การฟัง คือ การรับรู้ความหมายจากเสียงที่ได้ยิน เป็นกระบวนการทำงานของสมอง ส่วนการได้ยินเป็นจุดเริ่มต้นของการฟัง เป็นเพียงการกระทบกันของเสียงกับประสาทหูตามปกติ
จุดมุ่งหมายของการฟัง
1. เพื่อสื่อสารในชีวิตประจำวัน การฟังประเภทนี้ทำให้มนุษย์คงความสัมพันธ์ที่ดีตลอดไปซึ่งเป็นพฤติกรรมปรกติของมนุษย์
2. เพื่อความเพลิดเพลิน เป็นการฟังเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียด จัดเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมนันทนาการ การฟังประเภทนี้ขึ้นอยู่กับรสนิยมของผู้ฟัง.
3. เพื่อรับความรู้ เป็นการฟังเรื่องราว ข่าวสาร วิชาการ ข้อเสนอแนะ
ผู้ฟังต้องจดจำสาระและใช้ความคิด วิเคราะห์ ตีความ สังเคราะห์ และประเมินค่าตามลำดับ
4. เพื่อได้คติชีวิตและความจรรโลงใจ จรรโลงใจ คือ การยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น การฟังเพื่อได้คติชีวิตและความจรรโลงใจ มีผลทำให้ผู้ฟังเกิดวิจารณญาณ เกิดสติปัญญา มีความสุขุม ผู้ฟังจึงต้องตั้งใจฟัง
และการฟังประเภทนี้มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิต เพราะจะช่วยให้ผู้ฟังมีแนวทางในการดำเนินชีวิตที่ดีงาม และไปในทางที่สร้างสรรค์ เลือกเชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ รู้จักปฏิเสธในสิ่งที่ตนพิจารณาแล้วว่าไม่ชอบด้วยเหตุผล หรือขัดต่อสภาพความเป็นจริง
การฟังให้สัมฤทธิ์ผล
ฟังให้สัมฤทธิ์ผล หมายถึง ฟังให้ได้รับความสำเร็จ การฟังให้สัมฤทธิ์ผลจะมีระดับสูงหรือต่ำ มากน้อย ขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญคือ โอกาสของการฟัง และระดับขั้นของการฟัง ดังนั้นขั้นแรกผู้ฟังจึงควรวิเคราะห์โอกาสที่ฟัง
โอกาสของการฟัง
1. การฟังระหว่างบุคคล เป็นการฟังที่ไม่เป็นทางการ เช่นฟังการสนทนา การสอบถาม คำแนะนำ
2. การฟังในกลุ่มขนาดเล็ก เป็นการฟังกึ่งทางการเช่นการปรึกษาหารือร่วมกัน วางแนวทางปฏิบัติร่วมกัน
3. การฟังในที่ประชุม เป็นการฟังที่เป็นทางการ ผู้ฟังต้องรักษากิริยามารยาท เช่น ฟังการบรรยาย สาธิต
4. การฟังจากสื่ออิเล็กทรอนิกส์
เป็นการฟังที่ไม่เป็นทางการ
1. ทราบว่าจุดประสงค์ได้แก่อะไร
2. ทราบว่าเนื้อความครบถ้วนแล้วหรือไม่//อย่างไร
3. พิจารณาได้ว่าน่าเชื่อถือหรือไม่ //เพราะอะไร
4.
เห็นว่าสารนั้นมีคุณค่าหรือไม่ อย่างไร
ใช้ดุลยพินิจแล้วผู้ฟังยังสามารถบอกได้อีกว่าสารที่ส่งมามีคุณค่าเพียงใด ในแง่ใดบ้าง ถ้าสามารถตอบคำถามข้างต้นได้ถือว่าผู้ฟังสามารถฟังได้สัมฤทธิ์ผลสูงมากเป็นพิเศษ
คำว่า “ดุลยพินิจ” หมายถึง การใช้ปัญญาพิจารณาด้วยความไม่เอนเอียง ปราศจากอคติ เป็นความสามารถที่ค่อย ๆ เจริญขึ้นในตัวบุคคลเมื่อมีโอกาสได้รับการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอจากบิดา มารดา ครู อาจารย์ สภาพแวดล้อม
1. ฟังเรื่องที่ไม่ยากและไม่ยาวจนเกินไป เช่น ฟังข่าววิทยุ และโทรทัศน์แล้วสามารถจับสาระ ของเรื่องมาเล่าให้ผู้อื่นฟังได้
2. หาโอกาสฟังสิ่งที่มีสารประโยชน์อยู่เป็นนิจ เช่น ฟังรายการสารคดีทางวิทยุและโทรทัศน์ แล้วนำมาวิเคราะห์วิจารณ์กับผู้ที่ได้ฟังรายการด้วยกัน
จะช่วยพัฒนาความสามารถในการฟังของเราให้สัมฤทธิ์ผลสูงขึ้น
3. หมั่นฟังการบรรยายหรือการอภิปรายในโอกาสต่าง ๆ เช่น สัปดาห์หนังสือแห่งชาติ วันครู วันเด็ก
4. บันทึกเรื่องที่ได้ยินได้ฟังไว้เสมอ เพื่อสามารถที่จะเก็บข้อมูล หลักฐานต่าง ๆ ที่จะนำมาใช้ตรวจสอบภายหลัง
1. การฟังเฉพาะหน้าผู้ใหญ่
ผู้ฟังพึงสำรวมกิริยาอาการ สบตากับผู้พูดเป็นระยะ ๆ ให้พอเหมาะ แต่ไม่ถึงกับจ้องหน้า ไม่ชิงพูดก่อนที่คู่สนทนาจะพูดจบความ ถ้าฟังไม่เข้าใจควรถามเมือผู้พูดพูดจบกระแสความ
2. การฟังในที่ประชุม ในที่ประชุมขณะที่ประธานหรือผู้ร่วมประชุมคนอื่นพูด
เราจำเป็นต้องตั้งใจฟัง อาจจดข้อความสำคัญไว้ ไม่ควรพูดกระซิบกับคนอื่นที่อยู่ข้างเคียง ไม่ควรพูดแซงขึ้นต้องฟังจนจบแล้วจึงขออนุญาตพูด
3. การฟังในที่สาธารณะ ข้อควรระวังสำหรับการฟังในที่สาธารณะ เช่น โรงละคร โรงภาพยนตร์ มีดังนี้
1) รักษาความสงบ ไม่พูดคุย ไม่วิพากษ์วิจารณ์เรื่องที่กำลังดูหรือฟังอยู่
ไม่นำของขบเคี้ยวเข้าไปรับประทาน ไม่นำเด็กเล็กเกินไปเข้าไปชมด้วย
2) ไม่เดินเข้าเดินออกบ่อย ๆ ถ้าจำเป็นจะต้องทำเช่นนั้น ควรเลือกที่นั่งอยู่ริมหรือใกล้ประตูทางเดิน
3) ไม่ควรแสดงกิริยาอาการที่ไม่สมควรระหว่างเพื่อนต่างเพศในโรงมหรสพ
เพราะเป็นการทำลายค่านิยมทางด้านวัฒนธรรมไทย
- Posted by in ภาษาไทย ม4