น้ำมันไฮดรอลิคมาตรฐาน, น้ำมันไฮดรอลิคดัชนีความหนืดสูง
พรีเมียม ไฮดรอฟาสท์ เอดับบลิว
น้ำมันไฮดรอลิคคุณภาพสูง ชนิดมีสารต้านทานความสึกหรอ | |||
พรีเมียม ไฮดรอฟาสท์ AWน้ำมันไฮดรอลิคคุณภาพสูงเพิ่มคุณสมบัติป้องกันการสึกหรอให้กับระบบไฮดรอลิค เช่นใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ และระบบไฮดรอลิคเคลื่อนที่ | |||
ด้วยคุณสมบัติพิเศษของน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน และการคัดสรรเพิ่มคุณภาพที่ดีเยี่ยมทำให้น้ำมันพรีเมียม ไฮดรอฟาสท์ AW มีคุณสมบัติดีเยี่ยมในการป้องกันการสึกหรอ และการกัดกร่อน | |||
มีหลายเกรดความหนืดตามความเหมาะสมตามมาตรฐานตั้งแต่ ISO 10, 22, 32, 46, 68, 100 | |||
การใช้งาน | |||
เหมาะสมกับระบบไฮดรอลิคงานหนัก (ทั้งเครื่องจักรกลงานก่อสร้าง และเครื่องจักรในโรงงานอุตสาหกรรม) ที่ต้องการการป้องกันความสึกหรอที่ดีเยี่ยม ผลิตและออกแบบเพื่อรองรับความต้องการของปั้มไฮดรอลิคชนิดต่าง ๆ เช่น ระบบแวนปั๊ม, ระบบปั๊มลูกสูบและของปั๊มไฮดรอลิคชนิดต่าง ๆ เช่น ระบบแวนปั๊ม, ระบบป้องกันความสึกหรอ เช่น ระบบเกียร์ (งานเบา) ระบบปั๊มลูกสูบ และระบบเกียร์ปั๊ม สามารถหล่อลื่นเครื่องจักรอื่น ๆ ที่ต้องการคุณสมบัติ หรือเครื่องอัดอากาศ CNC) ที่สามารถทำงานหนักปานกลาง
หล่อลื่นระบบเครื่องมอเตอร์ไฟฟ้า ระบบเครื่องกลึง ออโตเมติค โลหะแบบฉีด, เครื่องอัดไฮดรอลิค, ไฮดรอลิค | |||
มาตรฐานสากล | |||
♦ DIN 51524 Part 2 HLP ♦ DENISON HF-2A/HF-0 ♦ Vickers M-2950-S/I-286-S3 ♦ AFNOR NFE 48-603 HM | |||
ขนาดบรรจุ | |||
18 ลิตร | 30 ลิตร | 200 ลิตร | 1000 ลิตร | |||
พรีเมียม ไฮดรอฟาสท์ | พรีเมียม ไฮดรอฟาสท์ | พรีเมียม ไฮดรอฟาสท์ | ||
เอดับบลิว 10 | เอดับบลิว 32 | เอดับบลิว 46 | ||
พรีเมียม ไฮดรอฟาสท์ | พรีเมียม ไฮดรอฟาสท์ | |||
เอดับบลิว 68 | เอดับบลิว 100 |
พรีเมียม ไฮดรอฟาสท์ เอ ดับบลิว เอช
น้ำมันไฮดรอลิค เป็นส่วนประกอบสำคัญของระบบไฮดรอลิค และเครื่องจักรแต่ละชนิดก็ใช้น้ำมันไฮดรอลิคแตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อมการใช้งาน เช่น การทนไฟ การทนความชื้น ทนแรงดัน เป็นต้น ดังนั้นจึงมีข้อควรพิจารณาในการ เลือกน้ำมันไฮดรอลิค เพื่อใช้ให้เหมาะสมกับการใช้งาน เครื่องจักรและน้ำมันหล่อลื่นจะต้องทำงานเป็นหนึ่งเดียวกัน ถามว่าหากใช้ผิดประเภทจะมีผลอะไรมั้ย ในการใช้งานอาจไม่เห็นภาพชัดเจน แต่หากใช้ไปเรื่อยๆ อาจไม่ส่งผลดี เป็นการใช้งานที่ไม่เกิดประสิทธิภาพและอาจทำให้เครื่องจักรเสื่อมสภาพเร็วกว่าที่ควรน้ำมันไฮดรอลิคกับเครื่องจักรต้องจับคู่กันให้ถูก
ถ้าจับคู่ไม่ถูกต้องจะเกิดอะไรขึ้น
- ประสิทธิภาพการทำงานของระบบไฮดรอลิคลดลง
- ส่วนประกอบและอะไหล่เครื่องจักรต่างๆ จะมีอายุการใช้ลดลง
- การหล่อลื่นไม่เพียงพอ
- อาจมีความร้อนสะสมมากเกินไป
- เกิดการกัดกร่อน ตกตะกอน และเกิดวานิชในน้ำมัน
สิ่งต้องพิจารณาในการ เลือกน้ำมันไฮดรอลิค
1. ประเภทของน้ำมันพื้นฐาน (Base Oil)
น้ำมันพื้นฐานหรือ Base Oil จะเป็นสารตั้งต้นในการทำน้ำมันไฮดรอลิค ซึ่งมีการแบ่งตามมาตรฐาน API ออกเป็น 5 กรุ๊ปคือ Group I ไปจนถีง Group V โดยน้ำมัน Group ตัวเลขสูงมาก ก็หมายถึงความบริสุทธิ์ของน้ำมันสูงมากเท่านั้น และประสิทธิภาพของน้ำมันจะสูงขึ้นตามไปด้วย เช่น ความสามารถในการทนความร้อนสูง ความสามารถในการทดต่อการแข็งตัวในอุณหภูมิที่ต่ำมากๆ เป็นต้น
2. สารปรุงแต่งน้ำมันไฮดรอลิก (Oil Additive)
เมื่อมีสารตั้งต้นแล้วก็มีสารปรุงแต่ง ซึ่งสิ่งนี้จะเป็นการแยกประเภทให้เหมาะสมกับการใช้งานของเครื่องจักร ว่าสามารถทำงานได้ดีในสภาวะอะไรบ้าง ซึ่งสารปรุงแต่งแบ่งประเภทเป็น
- Anti – Ware (AW) สารช่วยป้องกันการสึกหรอจากการเสียดสี ที่เกิดจากชิ้นส่วนเครื่องจักรมีการเคลื่อนไหวระหว่างการทำงาน โดยทำหน้าที่เป็น Solid Film โดยเป็นชั้นบางๆ เคลือบผิวโลหะไว้สำหรับกันโลหะกับโลหะสัมผัสกันโดยตรง สารที่พบมากที่สุดคือ Zinc (Zn)
- Anti – Foaming ช่วยยับยั้งการเกิดฟอง หรือช่วยให้ฟองแตกตัวได้เร็ว ไม่ไปสะสมอยู่ในระบบหล่อลื่น
- Anti Oxidation สารป้องกันไม่ให้ออกซิเจนทำปฎิกิริยากับเนื้อน้ำมัน เพื่อเป็นการยับยั้งการเสื่อมสภาพของน้ำมันหล่อลื่น
- ป้องกันสนิม สารเคลือบป้องกันผิวของโลหะ ช่วยในการลดความเสี่ยงการเกิดสนิมเมื่อสัมผัสกับออกซิเจน
- Pour Point Depressant ช่วยให้น้ำมันหล่อลื่นไม่แข็งตัวที่อุณหภูมิต่ำมากๆ หรือที่อุณหภูมิติดลบ
- Friction Modifier สารที่เกาะผิวโลหะเพื่อลดค่าความเสียดทาน หรือทำให้ผิวโลหะลื่นขึ้น
- Viscosity Index Improver สารช่วยลดอัตราการเปลี่ยนแปลงความหนืดของน้ำมันหล่อลื่นเมื่ออุณหภูมิเปลี่ยนไป ทำให้ความหนืดยังคงค่าเดิมมากที่สุด
- Cold Flow สารที่ช่วยให้สามารถใช้งานได้ในสภาวะหนาวจัด
3. ความหนืดของน้ำมันไฮดรอลิก (Viscosity of Hydraulic Oil)
ความหนืดของน้ำมันไฮดรอลิก เป็นการวัดค่าความต้านทานต่อการไหล ซึ่งความหนืดนี้มีความสำคัญอย่างมากต่อระบบไฮดรอลิก เป็นตัวชี้วัดว่าของเหลวไฮดรอลิกจะต้านทานการบีบอัดในอัตราที่แตกต่างกันไปอย่างไร ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับความหนืดที่ใช้ โดยจะใช้เวลาไหลผ่านระบบนานขึ้นเมื่อความหนืดเพิ่มขึ้น แต่น้ำมันไฮดรอลิกที่มีความหนืดสูงก็จะมีความหนา ซึ่งจะทำให้ถูกบีบอัดและเคลื่อนตัวได้ยาก ถ้าความหนืดต่ำจะมีความบางและไหลผ่านระบบได้ง่ายกว่า ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการใช้งาน
4. จุดวาบไฟของน้ำมัน (จุดวาบไฟ)
จุดวาบไฟ หมายถึงขั้นต่ำสุด อุณหภูมิต่ำสุด ที่ทำให้ของเหลวกลายเป็นไอเพียงพอต่อการเริ่มต้นลุกไหม้ขึ้นเมื่อมีแหล่งจุดติดไฟ แต่มีไม่เพียงพอที่จะลุกติดไฟได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งโดยทั่วไปจุดวาบไฟจะอยู่ที่ 225 องศาเซลเซียส หรือ 440 องศาฟาเรนไฮต์สำหรับน้ำมันแร่