การมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคม
เมื่อบุคคลมาอยู่รวมกันเป็นสังคม ปัญหาต่าง ๆ ก็ย่อมจะเกิดตามมาเสมอ ยิ่งสังคมมีขนาดใหญ่ ปัญหาก็ยิ่งจะมีมากและสลับซับซ้อนเป็นเงาตามตัว ปัญหาหนึ่งอาจจะกลายเป็นสาเหตุอีกหลายปัญหาเกี่ยวโยงกันไปเป็นลูกโซ่ ถ้าปล่อยไว้ก็จะเพิ่มความรุนแรง เพิ่มความสลับซับซ้อน และขยายวงกว้างออกไปเรื่อย ๆ ยากต่อการแก้ไข ความสงบสุขของประชาชนในสังคมนั้นก็จะไม่มี
แนวคิดในการพัฒนาสังคม
1. กระบวนการ (Process) การแก้ปัญหาสังคมต้องกระทำต่อเนื่องกันอย่างมีระบบ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากลักษณะหนึ่งไปสู่อีกลักษณะหนึ่ง ซึ่งจะต้องเป็นลักษณะที่ดีกว่าเดิม
2. วิธีการ (Method) การกำหนดวิธีการในการดำเนินงาน โดยเฉพาะเน้นความร่วมมือของประชาชนในสังคมนั้นกับเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลที่จะทำงานร่วมกัน และวิธีการนี้ต้องเป็นที่ยอมรับว่า สามารถนำการเปลี่ยนแปลงมาสู่สังคมได้อย่างถาวรและมีประโยชน์ต่อสังคม
3. กรรมวิธีเปลี่ยนแปลง (Movement) การพัฒนาสังคมจะต้องทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงให้ได้ และจะต้องเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น โดยเฉพาะเ น้นการเปลี่ยนแปลงทัศนคติของตน เพื่อให้เกิดสำนึกในการมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อผลประโยชน์ของส่วนรวม และรักความเจริญก้าวหน้าอันจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางวัตถุ
4. แผนการดำเนินงาน (Planning) การพัฒนาสังคมจะต้องทำอย่างมีแผน มีขั้นตอน สามารถตรวจสอบ และประเมินผลได้ แผนงานนี้จะต้องมีทุกระดับ นับตั้งแต่ระดับชาติ คือ แผนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ลงมาจนถึงระดับผู้ปฏิบัติ แผนงานจึงมีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งในการพัฒนาสังคม
การพัฒนาสังคมไทย สามารถกระทำไปพร้อม ๆ กันทั้งสังคมในเมืองและสังคมชนบท แต่เนื่องจากสังคมชนบทเป็นที่อยู่อาศัยของชนส่วนใหญ่ของประเทศ การพัฒนาจึงทุ่มเทไปที่ชนบทมากกว่าในเมือง และการพัฒนาสังคมจะต้องพัฒนาหลาย ๆ ด้าน ไปพร้อม ๆ กัน โดยเฉพาะที่เป็นปัจจัยต่อการพัฒนาด้านอื่น ๆ ได้แก่การศึกษา และการสาธารณสุข
1. ความสำคัญและประโยชน์ของการมีส่วนร่วม
เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ต้องการปฏิรูปการเมืองไปสู่สังคมประชาธิปไตยที่แท้จริง
ดังนั้น สาระสำคัญของรัฐธรรมนูญจึงมีผลกระทบต่อวิถีชีวิตของประชาชนทุกคน โดยสรุปดังนี้
- ส่งเสริมคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน
- ให้ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมือง
- มีการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ และปรับปรุงโครงสร้างทางการเมืองให้มีเสถียรภาพและ ประสิทธิภาพ
สิทธิ คือ ผลประโยชน์หรืออำนาจอันชอบธรรมที่กฎหมายรับรอง คุ้มครองให้มีทั้งสิทธิเอกชนส่วนบุคคล) และสิทธิมหาชน (สาธารณะ)
เสรีภาพ คือ สิทธิที่จะทำหรือไม่ทำอะไรก็ได้โดยไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่น ดังนั้นเสรีภาพที่กฎหมายรับรองจึงเป็นสิทธิ
สิทธิชุมชน ที่ประชาชนมีสิทธิตามกฎหมาย ได้แก่ การจัดการท้องถิ่น การจัดการสิ่งแวดล้อม การประชาพิจารณ์ เป็นต้น
สิทธิในการดำรงชีวิต ทุกคนมีสิทธิที่จะดำรงชีวิตได้โดยอิสระตามกฎหมายกำหนด สิทธิดังกล่าวนั้นประกอบด้วย สิทธิที่จะได้รับการศึกษา การรับข้อมูลข่าวสาร และการฟ้องหน่วยราชการ ฯลฯ
การมีส่วนร่วมของประชาชนคือ การให้โอกาสประชาชนเป็นฝ่ายตัดสินใจกำหนดปัญหาความต้องการของตนเองอย่างแท้จริง เป็นการเสริมพลังอำนาจให้แก่ประชาชน/กลุ่มองค์กรชุมชนให้สามารถระดมขีดความสามารถในการจัดการทรัพยากร การตัดสินใจ และการควบคุมดูแลกิจกรรมต่างๆ ในชุมชนมากกว่าที่จะเป็นฝ่ายตั้งรับ สามารถกำหนดการดำรงชีวิตได้ด้วยตนเอง ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นตามความจำเป็นอย่างมีศักดิ์ศรีและสามารถพัฒนาศักยภาพของประชาชน/ชุมชนในด้านภูมิปัญญา ทักษะ ความรู้ ความสามารถ และการจัดการและรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลกได้ และประชาชนจะต้องเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการอย่างมีอิสระ การทำงานต้องเน้นในรูปกลุ่มหรือองค์กรชุมชนที่มีวัตถุประสงค์ในการเข้าร่วมอย่างชัดเจน เนื่องจากพลังกลุ่มจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้งานพัฒนาต่างๆ บรรลุสำเร็จตามความมุ่งหมายได้
2. ประโยชน์ของการมีส่วนร่วม
1. เพิ่มคุณภาพในการตัดสินใจ (ตรงตามความต้องการ)
2. สร้างฉันทามติ (ลดความขัดแย้ง)
3. เพิ่มความง่ายต่อการนำไปปฏิบัติ (ความเป็นเจ้าของร่วม)
4. ดำรงไว้ซึ่งความน่าเชื่อถือ/ชอบธรรม
ทำไมประชาชนต้องเข้ามามีส่วนร่วม
1. ประชาชนมีความรู้ ความสามารถ
2. เพื่อแก้ปัญหาสังคม “ปัญหาของเรา”
3. เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในชุมชน
4. เพื่อสร้างผู้นำในอนาคต
5. สร้างแนวในการแก้ปัญหาร่วมกัน
การเมืองภาคพลเมือง
การเมืองภาคพลเมือง หมายถึง การมีส่วนร่วมของประชาชนในฐานะที่เป็นพลเมืองในเรื่องต่อไปนี้
- การมีส่วนร่วมในการปฏิบัติตามกฎหมายเพื่อสร้างความยุติธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม
- การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจอย่างมีเหตุผลในเรื่องเกี่ยวกับสาธารณชนและชุมชน
- การมีส่วนร่วมในการดำเนินกิจกรรมของกลุ่ม และของชุมชนในฐานะสมาชิกหรือผู้นำ
- การมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาหรือความขัดแย้งโดยสันติวิธีและมีความรับผิดชอบ
- การปฏิบัติตนต่อผู้อื่นในสถานที่ทำงานด้วยความยุติธรรมทั้งในฐานะนายจ้าง ลูกจ้างและเพื่อนร่วมงาน
การที่จะทำให้การเมืองภาคพลเมืองเกิดผลสำเร็จนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญ คือ การมีวิถีชีวิตแบบประชาธิปไตยของบุคคล ซึ่งประกอบด้วยพฤติกรรมที่แสดงออก 3 ลักษณะ ดังนี้
- คารวะธรรม
- เคารพในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
- เคารพซึ่งกันและกันทางกาย
- เคารพทางวาจา
- เคารพในสิทธิของผู้อื่น
- เคารพในความคิดเห็นของผู้อื่น
- เคารพในกฎ ระเบียบของสังคม
- มีเสรีภาพและใช้เสรีภาพในขอบเขต
2. สามัคคีธรรม
- รู้จักประสานประโยชน์โดยถือประโยชน์ของส่วนรวมหรือของชาติเป็นที่ตั้ง
- ร่วมมือกันในการทำงาน
- เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม
- รับผิดชอบต่อหน้าที่
- มีน้ำหนึ่งใจเดียว รักหมู่คณะ ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
3. ปัญญาธรรม
- การไม่ถือตนเป็นใหญ่
- เน้นการใช้ปัญญา ใช้เหตุผล และความถูกต้องในการตัดสินปัญหา
- เมื่อมีปัญหาโต้แย้ง ต้องพยายามใช้เหตุผลให้เห็นคล้อยตาม วิธีสุดท้ายคือการออกเสียงหรือใช้เสียงข้างมาก
- เมื่อได้รับข่าวสารข้อมูลแล้ว วิเคราะห์ประมวลเหตุการณ์ต่างๆ ด้วยสติปัญญา
แนวทางการมีส่วนร่วม
- สนใจติดตามข้อมูลข่าวสารด้านการเมือง
- ติดตาม ตรวจสอบการทำงานและพฤติกรรมของนักการเมือง
- สนับสนุนผู้สมัครและพรรคการเมืองที่ดี
- ต่อต้านนักการเมืองที่ไม่ดี
- ให้ความร่วมมือกับทางราชการในการพัฒนาประเทศ เช่น เสียภาษี ปฏิบัติตามกฎหมาย ปฏิบัติตนเป็นพลเมืองดี
- คัดค้านนโยบายที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ส่วนรวม โดย
- ศึกษาข้อเท็จจริงให้ถี่ถ้วน
- นำเสนอปัญหาให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ
- ชุมนุมคัดค้านโดยไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น
7. ร่วมกันปกป้องสิทธิของตนไม่ให้ถูกละเมิด
8. เผยแพร่ความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องทางการเมือง
การเมืองภาคตัวแทน
การเมืองภาคตัวแทน หมายถึง การปกครองที่ไม่ได้ให้ประชาชนกำหนดนโยบายของรัฐได้โดยตรง แต่ประชาชนจะมอบอำนาจด้วยการเลือกตัวแทนไปใช้อำนาจแทน
มีข้อเสียคือ เนื่องจากประชาชนไม่ได้กำหนดนโยบายของรัฐโดยตรง ดังนั้นตัวแทนอาจบิดเบือนไม่ได้ใช้อำนาจตามเจตนารมณ์ของประชาชน แต่มีข้อดีตรงที่ประชาชนไม่ต้องยุ่งยาก และข้อดีที่สำคัญที่สุดคือ หากให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจนโยบายของรัฐในบางเรื่องที่ประชาชนไม่มีความรู้ ความเข้าใจที่เพียงพอ อาจก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมากได้ ดังนั้น การให้ประชาชนพิจารณาเลือกคนดีที่มีความรู้ดีในเรื่องนั้นๆ ไปตัดสินใจแทนน่าจะประสบผลดีกว่า
สำหรับการเมืองภาคตัวแทนในประเทศไทย ได้กำหนดให้ประชาชนเลือกฝ่ายนิติบัญญัติแล้วให้ ฝ่ายนิติบัญญัติเลือกฝ่ายบริหาร ดังนั้นระบบนี้จะมีการคานอำนาจถ่วงดุลกันระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร และที่เรียกว่า ประชาธิปไตยทางอ้อมระบบรัฐสภาก็เพราะว่า กำหนดให้รัฐสภา (ฝ่ายนิติบัญญัติ) มีอำนาจมากกว่าฝ่ายบริหาร กล่าวคือ รัฐสภาเป็นผู้เลือกและตรวจสอบฝ่ายบริหาร รวมถึงสามารถปลดฝ่ายบริหารออกได้ (ด้วยการเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ) แต่ก็ให้ฝ่ายบริหารคานอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติได้ด้วยการยุบฝ่ายนิติบัญญัติ (ยุบสภาฯ) แต่มีผลให้ฝ่าบริหารต้องพ้นจากตำแหน่งไปด้วย
การมีส่วนร่วมในกระบวนการเลือกตั้ง
การเลือกตั้ง ส.ส. และ ส.ว. รวมทั้งการเลือกตั้งท้องถิ่น เป็นสิทธิและหน้าที่ของประชาชน การเลือกตั้งจะบรรลุเป้าหมายของการคัดเลือกตัวแทนของประชาชนเข้าไปออกกฎหมายและเข้าไปบริหารประเทศ รวมทั้งการกลั่นกรองกฎหมายหรือข้อบัญญัติท้องถิ่นก็ต่อเมื่อประชาชนเข้าใจการเมือง และเข้าใจว่าการเลือกตั้งที่ทุจริตคือบ่อเกิดของการฉ้อราษฎร์บังหลวง ดังนั้นประชาชนจะต้องมีส่วนร่วมในการเลือกตั้งและถือว่าเป็นหน้าที่ที่จะต้องช่วยกันทำให้การเลือกตั้งสุจริตและเที่ยงธรรม เพื่อให้คนดีเข้าไปพัฒนาท้องถิ่นและประเทศ
ประชาชนมีส่วนร่วมได้ดังนี้
- สมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมือง
- สอดส่องดูแลการเลือกตั้ง คอยแจ้งให้คณะกรรมการการเลือกตั้งทราบ เมื่อพบเบาะแสการทุจริตและการซื้อสิทธิขายเสียง
- ไปใช้สิทธิเลือกตั้งโดยพร้อมเพรียงกัน
- สำหรับผู้ที่ต้องการตรวจสอบการเลือกตั้ง สามารถทำได้โดยเข้าไปเป็นสมาชิก หรืออาสาสมัครขององค์การเอกชนที่คณะกรรมการการเลือกตั้งรับรอง และสนับสนุนให้ตรวจสอบการเลือกตั้ง
- สำหรับผู้ที่ต้องการจัดการเลือกตั้ง อาจเข้ามามีส่วนร่วมโดยการเป็นกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัด กรรมการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้ง กรรมการการเลือกตั้งประจำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง (กปน.) หรือกรรมการนับคะแนนเลือกตั้ง (กนค.) ทั้งนี้ต้องเป็นไปตามเกณฑ์ที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด
สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง. (2554). คู่มือการฝึกอบรมผู้บังคับบัญชาลูกเสือ ระดับผู้นำ ขั้นความรู้ชั้นสูง โครงการลูกเสืออาสา กกต. เพื่อพัฒนาประชาธิปไตย. กรุงเทพฯ: สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง.