ถ.สาธุประดิษฐ์ (ซอย 27 เดิม) ช่องนนทรี ยานนาวา จ.กรุงเทพมหานคร 10120 ข้อมูลโครงการ
Facilityสถานที่ใกล้เคียง ลุมพินี เพลส รัชดา-สาธุรร.สารสาสน์พิทยา (0.2 กม.) รพ.บ้านแพ้ว สาทร (1.4 กม.) เซ็นทรัล พระราม 3 (0.6 กม.) อ่านเพิ่ม หมายเหตุ : ข้อมูลรายละเอียดโครงการที่อยู่อาศัยนี้เป็นเพียงการรวบรวมข้อมูลเบื้องต้น เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้บริโภคในการเปรียบเทียบ ทั้งนี้มิใช่การโฆษณาขายสินค้าแต่อย่างใด ผู้ซื้อควรสอบถามรายละเอียดเพื่อความถูกต้อง ไปยังบริษัทเจ้าของโครงการก่อนการตัดสินใจ เริ่มจากวิวทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ จะหันออกทางถนนพระราม 3 ที่เป็นถนนเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา เราก็จะเห็นตึก Signature ของย่านนี้ คือ อาคารสำนักงานใหญ่ของธนาคารกสิกรไทย ทิศตะวันออกเฉียงใต้ เป็นทิศที่หันออกไปทางเซ็นทรัลพระราม 3 ซึ่งห้องพักเกือบครึ่งหนึ่งของโครงการก็จะได้วิวนี้แแหละ ดูโล่งๆ ดี เพราะตึกสูงก็ห่างออกไปอยู่อีกฝั่งหนึ่งของถนนรัชดาภิเษกเลยนะ ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ จะหันไปเข้าเมืองไปทางสาทร เราจะได้วิวของแนวอาคารสูงที่อยู่ไกลๆ แต่ในระยะประชิดไม่มีอาคารบังเลยนะ วิวโล่งๆ ทีเดียว ส่วนตัวชอบวิวฝั่งนี้ที่สุดนะ เพราะวิวตึกที่เห็นจะดูมีดีไซน์กว่าฝั่งอื่น แต่ต้องแลกมากับแดดทางทิศตะวันตกนะ >< สถานที่สำคัญใกล้เคียงต่างๆ เช่น
เจาะลึกตัวโครงการ Lumpini Place รัชดา-สาธุ คอนโดฯ High Rise 1 อาคาร สูง 35 ชั้น บนที่ดินประมาณ 2 ไร่ ครึ่ง ตัวอาคารถูกออกแบบในคอนเซปต์ Modern Chinese คือการดีไซน์ที่นำศิลปะแบบจีนเข้ามาผสมกับความโมเดิร์นของอาคารสมัยใหม่ เพื่อเอาใจคนในย่านสาธุฯ ที่ส่วนใหญ่เป็นคนไทยเชื้อสายจีนโดยเฉพาะ การจัดพื้นที่ภายในอาคารจะวางพื้นที่จอดรถไว้ตั้งแต่ชั้น 1 ถึงชั้น 6 และเริ่มเป็นห้องพักอาศัยตั้งแต่ชั้น 7 – 34 สำหรับ Facility หลักๆ ของโครงการจะมี 2 ส่วน ถูกจัดไว้ที่ชั้น 7 และที่ชั้น 35 ที่เป็นชั้นบนสุดของอาคาร ทำให้มีความน่าใช้งาน เนื่องจากจะได้ชมวิวเมืองมุมสูงไปด้วยค่ะ เข้ามาที่ผังชั้น 1 ของโครงการ Lumpini Place รัชดา-สาธุ มีทางเข้าออกโครงการทางเดียวคือ ทางซอยสาธุประดิษฐ์ โครงการวางสวนส่วนกลางไว้ที่ด้านหน้าโครงการ แล้วดันตัวอาคารถัดเข้าไปด้านใน ทำให้ได้ความเป็นส่วนตัวและลดความพลุกพล่านจากบริเวณริมถนนได้ดี จากหน้าโครงการจะมีป้อมยามคอยรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม. และใช้ ระบบ RFID และ Key Card Access ในการเข้าออกค่ะ ชั้น 1 ของอาคารไม่มีห้องพักอาศัยนะคะ จะเป็นส่วนของ Lobby และทางขึ้นที่จอดรถ เส้นทางเดินรถในโครงการเมื่อขับเข้ามาด้านในจะเป็นทาง Two-Way วนซ้าย และมีจุด Drop-Off ให้สามารถแวะส่งลูกบ้านหน้าทางเข้า Lobby ได้สะดวก สำหรับที่จอดรถบนชั้น 1 จะเป็นที่จอดรอบอาคาร เหล่าบรรดา Visitors ก็สามารถจอดได้ที่ชั้นนี้ ส่วนชั้น 2 ขึ้นไปจะเป็นที่จอดรถสำหรับลูกบ้าน เริ่มจากบริเวณด้านหน้าโครงการจะมีซุ้มทางเข้าขนาดใหญ่ ซึ่งโครงการออกแบบให้มีฟุตบาทด้านข้างเพื่อใช้เป็นทางเดินของลูกบ้านแยกออกจากทางเดินรถอย่างชัดเจน ทำให้เกิดความปลอดภัยในการเดินเข้า-ออก ดีนะคะ บริเวณทางเข้า-ออก ด้านหน้าโครงการจะมีการติดตั้งไม้กั้นกระดก และมีพี่รปภ. ดูแลตลอด 24 ชั่วโมง ลูกบ้านที่ใช้รถยนต์ผ่านเข้าออกได้สะดวกด้วยระบบ RFID คือไม้กระดกจะเปิดเอง เหมือนตอนที่เราใช้ Easy Pass ขึ้นทางด่วน ส่วนลูกบ้านที่ใช้มอเตอร์ไซค์จะผ่านเข้าออกด้วยการแสกน Key Card นอกจากนี้ยังมีกล้องวงจรปิดที่ใช้ส่องป้ายทะเบียนให้ด้วย การรักษาความปลอดภัยของโครงการนั้น นอกจากจะมีไม้กั้นกระดกแล้ว ยังมีประตูบานเลื่อนอีกชั้นหนึ่งด้วย ซึ่งจะปิดในเวลากลางคืนเพื่อช่วยรักษาความปลอดภัยให้ดียิ่งขึ้น พื้นถนนโดยรอบโครงการจะปูด้วย Stamped Concrete ซึ่งวัสดุชนิดนี้จะเคลือบอะคริลิคไว้ จึงป้องกันการฝังตัวของฝุ่นละอองทำให้ง่ายต่อการดูแลและทำความสะอาด พอเข้าโครงการไปแล้วทางเดินรถจะเป็นแบบ Two-Way ให้ชิดขวาไปตามทางเดินรถนะคะ ทางเดินรถมีความกว้างพอสมควรให้ขับสวนกันได้สบายๆ บริเวณริมรั้วจะเป็นแนวต้นไม้ทำให้บรรยากาศดูร่มรื่น สบายตาดีนะคะ ข้างอาคารจะมีที่จอดรถสำหรับ Visitors ให้จอดกันได้สะดวกๆ และถ้าตรงเข้าไปหน่อยจะมี Drop-Off อยู่ตรงที่ Taxi จอดอยู่ค่ะ บริเวณหน้าทางเข้า Lobby อาคาร จะมีจุด Drop-Off ทำให้สามารถวนรถมาส่งลูกบ้านตรงนี้ได้สะดวก วนมาจนถึงด้านหลังโครงการจะมีจุดจอดมอเตอร์ไซค์อยู่ใต้อาคาร ช่องจอดรถมอเตอร์ไซค์ตรงนี้ก็เตรียมพื้นที่ไว้ให้จอดได้ประมาณ 15 คัน สำหรับลูกบ้านที่จะจอดรถบนอาคารก็ขับเข้ามาอีกหน่อย ซึ่งทางขึ้นที่จอดรถจะไม่ได้มีไม้กระดกกั้นนะ ทำให้บางทีแขกของลูกบ้านก็สามารถขึ้นไปจอดได้ ลูกบ้านก็อาจมีปัญหาว่าโดนแขกของลูกบ้านท่านอื่นแย่งที่จอดรถได้เหมือนกันนะ อ้อ..อีกนิดนึงคือลูกบ้านที่จอดรถในโครงการจะต้องเสียเงินเพิ่มนะ เดือนละ 500 บาทสำหรับรถยนต์ และ 150 บาทสำหรับมอเตอร์ไซค์ค่ะ ทางขึ้นที่จอดรถมีป้ายจำกัดความสูงของรถยนต์บอกไว้เรียบร้อย ว่าห้ามรถที่สูงเกิด 2.1 เมตร ขึ้นไปจอดชั้นบนนะ สำหรับบรรยากาศบริเวณที่จอดรถทำได้โปร่งโล่งดี เลี้ยวขึ้นมาตามทางเดินรถก็จะถึงชั้นจอดรถแล้ว ขนาดของทางเดินรถก็มีความกว้างที่ได้มาตรฐาน ใช้งานได้สะดวก มีลูกศรบอกเส้นทางการเดินรถไว้ชัดเจน ในส่วนของช่องจอดรถมีขนาดที่ไม่กว้างนัก แต่ก็ไม่แคบเกินไป แต่ละชั้นของที่จอดรถตั้งแต่ชั้น 2 – 6 จะลิฟต์อยู่ทุกชั้น ซึ่งจากที่จอดรถจะไม่สามารถเข้าโซนพักอาศัยได้เลยนะคะ ต้องลงไปที่ชั้น 1 เพื่อไปเข้า Lift Lobby อีกทีค่ะ ลงมาจากที่จอดรถ จะพาไปชมสวนรอบโครงการกัน ภายในสวนก็จะมีเครื่องออกกำลังกายกลางแจ้ง ให้ได้มายืดเส้นยืดสายกันได้ ในหลายๆ มุมก็มีการจัดเป็นที่นั่งเล่นในสวน ก็จะได้ร่มเงาจากต้นไม้ใหญ่บ้าง โครงการเพิ่งจะก่อสร้างเสร็จ ทำให้บรรยากาศอาจจะยังไม่ร่มรื่นเท่าที่ควร คงต้องอีกสักพักให้ต้นไม้แตกกิ่งสร้างร่มเงานะคะ ภายในพื้นที่สวนก็จะมีการจัดฟังก์ชันไว้สำหรับลูกบ้านหลายช่วงวัย อย่างวัยเด็กก็จะมีเครื่องเล่นให้ได้มาออกกำลังกายกัน พื้นที่สวนชั้น 1 จะอยู่ทางทิศตะวันตก ที่นั่งเล่นในสวนจึงเหมาะให้เข้ามาใช้งานได้ตั้งแต่ตอนเช้าถึงสายๆ และอีกทีก็ช่วงเย็นที่แดดร่มเลยค่ะ ภายในสวนจะมีน้ำพุตกแต่งที่ช่วยสร้างเสียงน้ำ ทำให้บรรยากาศภายในสวนให้ดูน่าใช้งานเพิ่มขึ้นด้วย นอกจากนี้ยังมีน้ำตกจำลองเล็กๆ ที่เค้าทำสะพานไว้ให้เดินเล่น เป็น Gimmick น่ารักๆ ในสวนค่ะ พื้นที่จุดรวมพลของโครงการลุมพินีจะมีป้ายแปะไว้อย่างนี้ทุกๆ โครงการ เอาไว้เรียกรวมตัวกันในเวลาที่มีเหตุฉุกเฉินนะคะ เดินมาจนรอบโครงการแล้ว เราจะพาเข้าไปดูภายในอาคารกันบ้าง ตามมาชมกันเลย Facilities หลักๆ ที่ชั้น 1 ของโครงการ ก็จะมี Co-Living Zone ที่อยู่ติดกับสวนด้านหน้าโครงการเลย เข้ามาด้านในบรรยากาศจะโปร่งโล่งขึ้นจากผนังกระจกที่ล้อมห้องนี้ไว้เกือบทั้งหมด ทำให้แสงธรรมชาติเข้ามามากและเราสามารถชมวิวสวนจากห้องนี้ได้ เผื่อใครที่อยากเปลี่ยนบรรยากาศลงมานั่งทำงาน/อ่านหนังสือ ที่ห้องนี้ และยังมีโซนที่ใช้นั่งเล่นชมวิวสวนได้ ซึ่งโครงการจะจัดชุดโซฟาไว้ตามมุมต่างๆ ชุดโซฟาอีกมุมหนึ่งภายใน Co-Living Area สำหรับใครที่อยากหาปลั๊กเสียบโน๊ตบุ๊ค ก็จะมีปลั๊กตรงโต๊ะสตูสูงให้ใช้ได้ นอกจากนี้ก็จะมีชุดโซฟานั่งเล่นเก๋ๆ ให้ใช้ถ่ายรูป หรือจะนั่งประชุมตรงโต๊ะกลมก็มีให้เลือกใช้งานได้ ประตูทางเข้า Lobby สามารถเข้าได้ 2 ทาง คือ ประตูตรงข้ามกับ Co-Living Zone และประตูบริเวณที่ติดกับ Drop-Off ซึ่งแขกของลูกบ้านสามารถเข้ามานั่งรอบริเวณ Lobby ได้เลยนะ แต่จะไม่สามารถเข้า Lift Lobby ได้ ต้องรอลูกบ้านมาเปิดให้ โครงการตกแต่ง Lobby ออกมาในสไตล์ Modern Chinese จึงเลือกใช้ไม้ผสมกับกระเบื้องหินอ่อน ได้กลิ่นอายของความเป็นจีนหน่อยๆ ภายในบริเวณ Lobby จะจัดชุดโซฟาไว้เยอะทีเดียว ส่วนฝั่งซ้ายจะมีทางเดินไป Lift Lobby เพื่อขึ้นไปชั้นพักอาศัยนะคะ ด้านในจะมีเคาน์เตอร์สำหรับติดต่อขอดูห้องตัวอย่าง หรือมาขอตรวจรับห้องก็จะมีเจ้าหน้าที่คอยให้บริการอยู่ในบริเวณนี้เลย เดินผ่านเคาน์เตอร์ Reception เข้ามาด้านใน จะมีห้องนิติบุคคลอยู่ทางฝั่งขวา ผ่านเข้าไปทางฝั่งซ้ายจะมีห้องที่เป็นพื้นที่รวมตู้หยอดเหรียญ ตรงไปด้านในสุดเป็นห้องน้ำส่วนกลางที่ชั้นนี้ค่ะ ห้องนิติบุคคลในช่วงนี้กำลังคึกคักเลยนะคะ เพราะเป็นช่วงที่ลูกบ้านเริ่มทยอยมาโอนห้องกันพอดี ภายในห้องรวมตู้หยอดเหรียญ ตอนนี้มีติดตั้งตู้กดน้ำแล้ว 1 เครื่อง ซึ่งทางโครงการแจ้งว่าในอนาคตอาจมีการติดตั้งเพิ่มขึ้นอยู่กับจำนวนลูกบ้านที่เข้าอยู่ ส่วนหนึ่งเพราะโครงการนี้ไม่มีร้านค้า ทางโครงการจึงทำเป็นตู้หยอดเหรียญมาให้บริการลูกบ้านแทนค่ะ ด้านในสุดของทางเดินเป็นตำแหน่งของห้องน้ำส่วนกลาง ที่แยกห้องของชาย/หญิง/ผู้สูงอายุไว้เรียบร้อย บรรยากาศภายในห้องน้ำยังคงเป็นสไตล์ของลุมพินี คือเรียบง่าย แต่ก็ได้ฟังก์ชันครบ และแน่นอนว่ายังคงโดดเด่นเรื่องการดูแลรักษาความสะอาดจากแม่บ้านเหมือนเดิม ต่อไปจะพาขึ้นไปชมในโซนพักอาศัยกัน โดยต้องใช้ Key Card ผ่านเข้าไปใน Lift Lobby ทำให้บริเวณนี้จะมีเพียงลูกบ้านเท่านั้นที่สามารถเข้า-ออก ได้ ห้อง Mail Box จะต้องเดินตรงเข้าไปทางฝั่งซ้าย ส่วนลิฟต์จะอยู่ทางฝั่งขวา บรรยากาศในห้อง Mail Box จะเป็นช่องเล็กๆ ใส่จดหมายอยู่ในขนาดที่พอใช้ได้ ดูเรียบๆ และมีเลขที่ห้องติดไว้เรียบร้อย เข้ามาในโถงลิฟต์ของอาคารจะมีลิฟต์ทั้งหมด 3 ตัว อัตราส่วนลิฟต์ประมาณ 1 : 181 ค่อนข้างสูงเกินค่ามาตรฐานทีเดียว อาจจะต้องเผื่อเวลารอลิฟต์นิดหน่อยในช่วงเร่งด่วนนะคะ บรรยากาศภายในลิฟต์ดูสว่างดี ภายในมีติดกล้อง CCTV เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้ลิฟต์ ซึ่งเป็นลิฟต์ไม่ล็อคชั้นนะ แต่การกดลิฟต์จะต้องใช้คู่กับ Key Card จึงต้องเป็นลูกบ้านเท่านั้นถึงจะขึ้นลิฟต์ได้ ขึ้นมาชั้น 7 เป็นชั้นที่มี Facilities หลักของโครงการ ได้แก่ สระว่ายน้ำ, ห้อง Fitness, พื้นที่ Co-Dining Zone, Kid’s Fun Zone, ห้องนั่งเล่นดูทีวี ที่โครงการเรียกว่า Happiness Zone และห้องติดตั้งเครื่องซักผ้าและตู้น้ำหยอดเหรียญ ที่เรียกว่า House Work Zone นอกจากนี้ก็จะมีห้องน้ำส่วนกลาง สำหรับห้องน้ำผู้ชายก็จะมีห้อง Sauna ให้ใช้งานได้ ส่วนห้องน้ำผู้หญิงจะเป็นห้อง Steam นะคะ โซนห้องพักในชั้นนี้จะถูกแยกออกเป็นสัดส่วน โดยมีประตูแยกพื้นที่พักอาศัยออกจากพื้นที่ส่วนกลางชัดเจน มีจำนวนห้องพักในชั้นนี้ 6 ยูนิต ผังอาคารจัดไว้ค่อนข้างดี คือเมื่อออกจากโถงลิฟต์มาจะมีทางเดินเข้าสระว่ายน้ำโดยไม่ต้องผ่านเข้าไปในส่วนห้องพักอาศัยเลย ทำให้ผู้อยู่อาศัยในชั้นนี้ได้รับความเป็นส่วนตัวเช่นเดียวกับห้องพักอาศัยในชั้นอื่นๆ และยังอยู่ใกล้กับพื้นที่ส่วนกลาง ทำให้มาว่ายน้ำ พักผ่อน ได้สะดวกด้วย แต่น่าเสียดายนิดหน่อยที่ประตูหน้าโซนห้องพักไม่ได้ติดตั้งเครื่องแสกน Key Card ไว้ ก็ต้องระวังเรื่องความปลอดภัยกันหน่อยค่ะ สำหรับเรื่องวิว ห้องพักในชั้นนี้ส่วนใหญ่จะหันทางทิศตะวันออกเฉียงใต้และตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งพอห้องพักอยู่บนชั้น 7 แล้ว ก็ได้วิวดีทั้ง 2 ทิศเลย ไม่มีอาคารบังวิวในระยะประชิด จากลิฟต์ออกมาที่บริเวณโถงทางเดินของชั้น 7 บรรยากาศดูโปร่งๆ เพราะบริเวณทางเดินส่วนกลางจะเป็นพื้นที่เปิดโล่ง เดินออกมาจากโซน Lift Lobby ส่วนแรกที่เราจะเจอเลยคือ ห้องบริการเครื่องซักผ้าและตู้น้ำหยอดเหรียญ และประตูที่อยู่ติดกันคือทางเข้าของโซนห้องพักอาศัยในชั้นนี้ ซึ่งห้องพักในชั้นนี้ก็มีข้อดีข้อเสียที่จะต้อง Trade-Off กันดู ข้อดีคืออยู่ใกล้พื้นที่ส่วนกลางมาใช้งานได้สะดวกเลย แต่ก็มีข้อเสียตรงที่ชั้นนี้จะกลายเป็นชั้นที่มีลูกบ้านมาใช้ Facilities ส่วนกลางกันเยอะหน่อย ก็จะเสียความเป็นส่วนตัวไปบ้าง และยังมีเรื่องของความปลอดภัยที่ต้องระวังกันหน่อย เพราะประตูทางเข้าโซนพักอาศัยไม่ได้ติดตั้งเครื่องแสกน Key Card มาให้นะ บรรยากาศภายในห้องบริการเครื่องซักผ้าและตู้น้ำหยอดเหรียญ ตอนนี้มีเครื่องซักผ้า อบผ้า อยู่ 4 เครื่อง และมีตู้กดน้ำ 1 ตู้ ซึ่งในอนาคตอาจมีการติดตั้งเพิ่ม ขึ้นอยู่กับจำนวนลูกบ้านที่เริ่มทยอยมาเข้าพักอาศัยนะคะ อีกฝั่งหนึ่งของอาคารเป็นโซนที่รวม Facilities ไว้ทั้งหมด โดยฝั่งซ้ายจะเป็นสระว่ายน้ำ และฝั่งขวาจะแบ่งเป็นห้องย่อยๆ ตามฟังก์ชันที่หลากหลาย ได้แก่ ห้องนั่งเล่น หรือที่โครงการเรียกว่า Happiness Room ถัดไปคือ Kid’s Fun Zone และห้องสุดท้ายเป็น Co-Dining Zone บรรยากาศภายใน Happiness Room เป็นห้องนั่งเล่นดูทีวี ซึ่งโครงการจัดชุดโซฟาไว้ให้นั่งเล่นได้ประมาณ 6-7 คน ถัดมาที่ห้องคุณหนูจะมีการปูพื้นยางไว้ให้เด็กๆ ได้วิ่งเล่นอย่างเต็มที่ พอมีห้องแบบนี้แล้วรู้สึกว่ามีประโยชน์ต่อเด็กๆ มากเลย เพราะเด็กที่ถูกเลี้ยงในคอนโดจะได้มีพื้นที่ให้พบปะเพื่อนๆ ต่อมาที่ห้อง Co-Dining Zone ที่ออกแบบมาเพื่อเอาใจลูกบ้านที่อยากจัดปาร์ตี้ หากรับแขกที่ห้องไม่พอก็สามารถจองห้องนี้เพื่อใช้ทานอาหาร ร้องคาราโอเกะกันได้ ซึ่งโครงการแจ้งว่าในอนาคตจะนำทีวีมาติดเพิ่มให้ด้วย และภายในห้องยังมีเคาน์เตอร์ครัวพร้อมเครื่องใช้ไฟฟ้าเตรียมไว้ให้ ก็จะมีไมโครเวฟ และตู้เย็น เอาไว้ให้เตรียมอาหารเล็กๆ น้อยๆ สำหรับจัดงานปาร์ตี้ ฝั่งตรงข้าม Co-Dining Zone จะเป็นตำแหน่งของสระว่ายน้ำ ซึ่งเราต้องมาล้างตัวที่จุดนี้ก่อนลงสระกันนะคะ สระว่ายน้ำของโครงการมีขนาด 27 x7 ม. ลึก 1.2 ม. ถือว่าเป็นขนาดที่ไม่อึดอัดนักเมื่อต้องแชร์กับลูกบ้านในโครงการทั้งหมด 543 ยูนิต ที่ภายในสระจะมีทั้งส่วนที่สามารถใช้ว่ายน้ำแบบจริงจัง สำหรับคนที่ตั้งใจมาออกกำลังกายแบบว่ายยาวๆ และยังมีมุมออกกำลังกายต่างๆ ภายในน้ำให้ด้วย ทางลงสระมีบันไดขึ้นลงกว้างๆ ให้แบบนี้ ซึ่งตรงนี้เป็นความลึกระดับแรก อยู่ที่ 90 ซม. พื้นที่ภายในสระในส่วนที่ลึก 90 ซม. จัดเป็นโซนออกกำลังกายในน้ำ และยังเป็นพื้นที่เล่นน้ำสำหรับเด็กๆ ที่โตขึ้นมาหน่อยได้ด้วย สำหรับใครที่ชอบว่ายน้ำแบบออกกำลังกายหนักๆ ก็จะมีช่วงสระยาวๆ ให้ว่ายได้สะดวกเช่นกัน สำหรับใครที่ไม่ได้อยากขึ้นมาว่ายน้ำ ก็มานั่งเล่นที่เก้าอี้ริมสระกันได้ และพอโครงการยกสระว่ายน้ำขึ้นมาไว้บนชั้น 7 ทำให้วิวโดยรอบของสระจะเป็นวิวเมืองแบบโล่งๆ ดูชิวๆ ดีนะ สำหรับเด็กเล็กก็มีสระแยกไว้ให้เช่นกัน มีความลึก 60 ซม. และมีตำแหน่งติดกับขอบสระเลย ทำให้ผู้ปกตรองสามารถดูแลได้ง่าย สระว่ายน้ำนี้ถูกออกแบบมาให้เป็นระบบ Overflow จากมุมมองในสระจะดูเหมือนว่ายอยู่เหนืออาคารโดยรอบ ซึ่งระบบ Overflow หรือเรียกว่าระบบน้ำล้น คือน้ำจะล้นออกจากสระ เพื่อลงสู่รางระบายน้ำในขอบสระชั้นล่าง หลังจากนั้นน้ำจะไหลไปยังบ่อพักน้ำและผ่านระบบกรอง ก่อนถูกปล่อยเข้ามาในสระว่ายน้ำอีกครั้ง ติดกับสระว่ายน้ำจะพามาชมห้องน้ำที่แยกชายหญิงไว้เรียบร้อย และประตูกระจกทางซ้ายคือทางเข้าห้อง Fitness ค่ะ เราจะพาชมในส่วนของห้องน้ำหญิงนะ พื้นที่ภายในห้องน้ำค่อนข้างกว้างทีเดียว การตกแต่งไม่หวือหวาตามเคย แต่จะให้ฟังก์ชันมาครบ โซนแรกเลยจะมีอ่างล้างมือพร้อมกระจกให้ตรวจเช็คความเรียบร้อย ด้านในมี Locker ให้เก็บของได้ ลูกบ้านสามารถนำเสื้อผ้า อุปกรณ์อาบน้ำ ขึ้นมาใส่ไว้ที่นี่ได้สะดวก เข้ามาด้านในเอีกหน่อย จะมีห้องน้ำ 2 ห้อง, ห้องอาบน้ำ 1 ห้อง และห้อง Steam อีก 1 ห้อง ภายในห้องน้ำและห้องอาบน้ำมีความกว้างให้ใช้งานได้สะดวกตามมตรฐาน ผนังและพื้นปูด้วยกระเบื้องทั้งหมด ดูเรียบร้อย บรรยากาศภายในห้องซาวน่าก็ดูเรียบร้อยดี มีพื้นที่ให้นั่งได้ประมาณ 3-4 คน ต่อไปมาชมห้อง Fitness กันบ้าง เปิดเข้ามาภายในจะเจอกับเครื่องออกกำลังกายที่ถูกจัดวางให้หันหน้าออกไปทางผนังกระจก เพื่อชมวิวได้สะดวก วิวที่ได้ตอนที่เราวิ่งลู่ ก็จะได้วิวท้องฟ้าโล่งๆ ประมาณนี้ และเครื่องออกกำลังกายเลือกใช้ของยี่ห้อ True Fitness ของอเมริกา ได้มาตรฐานของเครื่องออกกำลังกายที่ดีนะ ภายในห้องจัดเครื่องออกกำลังกายต่างๆ มานับทั้งหมดได้ประมาณ 10 เครื่อง ซึ่งถือว่าให้มาเยอะพอสมควร เครื่องออกกำลังกายภายในห้องมีความหลากหลายทั้งแบบที่เหมาะกับการเล่นเวท สร้างกล้ามและคนที่ต้องการออกกำลังแบบคาร์ดิโอค่ะ ติดกับห้อง Fitness จะมีพื้นที่นั่งเล่น รับลมชมวิวบนชั้นนี้ด้วย ซึ่งก็ถือว่ามีมุมพักผ่อน นั่งเล่นที่หลากหลายดีนะ มุมนั่งเล่นอีกมุมหนึ่งซึ่งบริเวณนี้พอมาลองยืนดูแล้ว ลมพัดเย็นดีนะคะ แต่แดดก็แรงมากเช่นกัน จึงเหมาะจะมานั่งช่วงเย็นๆ ที่แดดร่มหน่อยแล้วแหละ มาต่อกันที่ ชั้น 9-25 ของตึก เป็น ในชั้นนี้จะเป็นห้องพักอาศัยทั้งชั้นไม่มีพื้นที่ส่วนกลางและเป็น Typical Floor Plan ของอาคาร ห้องพักในชั้นนี้มีทั้งหมด 22 ยูนิต ซึ่งมีให้เลือกตั้งแต่ Studio/ 1 Bedroom/ 2-Bedroom ซึ่งห้องพักประมาณ 70 % จะเป็นแบบ 1 Bedroom ขนาด 28 ตร.ม. เพื่อเน้นกลุ่มวัยทำงานที่อยากแยกมามีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง แบบอยู่กัน 1-2 คนเป็นหลัก โดยห้องพักส่วนใหญ่จะเป็นห้องที่หันหน้าทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ และ ทิศตะวันออกเฉียงใต้ จึงจะมีห้องที่โดนแดดบ่ายบ้าง ต้องเลือกตำแหน่งกันดีๆ ถ้าอยากหลบแดดก็เลือกห้องทางทิศตะวันออกดีกว่า แต่ห้องทางทิศตะวันตกก็มีข้อดีที่ได้วิวเมืองทางสาทร จะเห็นตึกสวยๆ เยอะแยะเลย ทางเดินจัดเป็น Double corridor วางห้องพักขนาบทางเดิน 2 ฝั่ง โถงลิฟท์มีตำแหน่งเดียวอยู่บริเวณกลางๆ อาคาร ทำให้ห้องพักแต่ละฝั่งเดินไม่ไกลจากลิฟต์มากนัก ในโถงจะมีลิฟท์จะมีลิฟท์ 3 ตัว เป็นแบบล็อกชั้น มีอัตราส่วนลิฟท์เฉลี่ยทั้งโครงการ 1 : 181 ถือว่าเป็นอัตราส่วนที่หนาแน่นทีเดียว และมี Service Lift เผื่อขนของแยกให้อีก 1 ตัว ต่อไปเป็นเรื่องของวิว วิวของห้องพักส่วนใหญ่ตั้งแต่ชั้น 7 ก็ได้วิวที่ค่อนข้างเปิดโล่งทั้งหมดทุกทิศทาง เว้นแต่ห้องทางด้านหลังโครงการที่หันไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือจะต้องขึ้นมาสูงกว่านั้นหน่อย ประมาณชั้น 10 ก็จะได้วิวโล่งหมดทุกทิศแล้วเช่นกัน ชั้น 26 เป็นชั้นที่มีความพิเศษ คือจะมีสวนเล็กๆ ให้ออกมานั่งรับลมชมวิวกันได้ด้วย ห้องพักบนชั้นนี้มีจำนวนลดลงเหลือ 19 ยูนิต ซึ่งเป็นห้องที่มี High Value นะ เพราะถือว่าอยู่ใกล้สวนออกมานั่งเล่น เปลี่ยนบรรยากาศได้ง่าย ส่วนเรื่องวิวก็อย่างที่บอกไปแล้วว่าโล่งทุกทิศทางนะ ให้เลือกจากทิศทางของแดด และวิวที่ชอบได้เลยออกมาจากลิฟต์ชั้น 26 เพื่อจะพาเดินไปชมสวนกันนะ บริเวณโถงทางเดินได้แสงธรรมชาติจากหน้าต่าง 2 ฝั่งของทางเดิน ก็ไม่ได้สว่างมากนัก แต่พอเดินได้อยู่ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะโครงการไม่ได้เปิดไฟบริเวณทางเดินด้วย แต่คิดในแง่ดีก็เป็นการประหยัดค่าส่วนกลางให้กับลูกบ้านเหมือนกันนะ สวนหย่อมที่ชั้น 26 จัดมุมนั่งเล่นไว้ให้ และสร้างบรรยากาศด้วยต้นไม้ใหญ่และไม้พุ่ม สวนตรงนี้มีตำแหน่งอยู่ทางหน้าโครงการ จะได้วิวเมืองทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งจะมองออกไปทางแม่น้ำเจ้าพระยาพอดี อีกชั้นหนึ่งที่จัดให้เป็นชั้นพิเศษ เพิ่มสวนขึ้นมา คือที่ชั้น 31 ห้องพักบนชั้นนี้จะมีจำนวน 15 ยูนิต และจัดแบบ 2-Bedroom มาให้เลือกมากขึ้น เอาใจคนที่มี Budget ขึ้นมาหน่อย และอยากได้ห้องที่กว้างขึ้น บนชั้นสูงๆ สวนหย่อมบนชั้น 31 จะมองวิวเมืองได้กว้างขึ้น ตกแต่งสวนด้วยต้นไม้ใหญ่และไม้พุ่ม ดูเขียวๆ ดี แต่พอสวนอยู่ทางทิศตะวันตกก็จะร้อนถึงช่วงบ่ายแก่ๆ เลย ขึ้นมาที่ชั้น 32-34 จะมีแปลนเหมือนกับที่ชั้น 31 เลย มีจำนวนห้องพัก 15 ยูนิต เท่ากัน</span><span style="font-size: 1rem"> แต่จะไม่ได้มีสวนส่วนกลางนะคะ สำหรับชั้นบนสุดของอาคารสามารถขึ้นมาถึงโดยลิฟท์ได้เลยนะ ซึ่งพื้นที่ส่วนกลางบนชั้นนี้จัดเป็นลักษณะของ Roof Garden และ Sky Lounge จากโถงลิฟท์จะติดกับ Sky Lounge ที่เป็นห้องแบบ Indoor ใช้เป็นจุดนั่งชมวิว นั่งพักผ่อนได้ สำหรับพื้นที่ส่วนใหญ่บนชั้นนี้จะออกแบบมาให้เป็นจุดนั่งชมวิวเช่นกัน แต่จะเป็นบรรยากาศสวนแบบ Outdoor เน้นบรรยากาศร่มรื่นด้วยต้นไม้ยืนต้นและไม้พุ่ม มีที่นั่งพักตามมุมต่างๆ ซึ่งส่วนกลางบนชั้นดาดฟ้านี้เป็นจุดที่ให้ลูกบ้านได้มีพื้นที่มาเปลี่ยนบรรยากาศ ชมวิวได้ออกมาจากโถงลิฟต์ ก็จะมีประตูทางเข้า Sky Lobby ทางขวา หรือถ้าใครอยากเดินเล่นในสวนก็เลี้ยวซ้ายไปเลยค่า บรรยากาศภายใน Sky Lobby ดูโปร่งมากเพราะเค้าออกแบบมาให้เป็นห้องกระจกทุกด้าน และทำฝ้าเพดานสูงแบบ Double Volume ภายในจัดวางชุดโซฟา ไว้ให้นั่งเล่นหลายมุม มุมที่เราชอบที่สุดคือมุมที่ได้วิวแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งโครงการก็จัดเก้าอี้มาให้นั่งชมวิวแบบนี้แหละ แต่พอดีด้านนี้จะหันไปทางทิศตะวันตก เลยแดดจ้าสักหน่อย ต่อไปมาชมพื้นที่สวนบนชั้นดาดกันบ้าง มีขนาดใหญ่พอสมควรเพราะเค้าจัดพื้นที่ที่เหลือทั้งหมดให้เป็นมุมนั่งเล่นในสวนหมดเลย สวนบนชั้น 35 เป็นลักษณะของ Roof Garden แบบเปิดโล่ง โครงการเลือกต้นไม้ใหญ่มาปลูกเป็นแนวเพื่อให้ร่มเงา แต่คงต้องรอให้ต้นไม้ฟื้นตัวอีกสักหน่อย ให้แผ่กิ่งก้าน ก็จะดูร่มรื่นกว่านี้ สวนบนชั้นนี้จัดมุมนั่งเล่นชมวิวไว้ เหมือนสวนลอยฟ้าที่ชั้นอื่นๆ แหละ ไม่ได้มีฟังก์ชันอะไรพิเศษ แต่เผื่อไว้ให้ลูกบ้านได้เปลี่ยนบรรยากาศ ขึ้นมาดูวิวสวยๆ จากชั้นสูงๆ บ้าง มุมนั่งเล่นก็จะมีให้เลือกใช้ได้เยอะเลย แต่ก็เหมาะจะมาใช้งานเฉพาะตอนเย็นที่แดดร่มแล้วนะคะ สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก
Product Walkthrough แบบห้องของโครงการ Lumpini Place รัชดา-สาธุ เริ่มต้นที่ห้อง Studio ขนาด 23.5 ตร.ม. ไปจนถึงห้องแบบ 3-Bedroom ขนาด 65.5 ตร.ม. โครงการทำห้องเริ่มต้นให้มีขนาดกะทัดรัดที่สุดในย่าน ทำให้ราคา Package ต่อห้องเริ่มต้นที่ประมาณ 3 ล้านบาท เป็นราคาที่หยิบจับง่ายหน่อยสำหรับโครงการมือ 1 บนทำเลนี้ แบบห้องมีให้เลือกทั้งหมด 4 แบบ ดังนี้ค่ะ
ห้องตัวอย่างที่จะพาไปชมในวันนี้มี 2 ห้องนะคะ คือแบบ 1 Bedroom ขนาด 28 ตร.ม. และแบบ 2 Bedroom ขนาด 36 ตร.ม. โครงการขายแบบ Fully Fitted จะได้เฟอร์นิเจอร์เฉพาะชุดครัวและวัสดุสุขภัณฑ์ในห้องน้ำ ซึ่งโครงการส่วนใหญ่ในทำเลนี้ก็ขายแบบ Fully Fitted นี่แหละ แต่มักจะให้เฟอร์ฯ มาเพิ่มอีกนิดหน่อย เช่น ให้ตู้เก็บรองเท้า, ตู้เสื้อผ้า และ เตาไฟฟ้า+เครื่องดูดควัน มาให้ด้วย Lumpini Place รัชดา-สาธุ จึงเหมาะกับคนที่ต้องการเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์ด้วยตัวเอง จะได้สไตล์ที่ชอบมากกว่า ห้องและวัสดุที่ให้จะมีหน้าตาเป็นอย่างไรไปชมกันเลยค่ะ เริ่มจากห้อง 1 bedroom ขนาด 28 ตร.ม. ซึ่งเป็นแบบห้องส่วนใหญ่ของโครงการ ภายในประกอบด้วย 1 ห้องนั่งเล่น 1 ห้องนอน 1 ห้องครัว และ 1 ห้องน้ำ จากประตูทางเข้าหลักจะเปิดมาเจอพื้นที่ครัวที่เป็นแบบ Pantry เป็นครัวเปิดโล่งจึงเหมาะกับคนที่ไม่ได้ทำอาหารจริงจังนัก แค่อุ่นแะไรทานเล็กๆ น้อยๆหรือทำอาหารง่ายๆ ติดกันเป็นห้องนั่งเล่น ซึ่งใช้ประโยชน์ได้หลากหลายทั้งเป็นทั้งพื้นที่รับแขก นั่งเล่น ทานอาหารและพื้นที่ทำงาน ด้านในสุดของห้องนั่งเล่นมีช่องแสงขนาดใหญ่ เป็นประตูบานเลื่อนกระจกที่เปิดออกไประเบียง ทำให้ห้องนั่งเล่นดูโปร่งด้วยแสงธรรมชาติที่ส่องผ่านเข้ามา สำหรับระเบียงมีขนาดไม่กว้างมาก พอสำหรับตั้งเครื่องซักผ้าและราวตากผ้าเล็กๆ ได้ค่ะ พื้นที่ฝั่งขวามือของห้องจะเป็นห้องนอน ภายในมีพื้นที่พอให้วางเตียงและตู้เสื้อผ้าได้ครบ ส่วนห้องน้ำจะอยู่ภายในห้องนอน ซึ่งในกรณีที่มีเพื่อนๆ มาหาก็ต้องเดินผ่านห้องนอนเรา จึงเสียความเป็นส่วนตัวอยู่สักหน่อย สำหรับห้องน้ำจัดพื้นที่แยกส่วนเปียกและส่วนแห้งชัดเจน แต่ด้วยตำแหน่งที่อยู่ด้านในของอาคารจึงไม่มีช่องระบายอากาศ ทำให้ต้องพึ่งพาระบบของอาคารล้วนๆ ค่ะ เริ่มจากประตูทางเข้าห้องเป็นบานไม้ HDF พร้อมมือจับประตูแบบก้านโยก ถ้าย้อนเวลาไป 2 ปี ตอนโครงการเปิดตัวใหม่ๆ ในทำเลนี้ก็ไม่ได้ให้ Digital Doorlock กันนะคะ แต่พอตึกเสร็จและราคาห้องปรับขึ้นแล้ว ก็แอบลุ้นนิดๆ ให้แถม Digital Doorlock เพิ่มเหมือนกันนะ เข้าไปในห้องโซนแรกจะเป็น Pantry ครัว ถัดเข้าไปเป็น Living Area ที่รวมทั้งพื้นที่นั่งเล่น ทานอาหารเอาไว้ในโซนเดียวกัน บรรยากาศภายในห้องด้วยช่องแสงขนาดใหญ่ ที่เป็นประตูบานเลื่อนที่เปิดออกไประเบียง ห้องจริงที่ได้จะเป็นห้องเปล่าตามรูปด้านล่าง ฝ้าเพดานสูง 2.6 ม. พื้นห้องปูด้วยลามิเนตทั้งหมด ซึ่งเวลามีคราบสกปรกที่เกิดจากการทำครัวก็จะทำความสะอาดยากกว่ากระเบื้องค่ะ เมื่อเข้ามาภายในห้องแล้วมองกลับไปทางประตูหน้าห้อง จะเห็นภาพรวมของส่วน Pantry ครัวที่อยู่หน้าทางเข้าห้อง โครงการจะให้ Pantry ครัวมาฝั่งเดียว แต่ถ้าเราอยากได้พื้นที่ทำครัวกว้างๆ ก็ Built-in เคาน์เตอร์ขึ้นมาอีกฝั่งด้วยก็ได้ แต่อย่าลืมพื้นที่สำหรับวางตัวตู้เย็นด้วยนะ Pantry ครัวที่ให้จะมาพร้อมตู้ลอยแบบนี้เลย ซึ่งเป็นเฟอร์นิเจอร์ที่แถมมาให้กับห้อง Fully Fitted นะคะ Pantry ครัว วัสดุเป็นโครงไม้กรุลามิเนต Top เคาน์เตอร์เป็นลามิเนตลายไม้สีเข้ม ทนน้ำได้นิดหน่อย แนะนำว่าถ้าเปียกให้รีบเช็ดให้แห้งจะได้ไม่บวมน้ำ ด้านล่างมีตู้บานเปิดปิด ตู้ลิ้นชัก และตู้ช่องโล่งให้ใช้เก็บอุปกรณ์ทำครัว สำหรับตู้ใต้อ่างล้างจานไว้ใช้เก็บของเล็กๆ น้อยๆได้แต่ใส่ของเต็มไม่ได้นะ เพราะต้องเว้นพื้นที่เผื่อซ่อมแซมอ่างล้างจานบ้าง ตัวบานพับเป็นแบบธรรมดา เวลาเปิดปิดก็ระวังกระแทกนิดนึงค่ะ มือจับตู้ถูกออกแบบให้มีการเซาะร่อง เพื่อให้เกิดช่องสำหรับสอดมือไปดึงบานตู้ให้เปิดปิดได้ เหมาะกับการใช้งานในพื้นที่จำกัด เพราะจะไม่มีมือจับตู้ยื่นออกมาให้เกะกะ มาดูส่วนบนของ Pantry ครัวกันบ้าง ให้ช่องเคาน์เตอร์มา 2 ช่อง ช่องหนึ่งเป็นซิงค์ล้างจาน อีกช่องเป็นพื้นที่โล่ง ถ้าชอบทำอาหารก็ติดเตาไฟฟ้าเพิ่มขึ้นมา แต่ก็อาจจะต้องติดเครื่องดูดควันเพิ่มขึ้นมาด้วย เพราะเป็นครัวเปิดค่ะ ส่วน Backsplash ด้านหลังทางโครงการติดมาให้เป็นกระเบื้อง ทำให้เวลาปรุงอาหารแล้วกระเด็นก็สามารถเช็ดทำความสะอาดได้ง่าย ถัดไปเป็นซิงค์ล้างจานตามมาตรฐานของโครงการ เราลองหยิบหม้อวางลงไปให้ดู ขนาดพอวางได้และลึกพอสมควรที่จะล้างแล้วน้ำไม่กระเด็นออกมาค่ะ ตู้ลอยสำหรับเก็บของด้านบนเป็นตู้บานเปิด 2 ตู้ ตู้หนึ่งแบ่งชั้นเป็นช่องเก็บของ ส่วนอีกตู้หนึ่งเป็นตำแหน่งติดตั้งแผงคุมไฟหลักของห้อง มีตู้ช่องโล่งให้ใส่ของและมีช่องสำหรับวางไมโครเวฟด้วย ส่วนมุมติดประตูอีกฝั่งหนึ่ง ทางโครงการจะไม่ได้ Built-in มาให้นะ แต่เราสามารถดูเป็นไอเดียในการตกแต่งได้ ถ้าจัดตามห้องตัวอย่างพื้นที่ตรงนี้ก็ไว้ใช้วางตู้เย็นและโต๊ะทานอาหาร ก็ดูลงตัวดีค่ะ ถัดมาเป็นพื้นที่นั่งเล่น มีระยะดูทีวีประมาณ 2 เมตร ขนาดทีวีที่เหมาะสมก็อยู่ที่ 46 นิ้ว ใครชอบพื้นที่ไว้เก็บของเยอะๆ ก็แนะนำให้ Built-in เต็มผนังแบบห้องตัวอย่างเลยนะคะ สังเกตชุดโซฟาที่โครงการจัดมาให้เป็นตัวอย่าง มีฟังก์ชันที่ตอบโจทย์คอนโดได้ดีคือ มีพื้นที่ให้วางแก้วน้ำได้ด้วย ทำให้ไม่ต้องใช้โต๊ะกลางเลย เราจึงสามารถเดินผ่านเข้าไประเบียงได้สะดวก ส่วนผนังด้านหลังโซฟาจะได้มาเป็นผนังฉาบเรียบทาสีขาวตามปกตินะ ไม่ได้เป็นกระจกเหมือนในห้องตัวอย่างค่ะ ติดกับกับห้องนั่งเล่นมีประตูกระจกบานเลื่อนแบบ 2 ตอน เพื่อเปิดออกไประเบียง ได้กระจกตัดแสงช่วยลดความร้อนที่เข้ามาในห้องได้ โครงการเก็บรายละเอียดของประตูได้ดีนะ โดยมีธรณีประตูกั้นระหว่างพื้นห้องและพื้นระเบียงเพื่อกันไม่ให้น้ำจากระเบียงไหลเข้าสู่พื้นที่พักอาศัยด้านใน วงกบประตูเป็นอลูมิเนียมสีธรรมชาติ ตัวล็อก 1 ตำแหน่งฝังกับบานประตูเลย ถ้าต้องการให้รู้สึกปลอดภัยมากขึ้นสามารถติดตัวล็อกแบบก้นหอยเพิ่มได้อีก 1 ตำแหน่ง ขอบประตูมีติดสักกะหลาดกันฝุ่น กันเสียงไว้ให้เรียบร้อยค่ะ พื้นที่ระเบียงมีขนาด 0.75 x 2.3 ม. ซึ่งเป็นพื้นที่ไว้สำหรับวางเครื่องซักผ้าและราวตากผ้านะคะ โครงการติดตั้งราวกันตกไว้เรียบร้อย วัสดุเป็นเหล็กทาสีค่ะ พื้นระเบียงปูด้วยกระเบื้องเซรามิค ขนาด 30 x 30 ซม. ซึ่งทำให้ทำความสะอาดง่าย มีความคงทนต่อสภาพแวดล้อม และผิวหน้ากระเบื้องจะป้องกันการลื่นได้ค่ะ ตำแหน่งของ Condensing Unit 2 ตัวจะแขวนอยู่ด้านบนและเป่าลมร้อนออกด้านนอก ทำให้สามารถใช้งานพื้นที่ระเบียง ได้เต็มที่ค่ะ กลับเข้ามาในห้องจะพามาชมห้องนอนกันต่อ ประตูห้องจะอยู่ระหว่างโซฟาและ Pantry ครัว เป็นประตูทางเข้าห้องนอน บานประตูเป็นบานไม้ HDF เช่นเดียวกับประตูหน้าห้อง ด้านในห้องนอนมีขนาดพอสำหรับวาง Furniture ต่างๆ ได้ครบถ้วน ได้แก่ เตียงขนาด 5 ฟุต, โต๊ะหัวเตียง 2 ฝั่ง และตู้เสื้อผ้า พอวางเตียงขนาด 5 ฟุตแล้ว ก็ยังเหลือพื้นที่ให้เดินขึ้นเตียงได้โดยรอบ แต่ไม่มีพื้นที่เหลือพอให้วางชั้นวางทีวีนะคะ ถ้าจะติดทีวีในห้องนี้ต้องติดแบบแขวน สำหรับหน้าต่างในห้องนอนมีขนาดใหญ่เกือบเต็มผนัง ทำให้ห้องนอนได้แสงธรรมชาติเข้ามาอย่างเพียงพอ เป็นบานผสมระหว่างบาน Fix และบานกระทุ้ง เพื่อเอาไว้เปิดระบายอากาศได้ค่ะ อีกฝั่งหนึ่งของเตียงนอนเป็นตำแหน่งสำหรับวางตู้เสื้อผ้า และติดกันเป็นทางเข้าห้องน้ำค่ะ ห้องน้ำของโครงการมีขนาดกะทัดรัด ภายในติดตั้งวัสดุอุปกรณ์มาให้ครบถ้วนตามแบบในห้องตัวอย่างเลย พื้นห้องน้ำมีธรณีประตูสูงขึ้นเล็กน้อย เพื่อกันน้ำจากภายในห้องน้ำไหลออกมายังห้องนอน ภายในห้องน้ำจะถูกแยกส่วนเปียกและส่วนแห้งชัดเจนด้วยฉากกั้นอาบน้ำ ผนังและพื้นโดยรอบเป็นกระเบื้องเซรามิคทั้งหมด เพื่อช่วยกันลื่นภายในห้องน้ำค่ะ อ่างล้างหน้าของ Charmer และก๊อกน้ำของ American Standard ด้านข้างอ่างจะมีพื้นที่ให้วางของได้พอสมควร โถสุขภัณฑ์เป็นโถแบบ 2 ชิ้นยี่ห้อ American Standard หรือเทียบเท่า เป็น Set มากับที่แขวนกระดาษชำระและสายฉีดชำระยี่ห้อเดียวกันค่ะ พื้นที่อาบน้ำมีฉากกั้นอาบน้ำติดตั้งให้เรียบร้อย เป็นฉากกั้นแบบ 3 ตอน ทำให้เปิดได้กว้าง ฉากกั้นอาบน้ำของโครงการมีการเก็บรายละเอียดมาดี ทำให้ใช้งานง่าย คือ ใช้วัสดุเป็นอลูมิเนียมสีธรรมชาติทำให้ไม่เป็นสนิม/ มีธรณีประตูยกขึ้นมาเพื่อกันไม่ให้น้ำไหลออกไปพื้นที่ส่วนอื่น/ ฉากกั้นอาบน้ำมีขอบยกขึ้นมาให้ใช้มือจับเปิดปิดได้สะดวก และมีขอบยางช่วยกันกระแทกติดไว้ให้เรียบร้อย ภายในติดตั้งอุปกรณ์อาบน้ำไว้เรียบร้อย พร้อมที่วางสบู่ หน้าตาของฝักบัวและก๊อกเปิดปิดของ American Standard เช่นกัน มีขนาดจับได้ถนัดมือดีค่ะ พื้นที่อาบน้ำมีขนาดประมาณ กว้าง 0.7 x 1 เมตร ดวงไฟให้เป็นดาวน์ไลท์ตามแบบในห้องตัวอย่างค่ะ ต่อไปมาดูห้อง 2 Bedroom กันบ้าง เป็นห้อง 2 Bedroom ที่ทำออกมาได้ลงตัวสำหรับ 2 ห้องนอนจริงๆ ต่างจากปกติของลุมพินีที่มักจะนำห้องแบบ 1 ห้องนอนมา Combine กัน ทำให้ห้องนี้มีขนาดออกมาไม่ใหญ่มากอยู่ที่ 36 ตร.ม. เวลาคิดราคา Package ห้องออกมาแล้วจึงไม่สูงมากเมื่อเทียบกับโครงการในละแวกเดียวกัน และมีฟังก์ชันครบ โดยแปลนจะคล้ายๆ กับห้องแรกแล้วเพิ่มห้องนอนกับพื้นที่ทานข้าวเข้ามาทางซ้าย ส่วนห้องน้ำมีห้องเดียวและต้องเข้าจากพื้นที่ส่วนกลาง ทำให้เวลามีแขกมาบ้านก็ไม่ต้องเดินผ่านห้องนอน สามารถเข้าจากห้องรับแขกได้เลย ส่วนครัวยังคงได้เป็นครัวเปิดนะ ก็เหมาะกับครอบครัวที่ไม่ได้ชอบทำอาหารหนักๆ มากนัก เน้นอาหารประเภทที่ไม่มีกลิ่นและควันแรงๆ มากกว่า จากประตูห้องมองเข้ามาด้านในจะเห็นบรรยากาศภายในห้องที่แบ่งเป็นห้องย่อยๆ ตรงกับประตูเลยก็จะเป็นห้องนอน 2 มีขนาดเล็กกว่า ห้องนอน 1 ที่อยู่ด้านในสุด พื้นที่ตรงกลางของห้องเป็น Living Area ที่รวมพื้นที่นั่งเล่นและ Pantry ครัว ไว้ในโซนเดียวกัน ส่วนห้องน้ำจะอยู่ด้านในสุดของห้องติดกับครัวค่ะ เข้ามาด้านในแล้วมองกลับมาที่ประตูห้อง จะเห็นบริเวณหน้าห้องทั้งหมด เป็นส่วนของ Pantry ครัว และ พื้นที่รับประทานอาหาร พื้นที่วางโต๊ะรับประทานอาหารจะได้พื้นที่เป็นสัดส่วนเลย ขนาดประมาณ 2×2 ม. ก็พอเหมาะสำหรับวางโต๊ะทานอาหารขนาด 4 ที่นั่ง ใครอยาก Built-in แบบในห้องตัวอย่างก็ทำให้มีพื้นที่เก็บของเพิ่มขึ้นได้ สำหรับชุดครัวมีหน้าตาและวัสดุอุปกรณ์เหมือนกับห้องแรกเลย และด้านข้างเป็นพื้นที่ที่เว้นไว้ให้สำหรับวางตู้เย็น ส่วนด้านซ้ายเป็นห้องน้ำ ห้องน้ำมีขนาดพอๆ กับห้องแรก ภายในแบ่งพื้นที่โซนเปียก โซนแห้งไว้เป็นสัดส่วน และมีวัสดุอุปกรณ์ให้ครบถ้วนเหมือนกัน ฉากกั้นอาบน้ำจะได้เป็นแบบ 3 ตอนเหมือนกัน ภายในติดตั้งฝักบัวอาบน้ำ ที่วางสบู่ และเดินระบบสำหรับติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่นไว้ให้แล้วเรียบร้อย พื้นที่อาบน้ำขนาด 0.7 x 1 ม. ก็พอให้ใช้งาน และหมุนตัวได้พอสมควร ต่อไปมาดูรายละเอียดฝั่งห้องนั่งเล่นนะคะ ตำแหน่งของพื้นที่นั่งเล่นอยู่ติดกับประตูกระจกที่ใช้เปิดออกไประเบียงภายนอก ทำให้บริเวณนี้ดูโปร่งโล่ง เหมาะกับคนที่ชอบให้พื้นที่นั่งเล่นได้แสงธรรมชาติเข้ามาเยอะๆ ห้องตัวอย่างจัดวางชุดโซฟาไว้มีขนาด 2 ที่นั่ง มีระยะดูทีวีประมาณ 2.2 เมตร ทำให้ขนาดทีวีที่เหมาะสมอยู่ที่ 50 นิ้ว โครงการ Built-in ชั้นวางทีวีมาตามในห้องตัวอย่าง พอทำแบบนี้แล้ว ก็ยังเหลือพื้นที่ให้เดินไประเบียงด้านในได้สะดวก หรือถ้าใครอยากตั้งโต๊ะกลาง ก็แนะนำเป็นโต๊ะตัวเล็กๆ ดีกว่าค่ะ ประตูกระจกบานเลื่อนเพื่อเปิดออกไประเบียงตะอยู่ด้านในของพื้นที่นั่งเล่น ทำให้เราสามารถนั่งชมวิวไป ดูทีวีไปได้ด้วยนะ ขอบธรณีประตูจะถูกยกระดับขึ้นให้สูงขึ้นมาเพื่อป้องกันน้ำจากระเบียงไหลเข้ามาในห้อง เวลาเดินผ่านก็ระวังสะดุดนิดนึง พื้นที่ระเบียงจัดมาแบบเดียวกับห้องแรกเลย คือมีพื้นที่พอให้ใช้วางเครื่องซักผ้า และราวตากผ้า พื้นที่ระเบียงมีขนาด 1.8 x 0.7 ม. และปูด้วยกระเบื้องเซรามิคเช่นเดียวกับห้องแบบแรก สำหรับห้องนอน 1 มีขนาดเล็กกว่าห้องนอนในห้องแบบแรกนิดหน่อยแต่ก็มีฟังก์ชันครบเหมือนกัน ภายในห้องนอกจากจะมีพื้นที่วางเตียงและตู้เสื้อผ้า ตามแบบในห้องตัวอย่าง หน้าต่างเป็นบาน Fix ผสมบานกระทุ้ง ทำให้สามารถเปิดระบายอากาศได้ และตัวช่องแสงมีขนาดใหญ่พอสมควร ทำให้แสงธรรมชาติเข้ามายังห้องนอนได้เพียงพอ ส่วนปลายเตียงเหลือพื้นที่นิดเดียวพอให้เดินผ่านเข้า-ออกได้ แต่จะไม่มีพื้นที่เหลือให้วางชั้นวางทีวี ถ้าจะติดทีวีในห้องนี้ต้องติดแบบแขวนผนังนะคะ อีกฝั่งหนึ่งของห้องเป็นตำแหน่งสำหรับวางตู้เสื้อผ้า หรือใครจะ Built-in แบบห้องตัวอย่างก็ทำให้ได้ใช้ประโยชน์ได้เต็มพื้นที่ผนังดีนะ แต่เราไม่สามารถทำตู้เสื้อผ้าได้เต็มความกว้างของผนัง เพราะต้องเว้นระยะไว้ให้เปิดประตูด้วยนะ ด้านข้างเตียงเหลือพื้นที่ประมาณ 40 ซม. ให้สำหรับยืนเลือกเสื้อผ้า จึงควรเลือกใช้ตู้เสื้อผ้าแบบบานเลื่อนเพื่อประหยัดพื้นที่ ห้องตัวอย่างมีไอเดียที่ดีในการตกแต่งพื้นที่หน้าประตูให้ใช้งานได้ โดยติดชั้นวางของเพิ่มขึ้นมาบริเวณหน้ากระจก เราก็สามารถใช้วางอุปกรณ์แต่งหน้าได้นิดหน่อย ก็พอใช้แทนโต๊ะเครื่องแป้งได้อยู่นะคะ ภายในห้องนอนเล็กมีขนาดเหมาะสำหรับเด็กวัยรุ่นที่ยังมีของใช้ต่างๆ ไม่มากนัก พอวางเตียงเดี่ยวไว้ชิดหน้าต่าง ก็ทำให้มีพื้นที่เหลือพอสำหรับวางตู้เสื้อผ้าและโต๊ะเครื่องแป้ง ส่วนช่องแสงในห้องจะมีขนาดใหญ่เป็นบาน fix ผสมบานกระทุ้ง เช่นเดียวกับห้องนอน 1 พื้นที่ภายในห้องพอสำหรับวางเตียงเดี่ยวได้พอดี ถ้าใครอยากติดทีวีในห้องนอน ก็ติดแบบแขวนผนังได้นะคะ อีกฝั่งหนึ่งของห้องตัวอย่าง จะ Built-in ตู้เสื้อผ้าและวางโต๊ะเครื่องแป้งมาให้ดูเป็นตัวอย่าง ก็แนะนำให้เลือกตู้เสื้อผ้าแบบบานเลื่อนเพื่อช่วยประหยัดพื้นที่ พอวางเฟอร์นิเจอร์ครบตามห้องตัวอย่างแล้ว ก็จะเหลือพื้นที่ด้านข้างเตียงกว้างประมาณ 50 ซม. เป็นระยะที่ยังใช้งานได้ลงตัวค่ะ ปลั๊กและสวิตซ์ไฟฟ้าที่ได้ มีหน้าตาแบบนี้ตามมาตรฐานของโครงการค่ะ **รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะคะ ราคาและเงื่อนไขการขาย @ 20 November 2019
**ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ค่ะ เจาะลึกรวบยอด Lumpini Place รัชดา-สาธุ เป็นโครงการของลุมพินีที่สลัดภาพลักษณ์เดิมๆ จากอาคารสีเขียว/น้ำตาล/ขาว มาเป็นอาคารสีแดง/ทอง ในคอนเซปต์ Modern Chinese เพื่อให้เข้ากับผู้อยู่อาศัยในละแวกนี้ ที่เป็นย่านชุมชนคนจีนเก่าแก่ แต่เราจะข้ามเรื่องของความสวยงามไปนะ เพราะขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละบุคคลค่ะ สำหรับโครงการนี้มีจุดเด่นตรงทำเลที่ใกล้ทางขึ้นลงทางด่วนกว่าเพื่อน และเหมาะกับคนที่อยากอยู่ใกล้ห้าง ชอบไปจับจ่ายใช้สอยเซ็นทรัลพระราม 3 ก็เดินทางจากโครงการสะดวกในระยะ 750 ม. เท่านั้น แต่ข้อดีทั้งหมดของทำเลนั้นแลกมากับราคา/ตร.ม. ของโครงการที่สูงกว่าเพื่อนเช่นกัน แต่โครงการก็แก้เรื่องราคามาได้ดี โดยจัดแบ่งห้องออกมาให้มีขนาดที่หลากหลาย มีให้เลือกตั้งแต่ Studio 23.5 ตร.ม. ไปจนถึง 3-Bedroom 65.5 ตร.ม. ซึ่งห้อง 70% ของโครงการเป็นแบบ 1 Bedroom 28 ตร.ม. ไม่ใหญ่มากแต่ก็เป็นขนาดที่จัดฟังก์ชันได้ลงตัว ทำให้ราคาต่อ Package โดยรวมยังถือว่าหยิบจับง่าย ทำเล : สำหรับทำเลของ Lumpini Place รัชดา-สาธุ นั้น ตั้งอยู่บนถนนสาธุประดิษฐ์ ซึ่งเป็นย่านชุมชนคนจีนเก่าแก่ เรื่องความอุดมสมบูรณ์นั้นจึงไม่ต้องพูดถึง เพราะมีร้านรวง ตลาดให้เลือกซื้ออาหารอร่อยๆค่อนข้างเยอะและหลากหลายทีเดียว และบนถนนใกล้ๆ อย่างถนรัชดาภิเษกและถนนจันทน์ ก็มีแหล่งช็อปปิ้งทั้งห้างสรรพสินค้าหรือคอมมูนิตี้มอลล์ให้ไปจับจ่ายใช้สอย ก็มีตั้งแต่ เซ็นทรัลพระราม 3, The Up พระราม 3 บนถนนรัชดาภิเษก Vanilla Monn บนถนนจันทน์ เป็นต้น ซึ่งจาก Lumpini Place รัชดา-สาธุ นั้นก็อยู่ใกล้เซ็นทรัลพระราม 3 ประมาณ 750 ม. เราสามารถเดินทางจากโครงการไปเซ็นทรัลได้แบบไม่ต้องกลับรถเลยนะ แถมขากลับยังสามารถใช้ซอยสาธุประดิษฐ์ 19 เพื่อกลับมาโครงการโดยที่ไม่ต้องไปกลับรถอีกด้วย การเดินทางโดยใช้รถ : จุดเด่นของการเดินทางด้วยรถยนต์ในทำเลตรงนี้คือ ทางด่วน ที่มีให้เลือกใช้ไปได้หลายทาง และมีทางขึ้นลงอยู่ไม่ไกลจากโครงการเลย จึงสะดวกสำหรับผู้ที่ต้องใช้ทางด่วนเป็นประจำ ทั้งนี้ทั้งนั้นเนื่องจากที่ตั้งโครงการไม่ได้อยู่ในรัศมีของรถไฟฟ้า ทำให้การเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวสะดวกกว่าการเดินทางโดยไม่ใช่รถ ซึ่งโครงการให้ที่จอดรถมา 40 % ของทั้งโครงการ ก็ถือว่าให้มาน้อยไปเมื่อเทียบกับทำเลที่ต้องเน้นการใช้รถยนต์ส่วนตัวเป็นหลัก และลูกบ้านที่จะจอดรถยนต์ในโครงการต้องเสียเพิ่มเดือนละ 500 บาท ส่วนมอเตอร์ไซค์เพิ่มเดือนละ 150 บาทนะคะ การเดินทางโดยไม่ใช้รถ : สำหรับการเดินทางโดยพึ่งพารถสาธารณะ ที่เห็นวิ่งผ่านไปมาอยู่ตลอดก็คงจะเป็นสองแถวสีแดง หรือไม่ก็พี่วินและรถเมลสาย 35 ค่ะ ส่วนการเดินทางด้วย BRT จะวิ่งบนถนนนราธิวาสราชนครินทร์โดยสถานีใกล้โครงการที่สุดคือถนนจันทน์ ราคาตลอดสายลดลงมาเหลือ 5 บาท ไปถึงรถไฟฟ้า BTS ช่องนนทรีได้เลยค่ะ วัสดุ : วัสดุอุปกรณ์ที่ให้มา จัดมาเป็นแบบ Fully-Fitted ซึ่งถือว่าปกติของคอนโดในย่านนี้ แต่ก็มีบางอย่างที่ให้มาน้อยไปหน่อย เช่น เตาไฟฟ้า + Hood ที่ไม่ให้มาด้วย ถ้าเทียบกับราคาเฉลี่ยของโครงการที่ 125,000 บาท/ตร.ม. ก็คิดว่ายังไม่สมเหตุสมผลนะ ส่วนตัววัสดุอื่นๆ อย่างพื้น ผนัง วัสดุในห้องน้ำก็เป็นแบบมาตรฐาน พื้นลามิเนต ผนังฉาบเรียบทาสีขาว ห้องน้ำปูพื้นด้วยกระเบื้องเซรามิค สุขภัณฑ์ต่างๆ ได้ของ American Standard การออกแบบ : ทำออกมาได้ดูดี เริ่มตั้งแต่ชั้นล่างโครงการจะจัดสวนไว้ด้านหน้า แล้วดันตัวอาคารเข้ามาไว้ด้านใน ทำให้เกิดความเป็นส่วนตัวในการพักอาศัย และการจัดวางลิฟต์ไว้ช่วงกลางๆ ของอาคารทำให้ ห้องพักอาศัยทั้งหมดมีระยะไม่ไกลจากลิฟต์นัก ก็ถือว่าสะดวกดี สำหรับพื้นที่ส่วนกลางออกแบบมาได้น่าใช้งานอยู่ที่ชั้น 7 และชั้น 35 เป็นหลัก ทำให้ลูกบ้านมีพื้นที่ให้ออกมาเปลี่ยนบรรยากาศได้หลากหลาย แบบห้องพักดูลงตัว จัดฟังก์ชันได้ครบและใช้งานได้จริงทั้งหมด ติดนิดเดียวที่อัตราส่วนของลิฟต์อยู่ในเกณฑ์ที่ค่อนข้างหนาแน่นอยู่ที่ 181 : 1 และจำนวนยูนิตต่อชั้นสูงสุดที่ 22 ยูนิต อาจดูเยอะไปหน่อยสำหรับคนที่ชอบความเป็นส่วนตัว สาธารณูปโภค : สาธารณูปโภคถือว่าเป็นข้อดีของโครงการนี้เพราะจัดมาในขนาดที่ใหญ่ในทุกส่วนตั้งแต่ สวนหย่อมขนาดใหญ่หน้าโครงการ Facility แบบเต็ม Floor ที่ชั้น 7 เป็นบรรยากาศแบบ Out Door สระว่ายน้ำยาวถึง 27 เมตร เรียกว่าเอาไว้ออกกำลังกายได้สบายๆเลย มีห้อง Fitness, ห้องนั่งเล่น, ห้องคุณหนู, Co-Dining Zone ซึ่งคอนโดในทำเลนี้ส่วนใหญ่ก็จะวางสระว่ายน้ำไว้ประมาณชั้น 6-7 นี่แหละ แล้วค่อยดัน Sky Lounge ขึ้นไปไว้ที่ชั้นบนสุด เพื่อให้ขึ้นมาใช้ชมวิวได้ แต่สำหรับความปลอดภัยที่นี่จะไม่ได้เป็นลิฟต์ล็อคชั้นแหละ การให้คะแนน ให้แบบ Weight Average โดยมุ่งหาความคุ้มค่า เทียบกับราคาที่จ่ายไป โดยมีส่วนที่พิจารณาดังนี้ ทำเล 35%, การเดินทางโดยใช้รถ 15%, การเดินทางโดยไม่ใช้รถ 15%, วัสดุ 15%, การออกแบบ 10% และสาธารณูปโภค 10% เทียบกับช่วงราคาเฉลี่ยแบบทั้งโครงการ AVG 125,000 บาท/ตร.ม., 20 November 2019
Lumpini Place รัชดา-สาธุ เหมาะสำหรับคนที่ใช้ชีวิตอยู่แถวสาธุประดิษฐ์-พระราม 3 มีรถ ใช้ทางด่วนเข้าออกเมืองบ่อย แต่ก็มีรถสาธารณะเป็นทางเลือก ส่วนเวลาจับจ่ายใช้สอยชอบไปเซ็นทรัลพระราม 3 มีงบประมาณอยู่ที่ 3-8 ล้านบาท และมีงบเผื่อสำหรับการแต่งห้องเอง มีกำลังผ่อนประมาณ 21,000 – 56,000บาท/เดือน |