2024 ทำไม โวลทาเรน ถ งแพง กว า ไดโคลฟ แนค

ทำไมคนอเมริกันไม่ควรแตกตื่นเรื่องเกาหลีเหนือ

เผยแพร่: 3 พ.ค. 2560 23:35 โดย: แบรดลีย์ เค. มาร์ติน

(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)

Panicked about Pyongyang? Calm down, people By Bradley K. Martin 01/05/2017

ชาวอเมริกันไม่ควรแตกตื่นจนเกินเหตุ เพราะมันอาจส่งผลกลายเป็นการกดดันให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ต้อง “ทำบางสิ่งบางอย่าง” ซึ่งนำไปสู่ความวิบัติหายนะ ทั้งๆ ที่ความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลีเป็นสิ่งซึ่งเกิดขึ้นเป็นประจำอยู่แล้วในช่วงเวลาประมาณนี้ของแต่ละปี เมื่อสหรัฐฯกับเกาหลีใต้จัดการซ้อมรบใหญ่ และเกาหลีเหนือก็รู้สึกว่าต้องออกฤทธิ์ออกเดชให้น่าหวาดเสียว

เวลาส่วนใหญ่ในระหว่างช่วง 40 ปีแห่งการเป็นนักเฝ้าจับตามองเกาหลีเหนือของผม ผมจะหลีกเลี่ยงไม่ดูโทรทัศน์

วิธีง่ายๆ เช่นนี้เองได้ช่วยให้ผมรอดตัวจากการจมถลำเข้าไปอยู่ในความแตกตื่นตูมตามประจำปีที่สามารถคาดหมายล่วงหน้าได้อย่างไม่ยากไม่เย็นอยู่แล้วว่าจะต้องปะทุขึ้นมา เมื่อการซ้อมรบร่วมของสหรัฐฯและเกาหลีใต้กระตุ้นเกาหลีเหนือให้ต้องหาเรื่องตั้งท่าข่มขู่คุกคามอย่างน่ากลัวน่าหวาดเสียว

สำหรับความแตกตื่นในปีนี้ ถือว่าอยู่ในระดับเลวร้ายที่สุดเท่าที่เคยมีมา

ตัวผมอยู่ที่ญี่ปุ่นในขณะนี้ และผมได้ทราบจากภรรยาของผมซึ่งอยู่ที่ฮาวายว่า คนสวนของเราหวาดกลัวว่าเกาหลีเหนือกำลังจะโจมตีทิ้งระเบิดใส่ทั้ง 2 สถานที่ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคนสวนผู้นี้ติดตามดูทีวี –เป็นการฆ่าเวลาซึ่งผมได้รับการบอกกล่าวว่าสำหรับในช่วงเวลานี้ของปีแล้ว มันก็อยู่ในทำนองเดียวกับการชมหนังตื่นเต้นสยองขวัญกันทุกๆ วันนั่นแหละ

ปัญหาอยู่ที่ว่านี่เป็นปี 2017 และความแตกตื่นที่ชาวอเมริกันธรรมดาทั่วไปรู้สึกกันนั้น จู่ๆ ก็ดูมีอันตรายเพิ่มมากขึ้นยิ่งกว่าเพียงแค่เรื่องของพลังทางภูมิรัฐศาสตร์ต่างๆ ที่อยู่เบื้องลึกลงไป

นี่ก็เป็นเพราะเรามีประธานาธิบดีที่ใจร้อนหุนหันอยู่ในทำเนียบขาวซึ่งมีชีวิตอยู่ด้วยการเฝ้าดูเรตติ้งความนิยมของท่านผู้ชม หากเขาถูกกดดันหนักๆ สักระดับหนึ่งให้ “ทำอะไรบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับเกาหลีเหนือ” แล้ว เขาก็อาจจะยอมจำนนต่อแรงกดดันดังกล่าว และกระทำสิ่งที่ส่งผลเป็นความวิบัติหายนะขึ้นมา

ขอให้เราพิจารณาเหตุผลต่างๆ ที่จะโต้แย้งว่าเราไม่ควรแตกตื่นจนเกินเหตุเกี่ยวกับเรื่องนี้กันไปทีละข้อนะครับ

ประการแรก เกาหลีเหนือเวลานี้ยังไม่ได้มีวิธีหรือเครื่องมืออุปกรณ์ที่จะใช้มาโจมตีสหรัฐฯเลย

ครับ พวกผู้เผด็จการเกาหลีเหนือได้พยายามผลักดันเดินหน้าการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์มาเป็นเวลา 65 ปีแล้วนับตั้งแต่เกิดสงครามเกาหลีขึ้นมา ทว่าก็อย่างที่การทดสอบครั้งต่างๆ ของพวกเขายังคงแสดงให้เห็นอยู่อย่างต่อเนื่องนั่นแหละ พวกเขายังไม่ได้มีขีปนาวุธพิสัยไกลติดหัวรบนิวเคลียร์พรักพร้อมสำหรับใช้ยิงในช่วงเวลาไพรม์ไทม์หรอก

ประการที่สอง ภารกิจเบื้องแรกที่สุดสำหรับอาวุธต่างๆ ซึ่งพวกเขากำลังสร้างกันขึ้นมาเหล่านี้ ก็ไม่ใช่การโจมตีใส่สหรัฐอเมริกาเลย

รวมทั้งไม่ใช่การโจมตีใส่ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศเจ้าบ้านรองรับกองทหารสหรัฐฯที่จะทำหน้าที่เป็นผู้ตอบโต้หน่วยแรกสุด ถึงแม้ว่าเมื่อสัปดาห์ที่แล้วพวกเจ้าหน้าที่รับผิดชอบของรถไฟใต้ดินกรุงโตเกียวได้เริ่มต้นใช้มาตรการระวังไว้ก่อน ด้วยการหยุดวิ่งในขณะที่เกาหลีเหนือทดสอบขีปนาวุธครั้งหนึ่ง

การสร้างอาวุธเหล่านี้ของเกาหลีเหนือ ส่วนใหญ่แล้วก็ด้วยความมุ่งหวังให้เป็นมาตรการป้องปราม เพื่อไม่ให้ราชวงศ์คิมถูกเขี่ยตกลงจากอำนาจด้วยกำลัง ก่อนที่พวกเขาจะสามารถบรรลุเป้าหมายสูงสุดของพวกเขา อันได้แก่ การพิชิตศัตรูหลักของพวกเขา ซึ่งได้แก่เกาหลีใต้ แล้วเข้าปกครองตลอดทั่วทั้งคาบสมุทรเกาหลี

พวกเขาเชื่อว่าพวกเขาสามารถเอาชนะฝ่ายเกาหลีใต้ได้ –บางทีกระทั่งโดยไม่ต้องใช้พวกอาวุธนิวเคลียร์ของพวกเขาด้วยซ้ำ— ถ้าหากพวกเขาสามารถที่จะเคลื่อนไหวดำเนินการต่างๆ โดยที่สหรัฐฯไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการสู้รบด้วย ดังนั้นเอง ข้อเรียกร้องที่เกาหลีเหนือยืนกรานมาโดยตลอดในระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมาที่ผ่านมา ก็คือ การทำสนธิสัญญาสันติภาพ และจากนั้นก็ถอนกองทหารสหรัฐฯออกไปจากเกาหลีใต้

มีสภาวะแวดล้อมอย่างไรหรือไม่ที่ทำให้เกาหลีเหนืออาจจะโจมตีสหรัฐฯและญี่ปุ่น เช่นเดียวกับเกาหลีใต้ด้วย? มีครับ ในกรณีที่ระบอบปกครองคิมอยู่ในสภาพจนตรอก กำลังจะถูกเขี่ยทิ้งไป หลักการของคณะผู้นำเกาหลีเหนือนั้นเรียกร้องให้ “ทำลายโลกแหลกลาญไปเลย”

การจุดชนวนให้เกาหลีเหนือทำการตอบโต้ทั้งด้านนิวเคลียร์-อาวุธเคมี-อาวุธชีวภาพชนิดกระเสือกกระสนทุ่มกันสุดตัว ด้วยการที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯออกคำสั่งให้เปิดการโจมตีแบบมุ่งป้องกันไว้ก่อนต่อเปียงยาง คือหนึ่งในหนทางที่ทรัมป์อาจแสดงปฏิกิริยาอย่างเกินเหตุ ถ้าหากถูกมติมหาชนกดดันหนักให้ต้อง “ทำบางสิ่งบางอย่าง” ขึ้นมา

อีกหนทางหนึ่งที่เขาอาจแสดงปฏิกิริยาจนเกินเหตุ น่าจะเป็นการเดินตามสัญชาตญาณ “อเมริกามาเป็นอันดับแรก” (America First) ของเขา

นี่จะเป็นตัวคอยป้อนความระแวงข้องใจของเขาที่ว่า เกาหลีใต้ไม่ได้กำลังให้น้ำหนักสนับสนุนอย่างเต็มที่ต่อความเป็นพันธมิตรระหว่างวอชิงตันกับโซล แล้วเลยตัดสินใจว่าสหรัฐฯควรล้างมือถอนตัวออกจากปัญหาเกาหลีไปเสียดีกว่า หันไปลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพกับโสมแดง และถอนทหารอเมริกันออกไปจากเกาหลีใต้

พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ เขาอาจจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางซึ่งทำให้เกาหลีเหนือได้รับสิ่งที่พวกเขาเสาะแสวงหามาโดยตลอด โดยที่จะเป็นผลเสียหายยับเยินใหญ่หลวงต่อเกาหลีใต้และต่อความเป็นพันธมิตรที่อเมริกามีอยู่ในประเทศอื่นๆ ในตลอดทั่วโลกด้วย

ด้วยเหตุนี้แหละ พี่น้องเพื่อนมิตรชาวอเมริกันของผมทั้งหลาย ได้โปรดพยายามหลีกเลี่ยงอย่าเกิดความแตกตื่นต่อสถานการณ์ท้าตีท้าต่อยทำท่าจะเกิดวิกฤตการณ์ใหญ่ขึ้นมาในคาบสมุทรเกาหลีในระหว่างช่วงเวลานี้ของปีเลย และโดยเฉพาะในฤดูกาลเช่นนี้ของอีก 3 ปีต่อไปข้างหน้าจนกว่าจะถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯครั้งต่อไปในปี 2020

ก็อย่างที่ประธานาธิบดีอเมริกันอีกคนหนึ่ง ซึ่งช่วงระยะเวลา 100 วันแรกแห่งการดำรงตำแหน่งของเขา มีความสำเร็จให้เห็นมากมายกว้างไกลกว่าของทรัมป์นักหนา ได้พูดเอาไว้ว่า “สิ่งเดียวเท่านั้นที่เราจะต้องรู้สึกหวาดกลัว ก็คือตัวความหวาดกลัวนั่นเอง”

(ข้อเขียนซึ่งบุคคลภายนอกเป็นผู้ส่งเรื่องมาให้ ทางเอเชียไทมส์ไม่ขอรับผิดชอบทั้งต่อความคิดเห็น, ข้อเท็จจริง, หรือเนื้อหาด้านสื่อใดๆ ที่นำเสนอ)

แบรดลีย์ เค. มาร์ติน เน้นความสนใจที่เอเชียและแปซิฟิกในฐานะที่เป็นนักหนังสือพิมพ์นับตั้งแต่ปี 1977 เป็นต้นมา และได้เคยทำงานเป็นหัวหน้าสำนักงานในต่างประเทศให้แก่ บัลติมอร์ซัน, วอลล์สตรีทเจอร์นัล, นิวสวีก, และเอเชียไทมส์ โดยเฉพาะที่บลูมเบิร์กนิวส์ เขาเคยเป็นหัวหน้าทีมนักเฝ้าจับตามองเกาหลีเหนือ เขาเป็นผู้เขียนหนังสือเรื่อง Under the Loving Care of the Fatherly Leader: North Korea and the Kim Dynasty และกำลังเขียนหนังสืออีก 2 เล่ม ในขณะเดียวกับที่เฝ้าสังเกตการณ์และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่างๆ โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือและสหรัฐฯ

ไดโคลฟีแนค ห้ามกินกับอะไร

เพื่อความปลอดภัยในการใช้ยา Diclofenac ผู้ใช้ยาควรระมัดระวังและปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้ ผู้ที่มีประวัติแพ้ยา Diclofenac ห้ามใช้ยานี้ หรือหากแพ้ยาแก้ปวดในกลุ่มเอ็นเสดอื่น ๆ เช่น ยาแอสไพริน (Aspirin) ยาไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) ยาคีโตโปรเฟน (Ketoprofen) และยาเซเลโคซิบ (Celecoxib) ไม่ควรใช้ยานี้

ไดโคลฟีแนค อันตรายไหม

เนื่องจากมีการศึกษาพบว่าผู้ใช้ยา diclofenac มีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดที่เพิ่มขึ้น ที่สำคัญสามารถเกิดได้แม้ในขนาดที่ใช้ในการรักษา คือ 100 – 150 mg ต่อวัน ก็สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้แล้ว ในขณะที่ NSAIDs ตัวอื่น เช่น ibuprofen, naproxen นั้น เมื่อใช้ยาในขนาดรักษาทั่วไป พบว่ายัง ...

Diclofenac กินแล้วง่วงไหม

ไม่ควรรับประทานเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขณะที่รับประทานยานี้ เนื่องจากจะทำให้ผลข้างเคียงของอาการง่วงซึมและเวียนศีรษะรุนแรงมากขึ้น อีกทั้งยานี้ยังทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว ดังนั้นจึงอาจทำให้เกิดอาการอ่อนแรงและสูญเสียการทรงตัวได้ โดยเฉพาะหากมีอาการกล้ามเนื้อแข็งเกร็งควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับผลของยานี้ที่อาจส่งผลต่อการทรงตัวของคุณ

Diclofenac Sodium กินยังไง

รับประทานยานี้พร้อมอาหารหรือหลังอาหารทันทีและดื่มน้า ตาม การใช้ยาควรเป็นระยะเวลาสั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้และ ขนาดยาต่อวันต่าที่สุดที่ให้ผลในการรักษา ระหว่างใช้ยานี้ควรปฏิบัติอย่างไร หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์