สิ่งแวดล้อม คือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวมนุษย์ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต รวมทั้งที่เป็นรูปธรรม (สามารถจับต้องและมองเห็นได้) และนามธรรม (ตัวอย่างเช่นวัฒนธรรมแบบแผน ประเพณี ความเชื่อ) มีอิทธิพลเกี่ยวโยงถึงกัน เป็นปัจจัยในการเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน ผลกระทบจากปัจจัยหนึ่งจะมีส่วนเสริมสร้างหรือทำลายอีกส่วนหนึ่ง อย่างหลีกเลี่ยงมิได้ สิ่งแวดล้อมเป็นวงจรและวัฏจักรที่เกี่ยวข้องกันไปทั้งระบบ
- สิ่งแวดล้อมแบ่งออกเป็นลักษณะกว้าง ๆ ได้ 2 ส่วนคือ
- สิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น ป่าไม้ ภูเขา ดิน น้ำ อากาศ ทรัพยากร
- สิ่งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น ชุมชนเมือง สิ่งก่อสร้างโบราณสถาน ศิลปกรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี และวัฒนธรรม
สิ่งแวดล้อม ( environment ) หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวเรา
ทรัพยากรธรรมชาติ ( natural resources ) หมายถึง สิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และมนุษย์สามารถนำไปใช้ประโยชน์ ได้แก่ ดิน แร่ธาตุ ป่าไม้ สัตว์ป่า น้ำ และอากาศ ทรัพยากรธรรมชาติจึงเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งแวดล้อม เนื่องจากสิ่งแวดล้อมหนึ่งอาจจะประกอบด้วยสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมีทั้งสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต ดังนั้น จึงอาจจำแนกสิ่งแวดล้อมได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้
1. สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ ( physical environment ) คือ สิ่งแวดล้อมที่ไม่มีชีวิต เช่น อุณหภูมิ ความชื้น กระแสลม กระแสน้ำ อากาศ แร่ธาตุ ความเป็นกรด-เบส ภูเขา ก้อนหิน แม่น้ำ รวมทั้งอาคารบ้านเรือนที่มนุษย์สร้างขึ้น
2. สิ่งแวดล้อมทางชีวภาพ ( biological environment ) คือ สิ่งแวดล้อมที่มีชีวิต เช่น พืช สัตว์ มนุษย์
สิ่งแวดล้อมทุกชนิดมีอิทธิพลต่อการเจริญเติบโต การดำรงชีวิต การแพร่กระจายของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ เนื่องจากสิ่งแวดล้อมแต่ละชนิดมีความสำคัญต่อสิ่งมีชีวิตแตกต่างกัน หากปัจจัยใดมีความจำเป็นต่อสิ่งมีชีวิตมาก ถ้าขาดไปจะทำให้สิ่งมีชีวิตชนิดนั้นดำรงชีวิตอยู่ไม่ได้ เรียกปัจจัยนั้นว่า ปัจจัยจำกัด ( limiting factor) ของสิ่งมีชีวิตนั้น ๆ เช่น แก๊สออกซิเจนเป็นปัจจัยจำกัดของมนุษย์ ถ้ามนุษย์ขาดแก๊สออกซิเจนจะทำให้เสียชีวิต
สิ่งแวดล้อมทางกายภาพมีความสำคัญดังนี้
1. แสงสว่าง มีความสำคัญต่อพืชและสัตว์ พืชสีเขียวมีคลอโรฟิลล์ ได้รับพลังงานแสงจากดวงอาทิตย์ เพื่อใช้ในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง พืชแต่ละชนิดต้องการปริมาณแสงแตกต่างกัน เช่น ต้นมะลิต้องการแสงปริมาณมาก แต่ต้นพลูด่างต้องการแสงเพียงเล็กน้อย สัตว์ที่อาศัยอยู่ในบริเวณที่มีพืชดังกล่าวจึงมีความแตกต่างกัน
นอกจากนี้แสงสว่างยังมีผลต่อสัตว์บางชนิด เช่น นกฮูก นกค้างคาว ซึ่งชอบออกหากิน ในเวลากลางคืน เนื่องจากมีแสงสว่างน้อย ส่วนสัตว์หลายชนิดออกหากินในเวลากลางวัน เช่น นก ไก่ ผีเสื้อ วัว
2. อุณหภูมิ สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ดำรงชีวิตอย่างปกติในช่วงอุณหภูมิประมาณ 10-30 องศาเซสเซียส ในระบบนิเวศที่มีอุณหภูมิสูงมาก มีสัตว์อาศัยอยู่น้อยทั้งจำนวน ชนิด และปริมาณ เช่น ระบบนิเวศทะเลทราย มีอูฐ นกกระจอกเทศ แมลง งูบางชนิดที่เคลื่อนที่ได้เร็วมาก พืชที่ขึ้นในทะเลทรายจะมีใบเปลี่ยนไปเป็นหนามเพื่อลดอัตราการคายน้ำ เช่น ต้นกระบองเพชร การงอกของเมล็ดพืชจะงอกได้ดีที่อุณหภูมิเหมาะสม คือ ประมาณ 20-40 องศาเซสเซียส ส่วนบริเวณขั้วโลกมีสัตว์อาศัยอยู่น้อย เช่น หมีขวา นกเพนกวิน
รูปแสดงอูฐในทะเลทราย
3. น้ำหรือความชื้น ความชื้นในบรรยากาศเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล ซึ่งมีผลต่อสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ ในเขตร้อนฝนตกชุกจะมีพันธุ์พืชและสัตว์หลายชนิด ซึ่งมากกว่าในเขตหนาวที่อากาศแห้งแล้ง
รูปแสดงกวางกินน้ำ รูปแสดงม้าน้ำ
4. แร่ธาตุและแก๊ส แร่ธาตุที่อยู่ในดินมีผลต่อการเจริญเติบโตของพืช สัตว์บางชนิดกินแร่ธาตุในดินเพื่อการดำรงชีวิต แร่ธาตุและแก๊สที่สำคัญ ได้แก่ ออกซิเจน ไนโตรเจน คาร์บอน ฟอสฟอรัส โซเดียม และโพแทสเซียม ในระบบนิเวศที่ต่างกันจะมีปริมาณแร่ธาตุต่างกัน ปริมาณแร่ธาตุที่เหมาะสมจะช่วยให้สิ่งมีชีวิตเจริญเติบโตได้ดี แต่บางครั้งถ้ามีแร่ธาตุมากเกินไปจะมีผลไปทำลายสิ่งมีชีวิตชนิดนั้น เช่น ในทะเลสาบบางแห่งมีแร่ธาตุโคบอลต์มากเกินไป ทำให้แพลงตอนพืชหยุดการเจริญเติบโตและไม่สามารถแพร่พันธุ์ได้
5. ความเป็นกรด-เบสของดินและน้ำ พืชแต่ละชนิดจะเจริญเติบโตได้ดีในดินที่มีค่าความเป็นกรด-เบสแตกต่างกัน ถ้าความเป็นกรด-เบสของดินและน้ำไม่เหมาะสมจะมีผลต่อการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิต เช่น ถ้าความเป็นกรด-เบสต่ำกว่า 5 หรือสูงกว่า 9 อาจทำให้พืชไม่เจริญเติบโตและตายได้
6. ความเค็มของดิน พืชส่วนใหญ่เจริญเติบโตได้ดีในดินทั่ว ๆ ไป ซึ่งมีเกลือโซเดียมคลอไรด์น้อยมาก แต่พืชบางชนิดสามารถเจริญเติบโตได้ดีในดินกร่อยหรือดินเค็ม เช่น ผักบุ้งทะเล โกงกาง ต้นชะคราม
รูปแสดงต้นโกงกาง