ลีสซิ่ง / เช่าซื้อ
การเช่าแบบลีสซิ่ง (Financial Lease)
- เป็นการเช่าทรัพย์สิน ซึ่งเมื่อครบสัญญาเช่า ผู้เช่ามีสิทธิ์เลือกซื้อทรัพย์สินในราคาที่ตกลงกันไว้ (Option price / Residual value) ตามที่ระบุไว้ในสัญญาเช่า หรือ ต่ออายุ
สัญญาเช่า ตามที่บริษัทพิจารณา - เหมาะสำหรับ นิติบุคคลที่ต้องการได้รับประโยชน์ทางภาษี จากการนำค่าเช่าที่ผ่อนชำระ ไปคำนวณเป็นค่าใช้จ่ายทางภาษีได้ทั้งจำนวน
การเช่าซื้อ (Hire Purchase)
- เป็นการเช่าซื้อทรัพย์สิน ซึ่งเมื่อครบสัญญาเช่าซื้อ กรรมสิทธิ์จะถูกโอนไปยังผู้เช่าซื้อโดยอัตโนมัติ
- เหมาะสำหรับ นิติบุคคลที่ต้องการระบุผู้เช่าซื้อเป็นผู้ครอบครองทรัพย์สิน ในเล่มทะเบียนระหว่างการเช่าซื้อ เช่น กลุ่มผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้าง, ขนส่ง ฯลฯ หรือธุรกิจที่ต้องการผ่อนชำระในระยะเวลา 1-5 ปี
การขายและเช่า/เช่าซื้อกลับ (Sale and Lease Back/Hire Purchase Back)
- เป็นการที่ผู้เช่า/เช่าซื้อ นำทรัพย์สินที่ตนเองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์และปลอดภาระ มาขายให้แก่กรุงศรีลีสซิ่ง และทำการเช่า/เช่าซื้อทรัพย์สินดังกล่าวกลับไปเพื่อใช้ประโยชน์ในธุรกิจต่อไป
- เหมาะสำหรับ นิติบุคคลที่ต้องการเงินทุนหมุนเวียน เพื่อเสริมสภาพคล่องทางธุรกิจ หรือกรณีที่ลูกค้าได้ลงทุนซื้อทรัพย์สินด้วยเงินสดไปก่อน แล้วจึงนำมาขอสินเชื่อกับ
กรุงศรีลีสซิ่ง
ประโยชน์ของการใช้บริการ ลีสซิ่ง / เช่าซื้อ
ข้อแตกต่างระหว่าง ลีสซิ่ง / เช่าซื้อ
เช่าซื้อ VS ลิสซิ่ง
“เช่า” “เช่าซื้อ” “เช่า” “เช่าซื้อ” ตัดสินใจไงดี ?
...เอ๊ะ!! แล้ว 2 สัญญานี้คืออะไรกันนะ แตกต่างกันยังไง??
ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับความหมายของ 2 สัญญานี้กันก่อน
เช่าซื้อ (Hire Purchase)
เราในฐานะลูกค้าหรือผู้เช่าซื้อจะทำสัญญากับผู้ให้เช่าซื้อว่าจะชำระค่าสินค้าเป็นงวด ๆ ตามจำนวนเงินและระยะเวลาที่กำหนด โดยระหว่างนั้นผู้เช่าซื้อสามารถนำสินค้าหรือทรัพย์สินนั้นมาใช้งานได้ก่อน โดยที่กรรมสิทธิ์ยังเป็นของผู้ให้เช่าซื้อ จนกว่าจะจ่ายเงินครบตามสัญญาจึงจะโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้นมาเป็นของกิจการ เช่น การเช่าซื้อรถยนต์, เช่าซื้อรถจักรยานยนต์, เช่าซื้อเครื่องจักร เป็นต้น กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของการเช่าซื้อ จะเป็นของเราทันที เมื่อชำระเงินครบ!!!
ลีสซิ่ง (Leasing)
มีลักษณะคล้ายกับสัญญาเช่าซื้อ คือ เราจะต้องชำระเงินค่าเช่าเป็นงวด ๆ ตามจำนวนเงินและเวลาที่กำหนดในสัญญาเช่า ต่างกันตรงที่เมื่อสิ้นสุดสัญญาเช่า เราสามารถเลือกได้ว่าจะซื้อ ต่อสัญญาเช่า หรือส่งคืนทรัพย์ให้กับผู้ให้เช่า ส่วนมากผู้ที่ทำสัญญาลักษณะนี้ มักเป็นบริษัทหรือนิติบุคลที่ต้องการเช่าทรัพย์สินที่มีราคาแพงหรือเช่าทรัพย์สินในปริมาณมาก เช่น เครื่องจักร รถยนต์ หรืออาจเป็นการเช่าสินค้าที่เทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เช่น คอมพิวเตอร์ เครื่องถ่ายเอกสาร
สัญญาเช่าลิสซิ่ง มี 2 ประเภท
1. สัญญาเช่าดำเนินงาน(Operating Lease) บริษัทผู้เช่าจะถือว่าเงินที่จ่ายออกไปทุกเดือนนั้นเป็น “ค่าเช่า” และกรรมสิทธิ์ในสินทรัพย์นั้นไม่ได้เป็นของผู้เช่า แม้จนหมดอายุในสัญญาบริษัทผู้เช่าก็ไม่ได้มีเจตนาจะซื้อหรือโอนสินทรัพย์นั้นมาเป็นสมบัติของตน
2. สัญญาเช่าทางการเงิน(Financial Lease) ผู้เช่าจะบันทึกสินทรัพย์ที่เช่าเป็น “สินทรัพย์” ของบริษัท และนำมาคำนวณค่าเสื่อมราคา ตั้งแต่เริ่มต้นตามสัญญา
การพิจารณาว่าสัญญาเช่าลิสซิ่งใดเป็น สัญญาเช่าดำเนินงานหรือสัญญาเช่าทางการเงิน ?
พิจารณาจากเนื้อหาที่แท้จริงในสัญญา โดยปกติหากสัญญาเช่ามีเงื่อนไขว่า ผู้เช่าซื้อสามารถซื้อสินทรัพย์นั้นได้ในราคาต่ำ ก็ตีความหมายได้ว่า เจตนาของสัญญาต้องการให้ผู้เช่านั้น ซื้อสินทรัพย์ไปภายหลังจากชำระค่างวดครบตามสัญญาแล้ว ดังนั้น กรณีเช่นนี้ ถือว่า บริษัทต้องบันทึกสินทรัพย์ที่เช่านั้น เป็นสินทรัพย์ของบริษัทตั้งแต่ต้น
นอกจากเราจะต้องชำระดอกเบี้ยแล้ว การทำสัญญาเช่าซื้อและลีสซิ่งก็ยังมีค่าธรรมเนียม ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่ผู้ทำสัญญาอาจต้องเป็นผู้รับภาระหรืออาจเกิดขึ้นได้
ดังนั้น ควรศึกษาทำความเข้าใจวิธีการคิดดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นอย่างละเอียด เพื่อให้ได้ข้อเสนอที่ดีและเหมาะสมกับความต้องการมากที่สุด...
ข้อมูลเหล่านี้ คงพอช่วยให้ผู้ประกอบการหลายๆท่านตัดสินใจได้แล้วนะคะว่าจะเลือกทำสัญญาเช่าซื้อแบบไหนดี
…Sammy