การขับร้อง หมายถึง การเปล่งเสียงออกมาเป็นถ้อยคำ เสียงสูง - ต่ำตามทำนองที่มีจังหวะกำหนดแน่นอน โดยคำว่า "ขับ"กับคำว่า "ร้อง" ๑. การขับร้องอิสระ ความหมาย และประเภทของการขับร้อง
การขับ หมายถึง การเปล่งเสียงสูง - ต่ำ เป็นทำนองตามบทเพลง หรือบทกวีนิพนธ์โดยเน้นคำเป็นสำคัญ ไม่มีการกำหนดความสั้น - ยาวของเสียง
หรือจังหวะที่แน่นอน เช่น การแหล่ การขับกล่อม ขับเสภา ขับลำนำ การแอ่ว เป็นต้น
การร้อง หมายถึง การเปล่งเสียงออกมาเป็นทำนองเพลงที่มีจังหวะแน่นอน
การขับร้องเพลงไทย แบ่งเป็น ๔ ประเภท ดังนี้
การขับร้องอิสระ หมายถึง การขับร้องที่ไมีการบรรเลงดนตรีมาเกี่ยวข้อง โดยที่ผู้ขับร้องสามารถกำหนดเสียงสูง - ต่ำ ได้ตามความพอใจ
ไม่ต้องคำนึงถึงระดับเสียงของเครื่องดนตรี แต่ต้องรักษาระดับเสียงให้คงที่ ไม่เพี้ยน อีกทั้งต้องระมัดระวังบทร้องให้ถูกต้องตามแบบฉบับ เช่น การฝึกหัดขับร้องในห้องเรียน เป็นต้น
๒. การขับร้องประกอบดนตรี
การขับร้องประกอบดนตรี หมายถึง การขับร้องประกอบการบรรเลงเครื่องดนตรีอาจจะบรรเลงรวมเป็นวงหรือไม่เป็นวงก็ได้ การขับร้องประเภทนี้ผู้ขับร้องต้องคำนึงถึงระดับเสียงรูปแบบแนวทำนอง
และจังหวะให้กลมกลืนเหมาะสมกับการบรรเลงเครืองดนตรี ซึ่งมีหลายลักษณะ ได้แก่ คลอ เคล้า ลำลอง และร้องส่ง หรือร้องรับ
* คลอ หมายถึง การขับร้องและบรรเลงเพลงเดียวกันไปพร้อมๆ กัน โดยผู้บรรเลงดนตรีต้องบรรเลงให้เสียง และทำนองใกล้เคียงกับเสียงของผู้ขับร้องให้มากที่สุด เช่น การขับร้องที่มีผู้บรรเลง ซอสามสายคลอเสียงของผู้ขับร้อง เป็นต้น
* เคล้า หมายถึง การขับร้อง
และบรรเลงเพลงกันไปพร้อมๆกัน โดยที่ผู้ขับร้อง และ ผู้บรรเลงดนตรีต่างดำเนินทำนองตามทางของตนเองในระดับเสียงเดียวกัน
* ลำลอง หมายถึง การขับร้องไปพร้อมๆกับการบรรเลง อาจจะเป็นเพลงเดียวกันหรือไม่ก็ได้โดยผู้ขับร้อง และผู้บรรเลงดนตรีต่างมีอิสระไม่ขึ้นแก่กัน เพียงแต่เป็นเพลงที่มีระดับเสียงเดียวกันเพื่อให้เกิดความไพเราะ และกลมกลืน
* ร้องส่ง หรือ ร้องรับ หมายถึง การขับร้องสลับกับการบรรเลงเพลงเดียวกัน
โดยปกติผู้ขับร้องจะร้องส่งให้ดนตรีรับทีละท่อน เมื่อดนตรีบรรเลงจบท่อนก็จะทอดจังหวะส่งให้ผู้ขับร้องร้องท่อนหรือเพลงต่อไป การร้องส่ง หรือ ร้องรับ ผู้ขับร้องต้องขับร้องให้ระดับเสียงตรงกับเสียงของเครื่องดนตรี
๓. การขับร้องประกอบการแสดง
การขับร้องประกอบการแสดง หมายถึง การขับร้องประกอบกิริยาอาการของนักแสดงหรือบรรยายเรื่องราว เพื่อดำเนินเนื้อเรื่องของการแสดงนั้นๆ เช่น การแสดงโขน ละคร หนังใหญ่ หุ่นกระบอก
เป็นต้น การขับร้องประกอบการแสดง นอกจากผู้ขับร้องต้องคำนึงถึงระดับเสียงให้ตรงกับเครื่องดนตรีแล้ว ยังต้องใส่อารมณ์ตามบทร้อง เพื่อให้ผู้ชมเกิดอารมณ์คล้อยตามด้วย
๔. การขับร้องหมู่
การขับร้องหมู่ หมายถึง การขับร้องพร้อมกันมากกว่า ๑ คนขึ้นไป แบ่งเป็น ๒ ลักษณะ คือการขับร้องหมู่ทำนองเดียวกัน และการขับร้องประสานเสียง
* การขับร้องหมู่ทำนองเดียวกัน หมายถึง
การที่ผู้ขับร้องทุกคนขับร้องทั้เนื้อร้อง ทำนอง จังหวะ และระดับเสียงเดียวกัน พร้อมกัน การขับร้องลักษณะนี้ผู้ขับร้องทุกคนต้องคำนึงถึง เนื้อร้อง ทำนอง จังหวะ และระดับเสียง ให้ออกมาเป็นหนึ่งเดียว
* การขับร้องประสานเสียง หมายถึง การขับร้องที่แบ่งผู้ขับร้องเป็นกลุ่มๆ ขับร้องเพลงเดียวกัน แต่ทำนอง หรือระดับเสียงอาจต่างกัน แล้วแต่แนวประสานเสียงที่กำหนด
โดยปกติการขับร้องเพลงไทย
ถ้าเป็นเพลงไทยเดิมนิยมบรรเลงเครื่องดนตรีทั้งวงสลับรับ - ส่งกับการขับร้อง ยกเว้นการขับร้องประกอบการเสียงที่การบรรเลง และขับร้องจะดำเนินไปพร้อมๆกัน
ส่วนการบรรเลง และขับร้องเพลงพื้นบ้านส่วนใหญ่ เป็นการขับร้องโดยมีเครื่องดนตรีประกอบจังหวะร่วมทำจังหวะ เพื่อให้เกิดความสนุกสนาน เช่น ลำตัด พ่อเพลง แม่เพลง จะด้นบทร้องไปพร้อมกับผู้ตีเครื่องดนตรีประกอบจังหวะ คือ รำมะนา ฉิ่ง และร้องรับเป็นลูกคู่
เป็นต้น
โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้
เครื่องหมาย และสัญลักษณ์ในดนตรีสากล
เครื่องหมาย และสัญลักษณ์ทางดนตรีสากลที่ประดิษฐ์ขึ้น เพื่อใช้ในการบันทึกบทเพลงต่างๆมิให้สูญหาย และเป็นที่ยอมรับกันในระดับสากล มีดังนี้ 1. บรรทัด 5 เส้น (Staff) บรรทัด 5 เส้น เป็นสัญลักษณ์ทางดนตรีที่ผู้เรียนดนตรีสากลควรทราบต่อจากตัวโน้ตและตัวหยุด เป็นสิ่งที่แสดงว่าตัวโน้ตที่บันทึกลงในบรรทัด 5 เส้นนี้มีระดับใด เสียงสูง หรือต่ำ กว่าตัวโน้ตตัวอื่นๆ หรือไม่ ลักษณะของบรรทัด 5 เส้น หรือเส้นบันทึกโน้ต เป็นเส้นตรงแนวนอน 5 เส้น ที่ขนานกันและมีระยะห่างเท่าๆกัน ใช้สำหรับบันทึกตัวโน้ตและตัวหยุด วิธีการนับเส้นและช่อง จะนับจากเส้นข้างล่างขึ้นไปหาเส้นข้างบน ดังนี้ นอกจากบรรทัด 5 เส้น ซึ่งใช้เป็นหลักในการบันทึกตัวโน้ต และตัวหยุดแล้ว ยังมีเส้นที่ใช้ขีดใต้ บรรทัด 5 เส้น หรือ เหนือบรรทัด 5 เส้น เป็นเส้นสั้นๆ ที่ใช้ขีดเฉพาะตัวโน้ตที่มีระดับเสียงต่ำกว่า หรือมีระดับเสียงสูงกว่าเส้นที่ปรากฏในบรรทัด 5 เส้น เรียกเส้นสั้นๆนี้ว่า เส้นน้อย (Ledger Line) 2. ลักษณะตัวโน้ต และตัวหยุด 1) ตัวโน้ต คือ เครื่องหมายที่ใช้บันทึกแสด
ปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการสร้างสรรค์งานดนตรี
การสร้างสรรค์บทเพลง หรือประพันธ์เพลงไทยแต่ละเพลง เปรียบได้กับการประพันธืบทร้อยกรองในลักษณะต่างๆ เช่น โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน เป็นต้น เพราะการสร้งสรรค์บทเพลงไทยจะต้องพิจารณษนำเสียงแต่ละเสียงมาเรียบเรียงให้สอดประสานกลมกลืนกันอย่างเหมาะสมสามารถสื่ออารมณ์ความรู้สึกต่างๆ ตามที่ตนต้องการถ่ายทอดให้แก่ผู้ฟังได้ ขณะเดียวกันต้องคำนึงถึงรูปแบบของเพลงแต่ละประเภทให้เป็นไปตามแบบแผนที่กำหนดไว้ด้วย เช่นเดียวกับการประพันธ์บทร้อยกรองต่างๆ ที่ผู้ประพันธ์ต้องคัดสรรคำแต่ละให้มีทั้งเสียงและความหมาที่สัมผัสคล้องจองกัน มีสัมผัสใน สัมผัสนอก แบ่งวรรคตอนให้ครบถ้วนตามแบบแผนที่กำหนดไว้ โดยปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการสร้างสรรค์งานดนตรี มีดังนี้ ๑) ธรรมชาติ เป็นสิ่งหนึ่งที่มีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อจินตนาการของผู้ประพันธ์บทเพลงไทย การได้เห็นธรรมชาติที่สวยงามไม่ว่าจะเป็นภูเขา นำ้ตก ทะเล ต้นไม้ ดอกไม้ หรือได้ยินได้ฟังเสียงของสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เช่น เสียงคลื่น ลม น้ำตก ฝน ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า เสียงร้องของสัตว์ต่างๆ เป็นต้น ย่อมทำให้ศิลปิน หรือผู้ที่ได้สัมผัสสิ่งต่างๆเหล่า่นั้น เกิดจิน
วิวัฒนาการของดนตรีไทยในแต่ละยุคสมัย (สุโขทัยและอยุธยา)
การศึกษาเรื่องราวของดนตรีไทยนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทราบถึงแหล่งกำเนิด ความเป็นมา และวิวัฒนาการของดนตรีไท่ยในแต่ละยุคสมัย เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความซาบซึ้ง มองเห็นคุณค่าของดนตรีไทย อันเป็นมรดกทางศิลปวัฒนธรรมประจำชาติไทย ซึ่งการแบ่งยุคสมัยทางดนตรีของไทยจะนิยมกำหนดตามยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ดังต่อไปนี้ 1. สมัยสุโขทัย สมัยสุโขทัยนับเป็นสมัยเริ่มต้นที่คนไทยรวตัวกันเป็นชาติอย่างสมบูรณ์ แทนที่จะเป็นเพียงอาณาจักรที่มีเขตอิทธิพลอย่างจำกัดดังแต่กอ่น เรื่องราวของสุโขทัยมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น เมื่อพ่อขุนรามคำแหงได้ประดิษฐ์อักษรไทยและจารึกเรื่องราวต่างๆ ลงในหลักศิลาจารึก และจากศิลาจารึกนี้เองทำให้คนรุ่นหลังทราบว่าสมัยสุโขทัยเป็นยุคสมัยหนึ่งที่มีความเจริญก้าวหน้าทางด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมือง การทหาร ภาษา และศิลปวัฒนธรรม ชาวเมืองมีเครื่องเล่นสร้างควงามรื่นเริงบันเทิงใจ และมีอิสระเสรีที่จะแสดงออกในเรื่องราวของบทเพลงและดนตรี เพลงและเรื่องราวของดนตรีบางส่วนจึงปรากฏอยู่บนหลักศิลาจารึก เช่น ข้อความที่ว่า "เสียงพาทย์ เสียงพิณ เสียงเลื่อน เสียงขับ"