พอดีเรามีนัดสัมภาษณ์ที่ทำงานใหม่เร็วๆนี้ งานตำแหน่งเดิมแหละ เราอยากลาออกจากที่ทำงานปัจจุบันเพราะเบื่อหัวหน้า+ไม่ชอบปัญหาต่างๆนาๆที่ไม่ได้รับการแก้ไข ทำให้เราทำงานไม่มีความสุข ไม่มีความอยากมาทำวานในแต่ละวันเลย มาทีไรเครียดทุกวัน พนักงานเข้าๆออกๆคือเยอะมาก ด้วยความที่ปัญหามันเยอะในทุกๆฝ่าย เราเห็นแต่บะคนทำสองสามเดือนออก เรายอมกัดฟันทำถึงปีนึง เพราะกบัวเอชอาเซ้าซี้เรื่องอายุงาน Show
ถ้าเอชอาที่ใหม่ถามว่า “ทำไมถึงลาออกจากที่ทำงานเก่า?” ควรตอบคำถามนี้ยังไงดี เรามีอายุงานที่ทำงานปัจจุบันแค่ 1 ปีเอง เราเห็นมีแต่คนบอกอย่าเผาที่เก่า อย่าพูดถึงที่เก่าในแง่ลบ เห้อออ ท้อใจจัง ไม่รู้จะหาคำพูดอะไรให้ดูดีตอนไปสัมภาษณ์เลย ผลสำรวจในปีที่ ค.ศ. 2022 โดย Monster ระบุว่าพนักงานบริษัทถึง 96% กำลังมองหางานใหม่ โดยมีสาเหตุมาจากความไม่พอใจในสวัสดิการและค่าตอบแทน สืบเนื่องมาจากสภาพเศรษฐกิจที่ตกต่ำลงทั่วโลก
เคยตั้งคำถามไหมว่าทำไมพนักงานในปัจจุบันถึงลาออกอยู่เรื่อย ๆ และมีวิธีใดบ้างที่จะรักษาพนักงานเหล่านั้นเอาไว้ ที่สำคัญควรทำอย่างไรหากพนักงานที่กำลังหางานใหม่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม เช่น แอบมาสัมภาษณ์ในเวลาทำงาน หรือเกิดแรงกระเพื่อมให้พนักงานคนอื่นอยากลาออกตาม บทความนี้จะพาทุกคนไปหาคำตอบว่าเคล็ดลับของการลาออกที่ดีคืออะไร, สิ่งที่แผนกทรัพยากรบุคคลทำได้มีอะไรบ้าง และเราจะเปลี่ยนองค์กรไม่ให้พนักงานอยากลาออกได้อย่างไร หากคุณกำลังเจอปัญหานี้อยู่ มาหาทุกเรื่องที่คุณต้องรู้ได้ที่นี่เลย ! Contents สถิติเผยพนักงานบริษัทในปัจจุบันส่วนใหญ่กำลังมองหางานใหม่เราเชื่อว่าพนักงานส่วนใหญ่แม้จะได้เจอสังคมทำงานที่ดีแล้ว แต่ทุกคนก็ยังพยายามมองหาความท้าทายและโอกาสใหม่ ๆ อยู่เสมอ จึงไม่แปลกที่การเปลี่ยนงานจะเป็นเรื่องสามัญธรรมดาเมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต อย่างผลสำรวจจาก Monster เมื่อเดือนธันวาคมปี ค.ศ.2022 ที่ผ่านมาก็เพิ่งบอกว่ามีพนักงานถึง 96% ที่กำลังมองหางานใหม่แม้จะมีงานประจำอยู่แล้วก็ตาม เหตุผลในการหางานใหม่ประกอบด้วย
การเปลี่ยนงานในช่วงหลังโควิด-19 พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ โดยเฉพาะในปี ค.ศ.2021 ที่มีอัตราการลาออกสูงถึง 48 ล้านคน และผลสำรวจเดียวกันยังเผยว่าการเปลี่ยนงานได้กลายเป็นเทรนด์ “เป้าหมายประจำปีใหม่” แบบเดียวกับการตั้งความหวังว่า “ฉันจะต้องผอมให้ได้” หรือ “ฉันจะต้องไปเที่ยวที่นั่นให้ได้” ดังนั้นหากองค์กรไม่รู้จักปรับตัวและทำให้พนักงานรู้สึกว่าการอยู่กับองค์กรจะช่วยให้กลายเป็นคนที่ดีขึ้นได้ ก็มีโอกาสสูงมากที่เขาจะหันไปหาทางเลือกอื่นมากกว่า นี่คือโจทย์ที่ HR ต้องแก้โดยเร็ว พนักงานควรทำอย่างไรหากต้องการหางานใหม่ขณะที่มีงานประจำอยู่แล้วแอนดี้ ทีช (Andy Teach) ผู้เขียนหนังสือเรื่อง From Graduation to Corporation: The Practical Guide to Climbing the Corporate Ladder One Rung at a Time กล่าวว่าเป็นเรื่องปกติที่เราจะดูน่าดึงดูดเป็นพิเศษขณะที่มีงานประจำ เพราะเราจะได้ติดต่อสื่อสารกับคนที่อยู่ในสายงานเดียวกัน และเราจะยิ่งโดดเด่นมากขึ้นหากสามารถสร้างผลงานที่มีประสิทธิภาพหรือเป็นกระแสในวงกว้างได้ ต่างจากการหางานใหม่ขณะที่ตกงาน ซึ่งอาจทำให้บางส่วนตั้งคำถามว่าหากเรามีฝีมือจริง ทำไมถึงยังไม่มีงานประจำ อย่างไรก็ตาม แม้การหางานใหม่ขณะที่มีงานประจำจะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ก็เป็นเรื่องที่ยังคงละเอียดอ่อนและจำเป็นต้องถูกบริหารจัดการให้ดี สิ่งที่เราควรทำขณะหางานใหม่ดังนี้
สัมภาษณ์งานใหม่อย่างไรหากปลีกตัวจากงานปัจจุบันไม่ได้ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจว่าการสัมภาษณ์งานไม่สามารถการันตีได้เลยว่าเราจะได้งาน เราจึงไม่ควรเทงานปัจจุบัน จนพาตัวเองไปอยู่ในจุดที่เสี่ยงต่อการถูกไล่ออก เพราะท้ายสุดแล้ว จะกลายเป็นเราคนเดียวที่ต้องดิ้นรนหางานทำในยุคที่งานดี ๆ หายากกว่าที่เคย ดังนั้นหากคุณมีแพลนต้องสัมภาษณ์งานกับที่ใหม่ แต่กลับใช้วันลาหมดไปแล้ว เราควรทำอย่างไรเพื่อให้เกียรติทุกฝ่ายที่สุด ? สิ่งสำคัญอย่างแรกคือเราไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด เพราะมีเหตุผลมากมายที่เราสามารถเปลี่ยนงานได้เพื่อสิ่งที่ดีกว่า แต่หากกังวลมากจริง ๆ เรามีวิธีให้คุณสามารถทำตาม โดยไม่ต้องให้ใครมารู้สึกไม่ดีกับการหายไปของเรา แจ้งกับผู้สัมภาษณ์งานโดยตรงเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับตำแหน่งงานบางประเภทที่ต้องทำงานหนักจนไม่สามารถปลีกเวลามาสัมภาษณ์อย่างสะดวกสบายได้ สิ่งที่เราต้องทำก็คือการบอกกับผู้สัมภาษณ์โดยตรงว่าเราไม่สามารถพูดคุยเป็นเวลานาน เพราะเวลาว่างเดียวที่มีอาจเป็นช่วงพักกลางวันที่จำเป็นต้องจัดการทุกอย่างให้จบก่อนที่จะเข้าไปทำงานในช่วงบ่ายตามปกติ การชี้แจงแบบนี้จะทำให้ผู้สัมภาษณ์เห็นว่าเราให้เกียรติที่ทำงานเดิม เป็นคนมีมารยาท และจะช่วยหาตารางเวลาอื่นที่ดีขึ้นหากเป็นไปได้ หรืออย่างน้อยก็จะได้หาทางออกอื่นร่วมกัน ไม่ปล่อยให้เราแบกความรับผิดชอบไว้คนเดียว ทั้งนี้แม้เราจะไม่สามารถคาดการณ์จำนวนงานล่วงหน้าในแต่ละวันได้ แต่หากเรามีสิทธิ์เลือกวันเอง ก็ควรใช้วิธีประเมินจากสถานการณ์ในอดีต เพื่อเลือกเวลาสัมภาษณ์ที่น่าจะวุ่นวายน้อยที่สุด ห้ามตอบตกลงสัมภาษณ์โดยลืมพิจารณาอย่างถี่ถ้วนเด็ดขาด แจ้งว่ามีธุระอย่างตรงไปตรงมาหากไม่ได้มีการประชุมใหญ่แต่เราแค่ต้องหายไปจากโต๊ะทำงาน ให้แจ้งอย่างตรงไปตรงมาว่ามีธุระด่วนต้องจัดการ โดยเขียนโน้ตติดเอาไว้บนโต๊ะเพื่อให้คนอื่นรู้ว่าเราหายไปไหน หรือทำข้อความตอบกลับอัตโนมัติในอีเมลเพื่อให้ยังมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นขณะที่เราออกไปสัมภาษณ์งาน ห้ามหายจากโต๊ะไปโดยไม่บอกกล่าวจนคนอื่นตั้งคำถามเด็ดขาด เตรียมตัวล่วงหน้าให้มากที่สุดลองคิดดูว่าจะเป็นอย่างไรหากเรามีเวลาว่างแค่นิดเดียว แต่ต้องมาเตรียมตัวใหม่ตั้งแต่การใส่เครื่องแต่ง, กายการเซ็ตผม หรือการใส่เครื่องประดับ ดังนั้นถ้าไม่อยากให้เวลาต้องเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ เราสามารถแต่งตัวอย่างสุภาพมาตั้งแต่เช้าได้เลย ไม่ต้องสนใจว่าจะมีคนแซว เพราะเป้าหมายสำคัญคือการสัมภาษณ์งานให้เรียบร้อยดีมากกว่า แต่หากกังวลจริง ๆ ก็ให้เตรียมเสื้อผ้ามาเปลี่ยนที่ทำงาน โดยอาจใช้กระเป๋าแบบเดียวกันก่อนประมาณหนึ่งสัปดาห์เพื่อไม่ให้ผิดสังเกต จนกระตุ้นให้คนอื่นรู้สึกว่าเราต้องแอบไปสัมภาษณ์งานแน่นอน สัมภาษณ์ให้ดีและรีบกลับมาทำงานให้เร็วที่สุดเมื่อสัมภาษณ์งานเสร็จแล้ว เราต้องกลับมาทำงานให้เร็วที่สุด หากยังไม่ได้ทานข้าว ก็ควรนำมาทานระหว่างเดินทาง หรือเลือกกินของง่าย ๆ เพื่อประหยัดเวลาให้มากที่สุด จากนั้น เมื่อเข้ามาถึงออฟฟิศ ก็ให้ทำตัวเหมือนเราเพิ่งออกไปทำธุระบางอย่างมาไม่ต้องรู้สึกผิดหรือทำตัวเลิ่กลั่กแต่อย่างใด HR ควรทำอย่างไรถ้ารู้ว่าพนักงานกำลังมองหางานใหม่ในฐานะของ HR เราต่างรู้ดีว่าการลาออกของพนักงานสักคนหนึ่งมีภาระค่าใช้จ่ายมหาศาลที่ตามมา ดังนั้นหากเรารู้แล้วว่ามีพนักงานกำลังจะลาออก ให้ปฏิบัติตามคำแนะนำจาก Forbes Young Entrepreneur Council ดังต่อไปนี้ วางแผนรับมือฉุกเฉิน (Contingency Plan) ทันทีคงเป็นเรื่องยากที่จะเปลี่ยนคนที่หมดใจให้กลับมาสนใจองค์กรเท่าเดิม ดังนั้นหากเราคิดว่าการปรับเงินเดือนหรือขึ้นตำแหน่งไม่ใช่สิ่งที่แก้ปัญหาได้ในระยะยาว เราก็ต้องวางแผนเลยว่าจะทำอย่างไรหากพนักงานคนดังกล่าวออกจากองค์กร เพื่อให้งานมีความต่อเนื่อง และบรรยากาศภายในทีมไม่เสียหาย ในที่นี้อาจเป็นการหาฟรีแลนซ์, เด็กฝึกงาน หรือแม้กระทั่งเพื่อนร่วมงานจากแผนกอื่นก็ได้ ให้คิดว่าเราไม่จำเปฺนต้องทุ่มเทเพื่อรักษาพนักงานทุกคน เลือกเฉพาะคนที่สมควรได้รับจริง ๆ ดีกว่า หาคำตอบว่าทำไมพนักงานถึงอยากลาออกแม้เราจะรั้งพนักงานไว้ไม่ได้ แต่เราก็สามารถรั้งไม่ให้พนักงานคนอื่นอยากลาออกตามกันไปได้ ดังนั้นเราควรหาคำตอบให้ชัดเจนว่ามีสิ่งใดบ้างที่องค์กรสามารถพัฒนาให้ดีขึ้นได้ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดขององค์กรคือการลาออกครั้งใหญ่ (Mass Resignation) ซึ่งอาจทำให้เราสูญเสียศักยภาพในการแข่งขันทางธุรกิจไปเลย โดยแผนกบุคคลสามารถจัดทำ Stay Interview แบบไม่เป็นทางการเพื่อให้พนักงานทุกคนนำเสนอความเห็นได้อย่างสบายใจ อย่างน้อยก็เพื่อให้มีข้อมูลจริงอยู่ในมือ ช่วยให้พนักงานเติบโตทางสายอาชีพมากขึ้นองค์กรบางแห่งเมื่อรู้ว่าพนักงานจะลาออก จะฝืนไปก็เหนื่อยเปล่า กลับกัน พวกเขาจะเข้าไปหาทางสนับสนุนทันที แนวคิดของเรื่องนี้คือแม้กำลังจะแยกจากกัน แต่หากเราส่งเสริมพนักงานให้ก้าวไปสู่จุดที่ตั้งเป้าเอาไว้ได้ด้วยทางใดทางหนึ่ง ก็จะทำให้พนักงานรู้สึกถึงคุณค่าและมิตรภาพขององค์กร เป็นเรื่องดีสำหรับสถานการณ์ Boomerang Employees ที่เราจะกลายเป็นตัวเลือกแรก ๆ ทันทีหากเขาต้องการย้ายงานอีกครั้ง การสนับสนุนแบบนี้อาจเป็นข้อดีในระยะยาว มากกว่าการรั้งให้เขาอยู่กับองค์กรต่อไปก็ได้ ในยุคที่คนรุ่นใหม่เชื่อว่าการเปลี่ยนงานจะทำให้เติบโตได้ง่ายกว่าการอยู่กับองค์กรเดิม สิ่งสำคัญของการทำงาน HR คือศึกษาเรียนรู้และปรับตัว เพื่อช่วยให้ทุกฝ่ายทำงานได้อย่างมีความสุขที่สุดนั่นเอง พนักงานควรทำอย่างไรหากถูกจับได้ว่ากำลังหางานใหม่แม้จะมีวิธีหลบเลี่ยงมากแค่ไหน แต่การถูกจับได้ว่าเราไปแอบสัมภาษณ์งานที่บริษัทใหม่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่เป็นระยะ เหตุผลสำคัญอย่างหนึ่งก็คือการที่ผู้สัมภาษณ์ของที่ใหม่โทรศัพท์มาสอบถามเพื่อขออ้างอิงตัวตน (Reference Check) ดังนั้นถ้าเรากลัวว่าจะเกิดสถานการณ์นี้ขึ้น ก็ให้แจ้งกับผู้สัมภาษณ์ก่อนเลยว่าหากต้องการโทรมาที่บริษัท ให้โทรมาในวันที่มั่นใจว่าจะรับเราเป็นพนักงานแล้วแน่ ๆ ไม่ใช่ในขั้นตอนพิจารณาที่อาจทำให้เราต้องสูญเสียงานทั้งสองฝั่งไปพร้อมกัน หากเราถูกจับได้ให้ทำตามขั้นตอนเหล่านี้ ซื่อสัตย์กับบริษัทตัวเองสิ่งแรกที่ต้องจำให้ขึ้นใจก็คือห้ามโกหกเด็ดขาด เพราะแม้เราจะปฏิเสธตอนนี้ แต่ในอนาคตอันใกล้เราก็ต้องออกจากงานไปที่บริษัทใหม่อยู่ดี ทำให้คำพูดที่เราโกหกออกไปกลายเป็นสิ่งมัดตัวเมื่อบริษัทใหม่ต้องการขออ้างอิง หรือเมื่อต้องการกลับมาสู่บริษัทเดิมในอนาคต ดังนั้นเราควรจากกันให้ดีและพูดคุยกันเพื่อให้มีความเข้าใจมากกว่า การพูดอ้อม ๆ แบบ “ใช่ครับ ผมลองมอง ๆ ดูงานใหม่บ้างเหมือนกัน” เป็นวิธีที่ดีกว่าการปฏิเสธอย่างสุดตัว ตอบให้ได้ว่าหางานใหม่ทำไมเมื่อบริษัททราบแล้วว่าเราต้องการจะออกจากองค์กร สิ่งสำคัญก็คือการอธิบายให้ได้ว่าเราแสวงหาอะไรที่บริษัทเดิมไม่มี ถึงจุดนี้ให้เปรียบเทียบว่ามันคือ Exit Interview ที่สามารถพูดในสิ่งที่ต้องการได้อย่างตรงไปตรงมา ตราบใดที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการยกระดับองค์กรให้ดีขึ้น เราสามารถพูดได้เลยว่าระบบสวัสดิการหรือค่าตอบแทนขององค์กรมีปัญหา ไม่สามารถสู้กับคู่แข่งได้อีกต่อไป หรือแม้แต่องค์กรไม่มีระบบพัฒนาบุคลากรที่เข้มแข็ง จนรู้สึกว่าตนไม่มีคุณค่า หรือไม่สามารถเป็นคนที่เก่งขึ้นไปกว่านี้เป็นต้น การพูดอย่างตรงไปตรงมาจะทำให้องค์กรเห็นว่าเรามีความใส่ใจในรายละเอียดทั้งของตัวเองและของผู้อื่น ซึ่งอาจนำไปสู่การพิจารณาว่าองค์กรอยากจะเก็บเราเอาไว้หรือไม่ หากใช่ เราก็อาจได้ข้อเสนอจากองค์กรเพื่อรั้งตัวเอาไว้
พิสูจน์ตัวเองว่าเรายังคงทำงานได้อย่างเต็มที่เมื่อหัวหน้ารู้แล้วว่าเรากำลังก้าวขาออกจากองค์กร ก็ไม่แปลกหากจะถูกตั้งคำถามว่าเรายังคงใส่ใจกับงานที่ได้รับมอบหมายอยู่เต็มที่หรือไม่ ดังนั้นเราต้องพิสูจน์ตัวเองให้เห็นด้วยการมาทำงานให้เร็ว ออกจากงานให้ช้า และเตรียมตัวทำงานให้ดี เพื่อให้การประชุมของเรามีประสิทธิภาพ วิธีนี้จะทำให้คนเข้าใจว่าแม้จะเตรียมก้าวออกจากองค์กร แต่เราก็ยังเป็นมืออาชีพถึงขีดสุด ซึ่งจะทำให้เกิดความเชื่อมั่นจากทุกคนที่พบเห็น เป็นผลดีทั้งกับตนเองและองค์กร ทั้งนี้ถ้ามีการสัมภาษณ์งานอื่นในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ให้หลีกเลี่ยงไปก่อน จนกว่าบรรยากาศในที่ทำงานจะดีขึ้น กลยุทธ์การใช้สวัสดิการ Employee Benefit พนักงานพอใจ ไม่มีใครลาออกจากกระแส The Great Resignation เรื่อยมาจนถึง Boomerang Employees สิ่งสำคัญที่องค์กรต้องใส่ใจมากขึ้นคือการสร้างความประทับใจระหว่างกัน สวัสดิการในตอนนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่สิ่งที่เกิดขึ้นภายในออฟฟิศเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของคนรอบตัวพนักงานด้วย เช่นสวัสดิการเพื่อการสร้างครอบครัว, สวัสดิการเพื่อผู้สูง, อายุสวัสดิการด้านการเข้าอบรมในคลาสราคาแพง, สวัสดิการในการลางานเมื่อสูญเสียคนรักเป็นต้น ความสามารถในการคิดค้นสวัสดิการใหม่ ๆ มาตอบโจทย์ตามกระแสสังคม คือสิ่งที่ทำให้องค์กรแต่ละแห่งแตกต่างกัน องค์กรไหนที่แสดงถึงความใส่ใจพนักงานได้มากกว่า ก็จะมีโอกาสรักษาพนักงาน (Retention) ได้มากกว่าเช่นกัน หากคุณไม่รู้ว่าจะหาแนวทางจัดทำสวัสดิการอย่างไร เราแนะนำให้ใช้บริการของ HR Products & Services แพลตฟอร์มที่รวบรวมบริการและผลิตภัณฑ์ด้านการบริหารพนักงานไว้มากที่สุดในเมืองไทย ไม่ว่าคุณจะเป็นองค์กรเล็กหรือใหญ่ หรือต้องการสวัสดิการในรูปแบบไหน ก็หาตัวช่วยได้ที่นี่แบบคลิกเดียวจบ ! บทสรุปเมื่ออ่านจบแล้ว เราจะเห็นตรงกันว่าสิ่งสำคัญคือการตรวจสอบพนักงานอยู่ตลอดเวลา ว่ามีความสุขดีกับการทำงานหรือไม่ เพราะวิธีนี้จะช่วยให้ทุกฝ่ายทำงานได้อย่างคล่องตัวมากกว่าการรอให้เกิดการลาออกและคอยโน้มน้าวให้บางคนอยู่ต่อ เพราะนอกจากจะทำให้พนักงานรู้สึกว่าตนเหนือกว่าแล้ว ยังทำให้องค์กรต้องเสียทรัพยากรเพิ่มขึ้นมากกว่าที่ควรในบางครั้งอีกด้วย อีกแง่มุมหนึ่งคือเราไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการยื้อพนักงานอย่างที่เคย เพราะกระแสโลกพิสูจน์แล้วว่ามีโอกาสที่พนักงานคนเดิมจะกลับมาสู่องค์กรในอนาคต ขณะที่พนักงานในปัจจุบันหรือแม้แต่คนรุ่นใหม่ก็มีโอกาสพัฒนาเป็นคนที่สามารถเติมเต็มหน้าที่ของพนักงานเดิมได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นการเปลี่ยนงานในปัจจุบันอาจไม่ได้เป็นเรื่องน่ากังวลอย่างที่คิดหากมีการบริหารจัดการอย่างเหมาะสม สรุปง่าย ๆ ว่าการให้ความสำคัญกับพนักงานในทุกแง่มุมคือรากฐานของการแก้ทุกปัญหา และจะช่วยให้องค์กรเติบโตอย่างแข็งแรงได้จริง ทำไมถึงลาออกจากที่ทำงานเก่าเหตุผลการลาออกจากที่ทำงานเก่า ที่ควรใช้ ที่ทำงานเก่าไกลบ้าน เลยเลือกสมัครงานที่นี่ เพราะใกล้บ้านมากขึ้น ที่ทำงานใหม่ตอบโจทย์เรื่องการทำงานที่ยืดหยุ่นมากขึ้น อยากเพิ่มก้าวหน้าในสายอาชีพของตัวเอง หรือความท้าทายในการรับตำแหน่งที่สูงขึ้น อยากลองทำงานในสายอาชีพใหม่ ที่ตนเองมีความถนัดในด้านนี้เช่นกัน เหตุผลที่ ลาออกจากงาน มี อะไรบ้างเหตุผลในการลาออก - 10 เหตุผลดี ๆ และคำถามก่อนตัดสินใจออกจากงาน. ลาออกเพราะบริษัทไม่มีการปรับเงินเดือนขึ้น. ออกไปทำงานในที่มั่นคงกว่า. ขาดโอกาสในการเติบโตด้านการงาน. เปลี่ยนที่ทำงานใกล้บ้าน. งานที่ทำไม่ตรงกับความสามารถที่มี. หัวหน้างานหรือเพื่อนร่วมงาน. มองหาเงื่อนไขการทำงานที่ยืดหยุ่น. หมดไฟในการทำงาน. ลาออกก่อนได้งานใหม่ดีไหมลาออกแล้วค่อยหางานใหม่ = มีความเสี่ยงด้านการเงิน ถึงแม้ว่าการเตรียมหางานใหม่ ผ่านการสัมภาษณ์ให้เรียบร้อยจนถึงได้งานใหม่ก่อนยื่นลาออก ถือเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุด แต่เชื่อเถอะว่า ในชีวิตการทำงานเราต้องพบเจอกับองค์กรที่ทำให้เราอยากจะยื่นลาออกให้ไวที่สุด (ได้กลิ่นดราม่ามาไกลๆ) ลาออกต้องบอกเหตุผลไหมไหน ๆ คุณก็ ตัดสินใจลาออก แล้ว คุณก็ควรบอกเจ้านายด้วยตัวเอง บอกถึงเหตุผลที่ทำให้คุณตัดสินใจไปทำงานที่บริษัทใหม่ เช่น ความก้าวหน้ามากกว่า เงินเดือนมากกว่า การเดินทางที่สะดวก ฯลฯ ทั้งนี้ คุณควรทำหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษร โดยแจ้งล่วงหน้าไปยังบริษัทอย่างน้อย 1 เดือนด้วย อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณกลัวที่จะเผชิญหน้าเจ้านาย และคนใน ... |