การรักษาดุลยภาพของกรด–เบสของเลือดโดยระบบหายใจ
ครูทบทวนสมการการเกิดปฏิกิริยาของ CO
2
และน้ำ�ในเลือดที่ทำ�ให้เกิดไฮโดรเจนไอออน (H
+
)
โดย H
+
ที่เกิดขึ้นนี้ทำ�ให้ค่าความเป็นกรด-เบสในเลือดเปลี่ยนแปลงไป หลังจากนั้นให้นักเรียนสืบค้น
ข้อมูลเกี่ยวกับกลไกการรักษาดุลยภาพของกรด-เบสของเลือดโดยการทำ�งานของระบบหายใจจาก
หนังสือเรียนหรือแหล่งการเรียนรู้อื่นๆ แล้วให้นักเรียนอภิปรายร่วมกันโดยใช้คำ�ถามดังนี้
ถ้าเลือดมีปริมาณ H
+
มากกว่าหรือน้อยกว่าปกติจะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของ pH
อย่างไร
การหายใจช่วยในการรักษาดุลยภาพของกรด-เบสในเลือดได้อย่างไร
จากการสืบค้นและอภิปรายนักเรียนควรได้ข้อสรุปว่า โดยปกติเลือดมีค่า pH ประมาณ
7.35-7.45 ถ้าเลือดมีปริมาณ H
+
มากกว่าปกติจะทำ�ให้ pH ของเลือดลดลง แต่ถ้าเลือดมีปริมาณ H
+
น้อยกว่าปกติจะทำ�ให้ pH ของเลือดเพิ่มขึ้น โดยการหายใจเป็นการช่วยรักษาดุลยภาพของกรด-เบส
ในเลือดได้ ดังรูป 14.18 ดังนี้ ถ้าปริมาณ CO
2
หรือไฮโดรเจนไอออนสะสมอยู่ในเลือดมากส่งผลให้
เลือดมีความเป็นกรดเพิ่มขึ้นการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งสัญญาณไปกระตุ้นศูนย์ควบคุมการหายใจที่สมอง
ส่วนพอนส์และเมดัลลาออบลองกาตา ซึ่งจะไปควบคุมการทำ�งานของกล้ามเนื้อระหว่างกระดูกซี่โครง
แถบนอกและกล้ามเนื้อกะบังลม ทำ�ให้เพิ่มอัตราการหายใจเพื่อขับ CO
2
ออกจากปอดเร็วขึ้น แต่ถ้า
เลือดมีความเป็นเบสมากขึ้น อัตราการหายใจจะลดลงเพื่อเพิ่มปริมาณไฮโดรเจนไอออนให้สูงขึ้นโดย
การสะสม CO
2
ในเลือด ทำ�ให้ความเป็นกรด-เบสของเลือดเข้าสู่ภาวะสมดุล
จากนั้นให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายคำ�ถามในหนังสือเรียน
ในขณะที่นอนหลับมีการควบคุมการหายใจแบบใด
มีการควบคุมการหายใจโดยระบบประสาทอัตโนวัติซึ่งอยู่นอกอำ�นาจจิตใจ
เพราะเหตุใดมนุษย์ไม่สามารถกลั้นหายใจจนเสียชีวิตได้
มนุษย์สามารถกลั้นหายใจได้เพียงชั่วระยะหนึ่งเท่านั้นและจะหายใจเป็นปกติ เพราะขณะที่กลั้น
หายใจปริมาณ CO
2
ในร่างกายจะสูงขึ้นจนถึงจุดหนึ่งที่ร่างกายทนไม่ได้ ทำ�ให้ต้องหายใจออก
เพื่อนำ� CO
2
ออกจากร่างกายและหายใจเอา O
2
เข้าไป โดยการตอบสนองนี้เป็นกลไกที่ควบคุม
โดยระบบประสาทอัตโนวัติที่อยู่นอกอำ�นาจจิตใจ
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
บทที่ 14 | ระบบหายใจ
ชีววิทยา เล่ม 4
75
“ภาวะเลือดเป็นกรด"(hypo-Alkalinity)
เลือดเป็นกรด คือ ภาวะที่มีของเสียในเลือดมากเกินไป จนเลือดเปลี่ยนสภาพจากความเป็นด่างกลายเป็น"กรด" ทำให้เซลล์และอวัยวะในร่างกายเกิดความเสื่อม (เลือดไม่สะอาด)
** เพราะหัวใจและอวัยวะภายในร่างกาย ทำงานได้ดีในภาวะเลือดเป็นด่าง คือมีค่า pH อยู่ที่ประมาณ 7.2-7.4 พื้นฐานของร่างกายและหน้าที่สำคัญของด่างในร่างกายทำหน้าที่ในการช่วยฟื้นฟูและซ่อมแซมสุขภาพร่างกายทั้งหมด **
อันตรายจากเลือดเป็นกรด
: มะเร็ง เติบโตในดีในภาวะเลือดเป็นกรด
:
ทำให้เกิดโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคไต โรคเบาหวาน ปวดศีรษะ
โรคประสาทต่างๆ และอาการนอนไม่หลับ กรดไหลย้อน ภูมิแพ้
: ปวดเมื่อยเนื้อตัว เนื่องจากมีภาวะร้อนภายในร่างกาย
: ป่วยแล้วหายยาก เพราะเซซล์เสื่อม ร่างกายฟื้นฟูได้ช้า
พฤติกรรมที่ทำให้เกิดภาวะเลือดเป็นกรด
1. สิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษ สารเคมี ฝุ่นละออง ควันพิษ บุหรี่
2. การรับประทานอาหารปรุงแต่ง/ชูรส/แปรรูปมากเกินไป
เช่น อาหารฟาสต์ฟูด เนื้อสัตว์ ของหมัก ดอง ทอด ปิ้ง ย่าง
น้ำอัดลม อาหารทะเลแช่สารให้ดูสด เหล้า บุหรี่
ยาปฎิชีวนะ ฯลฯ
3. ความเครียดสะสม จนร่างกายมีปริมาณกรดในเลือดเพิ่มขึ้น
วิถีชีวิตปัจจุบันที่เร่งรีบพฤติกรรมการกินอาหารที่ไม่เหมาะสม การออกกำลังกายไม่เพียงพอ หรือความเครียดเรื้อรังสะสม ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ร่างกายเสียสมดุลความเป็นกรด-ด่างอยู่เสมอ หากปล่อยทิ้งไว้อาจนำไปสู่โรคร้าย ทั้งเบาหวาน หัวใจ มะเร็ง จึงควรรู้เท่ากันสัญญาณต่าง ๆ ของร่างกาย เพื่อเร่งปรับพฤติกรรมให้ร่างกายกลับสู่ภาวะสมดุลโดยเร็ว จึงจะมีสุขภาพแข็งแรง ปราศจากโรคภัยค่ะ
เมื่อร่างกายเสียสมดุล
รองศาสตราจารย์ศรีสนิท อินทรมณี ภาควิชาเคมีคลินิก คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายภาวะที่ร่างกายเสียสมดุลกรด-ด่างว่า
"ในภาวะปกติ เลือดของเราจะมีความเป็นด่างอ่อน ๆ หรือมีค่า pH ประมาณ 7.35-7.45 เมื่อค่า pH ในเลือดเปลี่ยนแปลงไปจากปกติ จะทำให้เกิดภาวะกรดเกินหรือภาวะด่างเกินได้ ถ้าค่า pH ในเลือดต่ำกว่า 6.8 จะเกิดภาวะเลือดเป็นกรด (Acidosis) อาจโคม่า และเสียชีวิตได้ หรือถ้า pH ในเลือดสูงกว่า 7.8 จะเกิดภาวะเลือดเป็นด่าง (Alkalosis) อาจมีอาการชักและเสียชีวิตในที่สุด"
แต่ไม่ต้องตกใจไปค่ะ อาจารย์บอกว่า ภาวะกรดเกินและด่างเกินเกิดขึ้นได้น้อยมาก นอกจากจะมีความผิดปกติของปอดหรือไตซึ่งเป็นอวัยวะที่ควบคุมสมดุลกรด-ด่างในร่างกายเท่านั้น โดยปกติแล้ว หากร่างกายมีภาวะเป็นกรดหรือด่างไม่มาก คืออยู่ระหว่าง 6.8-7.8 ร่างกายจะมีกลไกปรับสภาพความเป็นกรดด่างในร่างกายในสมดุลได้ โดยการขับถ่ายกรดออกนอกร่างกายทางปัสสาวะ (กรดอินทรีย์) หรือลมหายใจออก (ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์)
กรดเกินเกิดจากอะไร
สาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้ร่างกายมีภาวะกรดเกินมาจากความเครียด เชื้อโรค และอาหารที่เรากินในแต่ละวัน โดยอาหารเป็นปัจจัยหลัก เนื่องจากอาหารในปัจจุบันส่วนใหญ่มีฤทธิ์เป็นกรด จึงควรรู้จักอาหารเหล่านี้เพื่อหลีกเลี่ยงและกินให้น้อยลงค่ะ
คุณสุพิศ กลิ่นหวล นักโภชนาการชำนาญการพิเศษ ฝ่ายโภชนาการ โรงพยาบาลกลาง สำนักการแพทย์ กล่าวว่า อาหารที่มีความกรดเป็นสูงได้แก่
นอกจากนี้ ความเครียดหรือการนอนหลับไม่เพียงพอยังอาจทำให้ร่างกายเกิดสภาวะเป็นพิษและเสียสมดุลได้ ปัจจุบันแม้จะยังไม่มีข้อสรุปความเครียดเพิ่มปริมาณของกรดในร่างกายได้จริงหรือไม่ แต่มีงานวิจัยจากสหรัฐอเมริกา ระบุว่า ความเครียดเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้เกิดภาวะกรดเกิน กระเพาะอาหารหรือกรดไหลย้อนแย่ลง เพราะความเครียดจะทำให้ร่างกายรับภาวะความเป็นกรดได้รวดเร็วมากขึ้น
อาจารย์ศรีสนิท กล่าวว่า การออกกำลังกายหนักเกินไปก็ทำให้เกิดภาวะกรดเกินในร่างกายได้เช่นกัน เพราะการออกกำลังกายหนัก ๆ จะเกิดการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ ร่างกายจะหายใจนำก๊าซออกซิเจนเข้าไปไม่เพียงพอ ทำให้เกิดกรดแล็กติก (Lactic Acid) ค้างอยู่ในร่างกายเป็นจำนวนมาก เกิดอาการปวด เกร็ง ชา เป็นตะคริว แต่ภาวะเช่นนี้เป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น ถ้าได้นั่งพักสักครู่ อาการก็จะดีขึ้น
ด่างเกินมาจากไหน
เป็นภาวะที่ร่างกายมีคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Dioxide) ต่ำ หรือมีไบคาร์บอเนต (Bicarbonate) สูงเกินไป มักเกิดในผู้ที่ปอดและไตทำงานได้ไม่ดี เนื่องจากไตและปอดมีหน้าที่รักษาสมดุลความเป็นกรด-ด่างในร่างกายและกำจัดกรดหรือด่างส่วนเกิน เมื่อไตหรือปอดทำงานได้ไม่ดี จึงทำให้มีค่าคาร์บอนไดออกไซด์ในร่างกายต่ำหรือสูงเกินไป ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกาย
ส่วนในกรณีที่ร่างกายมีไบคาร์บอเนตมากเกินไป ซึ่งอาจมาจากการได้รับไบคาร์บอเนตในปริมาณมาก ไบคาร์บอเนตนี้พบได้ในเบกกิ้งโซดา (ผงฟู) ยาลดกรด หรือเป็นผลจากอาการท้องร่วง อาเจียน สูญเสียน้ำ เมื่อร่างกายขาดคลอไรด์ ไตจะพยายามรักษาไบคาร์บอเนตในร่างกาย ทำให้มีปริมาณไบคาร์บอเนตสะสมในร่างกายมากเกินไป
นอกจากนี้ยังอาจพบได้ในผู้เป็นโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ เช่นโรค Hyperventilation หรืออาการที่หายใจลึกหรือเร็วกว่าปกติ Altitude หรือภาวะที่ออกซิเจนในเลือดต่ำ ซึ่งทำให้หายใจเร็วขึ้น จนระดับคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำ
เป็นไข้ ติดเชื้อ เป็นเหตุให้ร่างกายเสียสมดุลชั่วขณะ เป็นต้น หรือแม้แต่การได้รับกชสารพิษ สารกระตุ้น เช่น ฝุ่นละออง ก็ทำให้ร่างกายเกิดภาวะไม่สมดุลได้เช่นกัน
เมื่อกรดเกินแล้วเป็นอย่างไร
สังเกตง่าย ๆ ผู้ที่มีภาวะกรดเกินจะมีอาการเหนื่อยง่ายหอบ หายใจถี่ ไม่ค่อยมีแรง แขนขาเป็นตะคริว ขี้หนาว คลื่นไส้ ปวดศีรษะบ่อย ๆ ผิวแห้ง ไม่ชุ่มชื่น มีกระ เกลื้อน สิว เล็บเปราะบาง ผมไร้น้ำหนัก แตกปลาย เสียวฟันได้ง่าย มีรอยแตกที่มุมปาก เป็นหวัดติดเชื้อง่ายคอและทอนชิลอักเสบบ่อย ๆ
นอกจากนี้ ดร.วิลเลียม โฮวาร์ด เฮย์ (William Howard Hay) แพทย์ชาวอเมริกัน ยังกล่าวไว้ในหนังสือ A New Health Era ว่า โรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับมนุษย์นั้น เป็นผลมาจากภาวะกรดเกินในร่างกาย จนทำให้มีสารพิษสะสม (Autotoxication)
ภาวะกรดเกินมีผลต่อการทำงานของร่างกายแทบทุกส่วน เป็นผลให้เกิดอาการผิดปกติต่าง ๆ ดังนี้
เมื่อด่างเกินแล้วเป็นอย่างไร
อาจมีอาการเวียนศีรษะ มึนศีรษะ กล้ามเนื้อกระตุก มือสั่นกล้ามเนื้อหดเกร็งอย่างต่อเนื่อง คลื่นไส้ อาเจียน มีอาการชาหรือปวดเสียวบริเวณใบหน้า มือ เท้า ความคิดสับสน (Confusion) ซึ่งเป็นอาการทางระบบประสาท จนอาจถึงขั้นหมดสติและเสียชีวิตได้
Did you Know?
การกินยาลดกรดชนิดที่มีแคลเซียมและคาร์บอเนตมากเกินไป อาจเป็นเหตุให้ระดับแคลเซียมและกรดในร่างกายไม่สมดุลจนมีผลเสียต่อไต นอกจากนี้ยาลดกรดชนิดที่มีแคลเซียมอาจทำให้ร่างกายหลั่งกรดออกมามากขึ้น แม้ว่าจะช่วยลดกรดได้ในช่วงแรกหลังกินยาก็ตาม ผู้ป่วยเป็นโรคไตควรระวัง เพราะสารอะลูมินัมจากยาลดกรด อาจสะสมจนเป็นพิษต่อร่างกาย
เมื่อกรดเกินแล้วต้องทำอย่างไร
เพื่อปรับสมดุลความเป็นกรด-ด่างในร่างกาย อาจารย์สาทิส อินทรกำแหง กูรูต้นตำรับชีวจิต แนะนำให้กินอาหารที่เป็นกรดให้น้อยลง และกินอาหารที่จะไปสร้างภาวะด่างให้ร่างกายเพิ่มขึ้น
อาหารที่ช่วยเพิ่มความเป็นด่าง ได้แก่
นอกจากนี้ยังแนะนำให้กินผลไม้รสเปรี้ยวบางชนิดที่หลังจากผ่านกระบวนการย่อยแล้ว ส่วนที่เหลือจะมีความเป็นด่าง เช่น เลมอน มะนาว ส้ม สับปะรด กีวี
อีกทั้งยังควรกินแร่ธาตุแคลเซียม โซเดียม แนะแมกนีเซียมเสริม เพื่อทดแทนปราณแร่ธาตุที่สูญเสียไปจากการรักษาสมดุลกรด-ด่างในร่างกาย
แหล่งแมกนีเซียมในธรรมชาติ
พบในอาหารจำพวกผักใบเขียว เช่น ผักโขม ถั่วและธัญพืช โดยเฉพาะเมล็ดฟักทอง เมล็ดทานตะวัน งา ปลาแมคเคอเรล ปลาทูน่า ถั่วเหลือง ถั่วแดง ข้าวไม่ขัดสี ข้าวโอ๊ต อะโวคาโด กล้วย
แหล่งแคลเซียมในธรรมชาติ
พบในผักใบเขียวจำพวกผักกวางตุ้งไต้หวัน คะน้า ผักกะหล่ำ (เขียว, ม่วง) บรอกโคลี ถั่วแขก กระเจี๊ยบเขียว เต้าหู้ เมล็ดอัลมอนด์ งา ปลากระป๋องต่าง ๆ เช่น ปลาซาร์ดีนในน้ำมัน ปลาแซลมอน
แหล่งโซเดียมในธรรมชาติ
พบได้ในเกลือ ผงฟู อาหารทะเล โดยเฉพาะปูทะเล ซอสถั่วเหลือง ในผลไม้ เช่น ลูกมะกอก แตงโม แคนตาลูป ลูกพลัม เสาวรส องุ่น กล้วย มะเฟือง และในผัก คือ มะเขือยาว ผักโขม พืชตระกูลพริก มันฝรั่ง มะเขือเทศ
ที่สำคัญ อย่าลืมออกกำลังกายสม่ำเสมอ แต่ไม่หักโหมจะช่วยเพิ่มออกซิเจนให้หมุนเวียนไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ได้ดีขึ้น และยังช่วยเสริมภูมิต้านทานที่เสียไปจากภาวะกรดเกิน ต้านการติดเชื้อ ช่วยคงน้ำหนัก เผาผลาญไขมัน รักษารูปร่าง และยังช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของโรคในระบบทางเดินอาหาร เช่น โรคกระเพาะอักเสบอีกด้วย
นิตยสาร นิวยอร์กไทมส์ แนะนำว่า ควรออกกำลังกายสม่ำเสมอสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง จะช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคกรดไหลย้อนได้ แต่ผู้มีปัญหากรดไหลย้อนควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายแบบแอโรบิกที่เคลื่อนไหวร่างกายอย่างรุนแรง เช่น วิ่งเต็มที่อย่างต่อเนื่องหรือการออกกำลังกายที่ต้องนอนราบกับพื้น
ขอแนะนำว่า รำกระบองดีที่สุดค่ะ เพราะเป็นการออกกำลังกายที่ไม่รุนแรง และช่วยให้โกรทฮอร์โมนหลั่ง แถมยังได้บริหารกระดูกสันหลังและฝึกสมาธิไปในตัว จึงช่วยคืนสมดุลสู่ร่างกาย
สุดท้าย ควรดูแลอารมณ์ให้ดีอยู่เสมอ หมั่นคลายความเครียดและพักผ่อนให้เพียงพอ ก็จะช่วยให้ภาวะกรดเกินดีขึ้นได้ค่ะ
เมื่อด่างเกินแล้วควรทำอย่างไร
ควรรักษาที่ต้นเหตุและโรคที่เป็น ถ้าเป็นที่ระบบทางเดินหายใจ ควรนั่งพักสักครู่ หายใจลึก ๆ ช้า ๆ เพื่อควบคุมระดับออกซิเจนในร่างกาย และควรไปพบแพทย์
เมื่อใช้วิธีปรับสมดุลกรด-ด่างตามธรรมชาติเช่นนี้แล้ว ร่างกายก็จะสดใสแข็งแรง โรคร้ายก็ไม่รุกรานเลยค่ะ