญเดิม (*A) เอกเดิม (*B) โทเดิม (*C) สระยาว (*DL) สระสั้น (*DS) พยัญชนะไม่ก้อง มีลม (อักษรสุง) /pʰ tʰ t͡ɕʰ kʰ h f s x m̥ n̥ ɲ̊ ŋ̊ ʍ l̥/ 5 2 3 2 2 พยัญชนะไม่ก้อง ไม่มีลม (อักษรกลาง) /p t t͡ɕ k ʔb ʔd ʔj ʔ/ 1 พยัญชนะก้อง (อักษรต่ำ) /b d d͡ʑ g v z ɣ m n ɲ ŋ r w l j/ 3 4 3 4 สำเนียงสุพรรณบุรี คำเป็น คำตาย กลุ่มพยัญชนะ เสียงพยัญชนะเดิม สามัญเดิม (*A) เอกเดิม (*B) โทเดิม (*C) สระยาว (*DL) สระสั้น (*DS) พยัญชนะไม่ก้อง มีลม (อักษรสุง) /pʰ tʰ t͡ɕʰ kʰ h f s x m̥ n̥ ɲ̊ ŋ̊ ʍ l̥/ 5 2 3 2 2 พยัญชนะไม่ก้อง ไม่มีลม (อักษรกลาง) /p t t͡ɕ k ʔb ʔd ʔj ʔ/ 1.1 พยัญชนะก้อง (อักษรต่ำ) /b d d͡ʑ g v z ɣ m n ɲ ŋ r w l j/ 1.2 3 4 3 4 วรรณยุกต์ที่ 1–5 ในภาษาไทยสำเนียงกรุงเทพในตาราง คือวรรณยุกต์ สามัญ เอก โท ตรี จัตวา ตามลำดับ แม้ว่าจะมีการการเปลี่ยนแปลงของระบบเสียงวรรณยุกต์จากภาษาไทยเก่ามาเป็นภาษาไทยสมัยใหม่ แต่อักขรวิธีของภาษาไทยยังคงรูปเขียนเช่นเดิม ทำให้รูปเขียนและเสียงอ่านมีความไม่สอดคล้องกันขึ้น ยกตัวอย่างเช่น คำว่า ข้า กับ ค้า ที่ออกเสียงวรรณยุกต์ต่างกัน ทั้ง ๆ ที่มีรูปวรรณยุกต์โทเช่นเดียวกัน เกิดจากการที่ทั้งสองคำนี้เคยมีเสียงวรรณยุกต์เดียวกัน แต่มีเสียงพยัญชนะต้นที่แตกต่างกัน คือเสียง ข /kʰ/ และ ค /g/ ในภาษาไทยเก่า ความไม่สอดคล้องกันระหว่างรูปเขียนและเสียงอ่าน ทำให้เกิดระบบไตรยางศ์ ขึ้น โดยเป็นระบบการจัดหมวดหมู่รูปพยัญชนะอักษรไทยที่จัดให้รูปวรรณยุกต์หนึ่ง ๆ มีการออกเสียงที่แตกต่างกันได้เป็น 2 เสียง ขึ้นอยู่กับรูปพยัญชนะต้นของคำนั้น ๆ ซึ่งเป็นไปตามรูปแบบการแตกตัวและยุบรวมของหน่วยเสียงพยัญชนะและสระข้างต้น เสียงวรรณยุกต์ในสมัยอยุธยาหลักฐานที่บ่งบอกถึงเสียงวรรณยุกต์ในสมัยอยุธยามีน้อยมาก ระบบไตรยางศ์แบบเดียวกันกับภาษาไทยปัจจุบันนี้ถูกกล่าวถึงเป็นอย่างช้าสุดในตำราจินดามณี จากการสืบสร้างเสียงวรรณยุกต์จากตำราจินดามณี พบว่ามีหน่วยเสียงวรรณยุกต์ 5 เสียง และมีการแตกตัวของเสียงวรรณยุกต์คล้ายคลึงกับภาษาไทยปัจจุบัน แต่ระดับเสียงและรูปร่างเสียงวรรณยุกต์ (contour) ยังคงมีความแตกต่างจากภาษาไทยปัจจุบันอยู่พอสมควร เสียงวรรณยุกต์สมัยนี้อาจมีความคล้ายคลึงกับสำเนียงพากย์โขน (วริษา กมลนาวิน, 2546) พิทยาวัฒน์ พิทยาภรณ์ (2559) ได้เสนอการสืบสร้างระบบเสียงวรรณยุกต์จากตำราจินดามณีดังต่อไปนี้ หน่วยเสียง ระดับเสียงจากจินดามณี เทียบระดับเสียงปัจจุบัน สามัญ กลาง กลาง เอก กลาง ถึง สูง* กึ่งต่ำ หรือ ต่ำอย่างเดียว โท กลาง-ตก สูง-ตก ตรี สูง** กึ่งสูง-ขึ้น หรือ สูงอย่างเดียว จัตวา สูง** ต่ำ-ขึ้น
และได้เสนอว่าระบบวรรณยุกต์ในสมัยอยุธยามีรูปแบบการแตกตัวที่ต่างไปจากภาษาไทยปัจจุบัน คือ เสียงวรรณยุกต์ของพยางค์ที่มีอักษรต่ำ คำตาย เสียงสระสั้น กับ พยางค์ที่มีอักษรต่อ คำตาย เสียงยาว มีเสียงเดียวกัน (ตัวอย่างเช่น คำว่า คัด กับ คาด เคยมีเสียงวรรณยุกต์เดียวกัน) ซึ่งสรุปการแตกตัวได้ดังนี้ คำเป็น คำตาย สามัญเดิม (*A) เอกเดิม (*B) โทเดิม (*C) สระยาว (*DL) สระสั้น (*DS) อักษรสุง 5 2 3 2 อักษรกลาง 1 อักษรต่ำ 3 4 3 สมัยจอมพล ป. พิบูลสงครามในสมัยที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี มีการปฏิรูปภาษาไทยโดยสภาวัฒนธรรมแห่งชาติเมื่อ พ.ศ. 2485 มีการเปลี่ยนแปลงการสะกดคำมากมาย การเปลี่ยนแปลงหลัก ๆ ที่สังเกตได้มีดังนี้
หลังจากจอมพล ป. พิบูลสงคราม หลุดจากอำนาจหลังสงครามโลกครั้งที่สองยุติ รัฐนิยมก็ถูกยกเลิกไปโดยปริยาย อักขรวิธีภาษาไทยได้กลับไปใช้แบบเดิมอีกครั้งหนึ่ง สัทวิทยาภาษาไทยประกอบด้วยหน่วยเสียงสำคัญ 3 ประเภท คือ
พยัญชนะพยัญชนะต้นภาษาไทยมาตรฐานแบ่งแยกรูปแบบเสียงพยัญชนะก้องและพ่นลม ในส่วนของเสียงกักและเสียงผสมเสียงแทรก เป็นสามประเภทดังนี้
หากเทียบกับภาษาอังกฤษ โดยทั่วไปมีเสียงแบบที่สองกับสามเท่านั้น เสียงแบบที่หนึ่งพบได้เฉพาะเมื่ออยู่หลัง เอส (S) ซึ่งเป็นเสียงแปรของเสียงที่สอง เสียงพยัญชนะต้นมี 21 เสียง ตารางด้านล่างนี้บรรทัดบนคือสัทอักษรสากล บรรทัดล่างคืออักษรไทยในตำแหน่งพยัญชนะต้น ริมฝีปากทั้งสอง ปุ่มเหงือก เพดานแข็ง เพดานอ่อน เส้นเสียง เสียงนาสิก[m] ม[n] ณ, น[ŋ] ง เสียงกัก ก้อง[b] บ[d] ฎ, ด, ฑ** ไม่ก้อง ไม่มีลม[p] ป[t] ฏ, ต[tɕ] จ[k] ก[ʔ] อ ไม่ก้อง มีลม[pʰ] ผ, พ, ภ[tʰ] ฐ, ฑ**, ฒ, ถ, ท, ธ[tɕʰ] ฉ, ช, ฌ[kʰ] ข, ฃ*, ค, ฅ*, ฆ เสียงเสียดแทรก[f] ฝ, ฟ[s] ซ, ศ, ษ, ส[h] ห, ฮ เสียงเปิด[w] ว[l] ล, ฬ[j] ญ, ย เสียงรัวลิ้น[r] ร * ฃ และ ฅ เลิกใช้แล้ว ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าภาษาไทยสมัยใหม่มีพยัญชนะเพียง 42 ตัวอักษร ** ฑ มีอยู่สองเสียง คือ [tʰ] เมื่อเป็นคำเป็น และ [d] เมื่อเป็นคำตาย พยัญชนะสะกดถึงแม้ว่าพยัญชนะไทยมี 44 รูป 21 เสียงในกรณีของพยัญชนะต้น แต่ในกรณีพยัญชนะสะกดแตกต่างออกไป สำหรับเสียงสะกดมีเพียง 8 เสียง เรียกว่า มาตรา เสียงพยัญชนะก้องเมื่ออยู่ในตำแหน่งตัวสะกด ความก้องจะหายไป ในบรรดาพยัญชนะไทย นอกจาก ฃ และ ฅ ที่เลิกใช้แล้ว ยังมีพยัญชนะอีก 6 ตัวที่ใช้เป็นตัวสะกดไม่ได้คือ ฉ ผ ฝ ห อ ฮ ดังนั้นตัวสะกดจึงเหลือเพียง 36 ริมฝีปาก ทั้งสอง ปุ่มเหงือก เพดานแข็ง เพดานอ่อน เส้นเสียง เสียงนาสิก[m] ม[n] ญ, ณ, น, ร, ล, ฬ[ŋ] ง เสียงกัก[p̚] บ, ป, พ, ฟ, ภ[t̚] จ, ช, ซ, ฌ, ฎ, ฏ, ฐ, ฑ, ฒ, ด, ต, ถ, ท, ธ, ศ, ษ,[k̚] ก, ข, ค, ฆ[ʔ]* - เสียงเปิด[w] ว[j] ย * เสียงพยัญชนะกัก เส้นเสียง [ʔ] จะปรากฏเฉพาะหลังสระเสียงสั้นเมื่อไม่มีพยัญชนะสะกด กลุ่มพยัญชนะแต่ละพยางค์ในคำหนึ่ง ๆ ของภาษาไทยแยกออกจากกันอย่างชัดเจน (ไม่เหมือนภาษาอังกฤษที่พยัญชนะสะกด อาจกลายเป็นพยัญชนะต้นในพยางค์ถัดไป หรือในทางกลับกัน) ดังนั้นพยัญชนะหลายตัวของพยางค์ที่อยู่ติดกัน จะไม่รวมกันเป็นกลุ่มพยัญชนะเลย ภาษาไทยมีกลุ่มพยัญชนะเพียงไม่กี่กลุ่ม ประมวลคำศัพท์ภาษาไทยดั้งเดิมระบุว่ามีกลุ่มพยัญชนะ (ที่ออกเสียงรวมกันโดยไม่มีสระอะ) เพียง 11 แบบเท่านั้น เรียกว่า พยัญชนะควบกล้ำ หรือ อักษรควบกล้ำ ริมฝีปาก ปุ่มเหงือก เพดานอ่อน พยัญชนะเดี่ยว [p] ป [pʰ] ผ, พ [t] ต [k] ก [kʰ] ข, ฃ, ค, ฅ เสียงรัว [r] ร [pr] ปร [pʰr] พร [tr] ตร [kr] กร [kʰr] ขร, ฃร, คร เสียงเปิด [l] ล [pl] ปล [pʰl] ผล, พล [kl] กล [kʰl] ขล, คล [w] ว [kw] กว [kʰw] ขว, ฃว, คว, ฅว พยัญชนะควบกล้ำมีจำนวนเพิ่มขึ้นอีกหกเสียงจากคำยืมภาษาต่างประเทศ ได้แก่
เราสามารถสังเกตได้ว่า กลุ่มพยัญชนะเหล่านี้ถูกใช้เป็นพยัญชนะต้นเท่านั้น ซึ่งมีเสียงพยัญชนะตัวที่สองเป็น ร ล หรือ ว และกลุ่มพยัญชนะจะมีเสียงไม่เกินสองเสียงในคราวเดียว การผันวรรณยุกต์ของคำขึ้นอยู่กับไตรยางศ์ของพยัญชนะตัวแรก สระเสียงสระในภาษาไทยมาตรฐานแบ่งออกเป็น 3 ชนิดคือ สระเดี่ยว สระประสม และสระเกิน สะกดด้วยรูปสระพื้นฐานหนึ่งตัวหรือหลายตัวร่วมกัน (ดูที่ อักษรไทย) สระเดี่ยว หรือ สระแท้ คือสระที่เกิดจากฐานเพียงฐานเดียว มีทั้งสิ้น 18 เสียง ลิ้นส่วนหน้า ลิ้นส่วนหลัง ปากเหยียด ปากเหยียด ปากห่อ สั้น ยาว สั้น ยาว สั้น ยาว ลิ้นยกสูง[i] –ิ[iː] –ี[ɯ] –ึ[ɯː] –ื[u] –ุ[uː] –ู ลิ้นกึ่งสูง[e] เ–ะ[eː] เ–[ɤ] เ–อะ[ɤː] เ–อ[o] โ–ะ[oː] โ– ลิ้นกึ่งต่ำ[ɛ] แ–ะ[ɛː] แ–[ɔ] เ–าะ[ɔː] –อ ลิ้นลดต่ำ[a] –ะ[aː] –า สระเดี่ยว สระประสมสระประสม คือสระที่เกิดจากสระเดี่ยวสองเสียงมาประสมกัน เกิดการเลื่อนของลิ้นในระดับสูงลดลงสู่ระดับต่ำ ดังนั้นจึงสามารถเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "สระเลื่อน" มี 3 เสียงดังนี้
ในบางตำราจะเพิ่มสระสระประสมเสียงสั้น คือ เ–ียะ เ–ือะ –ัวะ ด้วย แต่ในปัจจุบันสระเหล่านี้ปรากฏเฉพาะคำเลียนเสียงเท่านั้น เช่น เพียะ เปรี๊ยะ ผัวะ เป็นต้น สระเสียงสั้น สระเสียงยาว สระเกิน ไม่มีตัวสะกด มีตัวสะกด ไม่มีตัวสะกด มีตัวสะกด ไม่มีตัวสะกด มีตัวสะกด –ะ –ั–1, -รร, -รร- –า –า– –ำ (ไม่มี) –ิ –ิ– –ี –ี– ใ– (ไม่มี) –ึ –ึ– –ือ –ื– ไ– (ไม่มี) –ุ –ุ– –ู –ู– เ–า (ไม่มี) เ–ะ เ–็–, เ––2 เ– เ–– ฤ, –ฤ ฤ–, –ฤ– แ–ะ แ–็–, แ––2 แ– แ–– ฤๅ, –ฤๅ (ไม่มี) โ–ะ –– โ– โ–– ฦ, –ฦ ฦ–, –ฦ– เ–าะ –็อ–, -อ-2 –อ –อ–, ––3 ฦๅ, –ฦๅ (ไม่มี) –ัวะ –็ว– –ัว –ว– เ–ียะ (ไม่มี) เ–ีย เ–ีย– เ–ือะ (ไม่มี) เ–ือ เ–ือ– เ–อะ เ–ิ–4, เ––4 เ–อ เ–ิ–, เ––5, เ–อ–6 สระเกิน คือสระที่มีเสียงของพยัญชนะปนอยู่ มี 8 เสียงดังนี้
บางตำราก็ว่าสระเกินเป็นพยางค์ ไม่ถูกจัดว่าเป็นสระ สระบางรูปเมื่อมีพยัญชนะสะกด จะมีการเปลี่ยนแปลงรูปสระ สามารถสรุปได้ตามตารางด้านขวา
วรรณยุกต์เสียงวรรณยุกต์คำเป็นเสียงวรรณยุกต์ในภาษาไทยมาตรฐานจำแนกออกได้เป็น 5 เสียง ได้แก่ เสียงวรรณยุกต์ ตัวอย่าง เสียง ระดับเสียง อักษรไทย สัทอักษรสากล หน่วยเสียง เสียง สามัญ กลาง นา/nāː/ [naː˧]เอก กึ่งต่ำ-ต่ำ หรือ ต่ำอย่างเดียว หน่า/nàː/ [naː˨˩]โท สูง-ต่ำ น่า/หน้า/nâː/ [naː˥˩]ตรี กึ่งสูง-สูง หรือ สูงอย่างเดียว น้า/náː/ [naː˦˥]จัตวา ต่ำ-กึ่งสูง หนา/nǎː/ [naː˩˩˦] คำตายเสียงวรรณยุกต์ในคำตายสามารถมีได้แค่เพียง 3 เสียงวรรณยุกต์ คือ เสียงเอก เสียงโท และ เสียงตรี โดยขึ้นอยู่กับความสั้นความยาวของสระ เสียงเอกสามารถออกเสียงควบคู่กับได้สระสั้นหรือยาว เสียงตรีสามารถออกเสียงควบคู่กับสระสั้น และ เสียงโทสามารถออกเสียงควบคู่กับสระยาว เช่น เสียง สระ ตัวอย่าง อักษรไทย หน่วยเสียง เสียง เอก สั้น หมัก/màk/ [mak̚˨˩]ยาว หมาก/màːk/ [maːk̚˨˩]ตรี สั้น มัก/mák/ [mak̚˦˥]โท ยาว มาก/mâːk/ [maːk̚˥˩] แต่อย่างใดก็ดี ในคำยืมบางคำที่มีรากศัพท์มาจากภาษาอังกฤษ คำตายสามารถมีเสียงตรีควบคู่กับสระยาว และเสียงโทควบคู่กับสระสั้นได้ด้วย เช่น เสียง สระ ตัวอย่าง อักษรไทย หน่วยเสียง เสียง อังกฤษ ตรี ยาว มาร์ก/máːk/ [maːk̚˦˥]Marc, Mark สตาร์ต/sa.táːt/ [sa.taːt̚˦˥]start บาส (เกตบอล)/báːt (.kêt.bɔ̄n) / [baːt̚˦˥ (.ket̚˥˩.bɔn˧)]basketball โท สั้น เมคอัพ/méːk.ʔâp/ [meːk̚˦˥.ʔap̚˥˩]make-up รูปวรรณยุกต์ส่วน รูปวรรณยุกต์ มี 4 รูป ได้แก่ รูปวรรณยุกต์ ชื่อ ไทย สัทอักษร -่ ไม้เอก /máːj.ʔèːk/ -้ ไม้โท /máːj.tʰōː/ -๊ ไม้ตรี /máːj.trīː/ -๋ ไม้จัตวา /máːj.t͡ɕàt.ta.wāː/ การเขียนเสียงวรรณยุกต์ทั้งนี้คำที่มีรูปวรรณยุกต์เดียวกัน ไม่จำเป็นต้องมีระดับเสียงวรรณยุกต์เดียวกัน ขึ้นอยู่กับระดับเสียงของอักษรนำด้วย เช่น ข้า (ไม้โท) ออกเสียงโทเหมือน ค่า (ไม้เอก) เป็นต้น รูปวรรณยุกต์ ไม่เขียน -่ -้ -๊ -๋ อักษร สูง เสียงจัตวา เสียงเอก เสียงโท - - ตัวอย่าง ขา ข่า ข้า - - กลาง เสียงสามัญ เสียงเอก เสียงโท เสียงตรี เสียงจัตวา ตัวอย่าง ปา ป่า ป้า ป๊า ป๋า ต่ำ เสียงสามัญ เสียงโท เสียงตรี - - ตัวอย่าง คา ค่า ค้า - - คำควบกล้ำคำควบกล้ำ หรือ อักษรควบ หมายถึง พยัญชนะสองตัวเขียนเรียงกันอยู่ต้นพยางค์ และใช้สระเดียวกัน เวลาอ่านออกเสียงกล้ำเป็นพยางค์เดียวกัน เสียงวรรณยุกต์ของพยางค์นั้นจะผันเป็นไปตามเสียงพยัญชนะตัวหน้าคำควบกล้ำ (อักษรควบ) มี 2 ชนิด คือ คำควบแท้ ได้แก่ พยัญชนะ ร ล ว ควบกับพยัญชนะตัวหน้า ประสมสระตัวเดียวกัน เวลาอ่านออกเสียงพยัญชนะทั้งสองตัวพร้อมกัน คำควบไม่แท้ ได้แก่ พยัญชนะ ร ควบกับพยัญชนะตัวหน้าประสมสระตัวเดียวกัน เวลาอ่านไม่ออกเสียง ร ออกเสียงเฉพาะตัวหน้า หรือมิฉะนั้น ก็ออกเสียง เป็นเสียงอื่นไป
ไวยากรณ์ภาษาไทยเป็นภาษาคำโดด คำในภาษาไทยจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูป ไม่ว่าจะอยู่ในกาล (tense) การก (case) มาลา (mood) วาจก (voice) หรือบุรุษ (person) ใดก็ตาม คำในภาษาไทยไม่มีลิงค์ (gender) ไม่มีพจน์ (number) ไม่มีวิภัตติปัจจัย แม้เป็นคำที่รับมาจากภาษาผันคำ (ภาษาที่มีวิภัตติปัจจัย) เช่น ภาษาบาลี และภาษาสันสกฤต เมื่อนำคำที่รับมานั้นมาใช้ในภาษาไทย ก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูป คำในภาษาไทยหลายคำไม่สามารถกำหนดหน้าที่ของคำได้อย่างตายตัว จำเป็นต้องอาศัยบริบทเข้าช่วยในการพิจารณา เมื่อต้องการจะผูกประโยค ก็นำเอาคำแต่ละคำมาเรียงติดต่อกันเข้า ภาษาไทยมีโครงสร้างแตกกิ่งไปทางขวา คำคุณศัพท์จะวางไว้หลังคำนาม ลักษณะทางวากยสัมพันธ์ โดยรวมแล้วจะเป็นแบบ 'ประธาน-กริยา-กรรม' (subject-verb-object หรือ SVO) วากยสัมพันธ์ลักษณะทางวากยสัมพันธ์ หรือการเรียงลำดับคำในประโยค โดยรวมแล้วจะเรียงเป็น 'ประธาน-กริยา-กรรม' (subject-verb-object หรือ SVO) อย่างไรก็ตาม ในบางกรณี เช่น ในกรณีที่มีการเน้นความหมายของกรรม (topicalization) สามารถเรียงประโยคเป็น 'กรรม-ประธาน-กริยา' (object-subject-verb หรือ OSV) ได้ด้วย แต่ต้องใช้คำชี้เฉพาะเติมหลังคำที่เป็นกรรมคำนั้น เช่น กรณี ลำดับคำ ตัวอย่าง ธรรมดา (unmarked) ประธาน-กริยา-กรรม วัวกินหญ้าแล้ว เน้นกรรม (object topicalization) กรรม-ประธาน-กริยา หญ้านี้ วัวกินแล้ว หรือ หญ้าเนี้ย วัวกินแล้ว การยืมคำจากภาษาอื่นภาษาไทยเป็นภาษาหนึ่งที่มีการยืมคำมาจากภาษาอื่น ๆ ค่อนข้างสูงมาก มีทั้งแบบยืมมาจากภาษาในตระกูลภาษาขร้า-ไท ด้วยกันเอง และข้ามตระกูลภาษา โดยส่วนมากจะยืมมาจากภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต และภาษาเขมร ซึ่งมีทั้งรักษาคำเดิม ออกเสียงใหม่ สะกดใหม่ หรือเปลี่ยนความหมายใหม่ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกัน บางครั้งเป็นการยืมมาซ้อนคำ เกิดเป็นคำซ้อน คือ คำย่อยในคำหลัก มีความหมายเดียวกันทั้งสอง เช่น
คำจำนวนมากในภาษาไทย ไม่ใช้คำในกลุ่มภาษาไท แต่เป็นคำที่ยืมมาจากกลุ่มภาษาสันสกฤต-ปรากฤต โดยมีตัวอย่างดังนี้ รักษารูปเดิม หรือเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
ภาษาอังกฤษในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีวิวัฒนาการต่าง ๆ ทางเทคโนโลยีมากมาย ซึ่งทำให้มีการใช้ภาษาอังกฤษกันอย่างแพร่หลาย อย่างไรก็ตาม ก็ได้มีการบัญญัติศัพท์จากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย เช่น
ดูเพิ่ม
อ้างอิง
|