การปฏิวัติอุตสาหกรรม
ยุคแห่งการปฏิวัติอุตสาหกรรม เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิตจากเดิมที่ใช้แรงงานมนุษย์มาเป็นเครื่องจักรกล ซึ่งก่อให้เกิดผลดีต่อการผลิต ทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ
การปฏิวัติอุตสาหกรรม เริ่มต้นที่ประเทศอังกฤษ เพราะเป็นผลสืบเนื่องมาจากการประสบครามสำเร็จในการปฏิวัติเกษตรกรรม การปฏิวัติอุตสาหกรรมเกิดขึ้น ๒ ครั้ง ดังนี้
ครั้งที่ ๑ เกิดขึ้นในประเทศอังกฤษ
ครั้งที่ ๒ เป็นต้นไป มีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำ
สาเหตุของการปฏิวัติอุตสาหกรรม
การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ ๑ มีสาเหตุมาจากการขยายตัวทางการค้าซึ่งเกิดจากการสำรวจดินแดน และการล่าอาณานิคม สาเหตุที่ทำให้ประเทศอังกฤษกลายเป็นผู้นำในการปฏิวัติอุตสาหกรรมคือ อังกฤษมีฐานะการเงินและเศรษฐกิจมั่นคง มีอาณานิคมเกือบทั่วโลก ซึ่งเป็นแหล่งทรัพยากรและตลาดรับซื้อสินค้า จากอังกฤษ มีแรงงานเพียงพอ มีวัตถุดิบที่สำคัญ ได้แก่เหล็ก และถ่านหิน มีความสามรถในการค้นคว้าสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ เพราะการศึกษาก้าวหน้า การปฏิวัติทางความคิดเกิดจากยุคสมัยแห่งการใช้เหตุผล และยุคแห่งความสว่างสไวทางปัญญาซึ่งมีผลต่อแนวคิดทางด้านการเมืองการปกครองของโลกปัจจุบัน
การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ ๒
เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริการสืบเนื่องมาจากการนำวิธีการค้นคว้าวิจัยทางวิทยาศาสตร์มาใช้กับวงการอุตสาหกรรมมีการนำพลังงานใหม่ๆมาใช้ เช่น ก๊าซธรรมชาติ น้ำมัน พลังงานไฟฟ้า และการทำเหล็กให้เป็นเหล็กกล้า ทำให้มีการเรียกการปฏิวัติครั้งนี้ว่า ยุคเหล็กกล้า เช่น อะเล็กซานเดอร์ กุสตาฟ ไอเฟล สร้างหอคอยไอเฟลด้วยเหล็กล้วน และเป็นสัญลักษณ์สำคัญของกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส และยังทำให้เกิดการจัดระบบงานในโรงงานอุตสาหกรรมแบบใหม่แต่ละคนรับผิดชอบงานของตนเอง ทำให้ผลิตงานได้ครั้งละมากๆ เรียกว่า การผลิตจำนวนมาก
ผลกระทบของการปฏิวัติทางอุตสาหกรรมต่อการพัฒนาของมนุษยชาติ
ด้านเศรษฐกิจ
ทำให้ผลผลิตและแรงงานภาคการเกษตรถูกนำมาใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม เศรษฐกิจในระบบเงินตราขยายตัว ทำให้เกิดกลไกทางการตลาดตามแนวคิดของ แอดัม สมิท หมายถึง เศรษฐกิจภาครัฐไม่เข้าไปก้าวก่ายระบบตลาด ยกเว้นเรื่องการเก็บภาษีเท่านั้น
ด้านสังคม
ทำให้เกิดประชากรโลกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดการอพยพจากชนบทมาสู่เมือง กลายเป็นเมืองแออัด มีปัญหาทางด้าน สุขภาพ อนามัย เกิดปัญหาสังคมอื่นๆตามมากอีกมากมาย
ด้านการเมือง
ทำให้ชนชั้นกลางมีบทบาททางกรเมืองส่วนชั้นกรรมกรก็เข้ามามีบทบาททางการเมืองเพราะมีจำนวนกรรมกรเพิ่มขึ้น ได้รวมพลังกันเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมและสิทธิที่พึงจะได้รับ การจัดตั้งสหภาพแรงงานเริ่มในอังกฤษเป็นที่แรก ใช้วิธีการนักหยุดงานเป็นอาวุธสำหรับการต่อรองกับนายจ้าง การเกิดสหภาพแรงงานทำให้ฐานะของกรรมกรปรับปรุงดีขึ้น
การปฏิวัติอุตสาหกรรม (อังกฤษ: Industrial Revolution) คือช่วงเวลาตั้งแต่ ค.ศ. 1750 ถึง ค.ศ. 1850 เมื่อการเปลี่ยนแปลงในภาคเกษตรกรรม, การผลิต, การทำเหมืองแร่, การคมนาคมขนส่ง และเทคโนโลยี ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อสภาพสังคม, เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมในขณะนั้น การปฏิวัติเริ่มต้นในสหราชอาณาจักร จากนั้นจึงแพร่ขยายไปยังยุโรปตะวันตก, อเมริกาเหนือ, ญี่ปุ่น จนขยายไปทั่วทั้งโลกในเวลาต่อมา
การปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์โลก ซึ่งส่งผลกระทบในเกือบทุกแง่มุมของชีวิตประจำวันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ที่เห็นเด่นชัดที่สุดคือการที่รายได้และจำนวนประชากรโดยเฉลี่ยเริ่มที่จะขยายตัวอย่างยั่งยืนในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทำให้สองร้อยปีหลังจาก ค.ศ. 1800 ค่าเฉลี่ยรายได้ต่อหัวของโลกขยายตัวมากกว่าสิบเท่า ในขณะที่จำนวนประชากรขยายตัวมากกว่าหกเท่าจากคำกล่าวของผู้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ โรเบิร์ต อี. ลูคัส จูเนียร์ "เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มาตรฐานการดำรงชีวิตของประชาชนธรรมดาส่วนมากจะเริ่มเติบโตอย่างมั่นคง ซึ่งไม่เคยมีพฤติการณ์ทางเศรษฐกิจเช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน
สหราชอาณาจักรได้วางรากฐานทางกฎหมายและวัฒนธรรมซึ่งเปิดโอกาสให้นายทุนสามารถริเริ่มการปฏิวัติอุตสาหกรรม ตัวแปรหลักที่ก่อให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยนี้ได้แก่
- ช่วงเวลาแห่งความสงบสุขและมั่นคงจากการรวมกันของราชอาณาจักรอังกฤษและราชอาณาจักรสกอตแลนด์
- ไม่มีข้อกีดกันทางการค้าระหว่างอังกฤษและสกอตแลนด์
- หลักนิติรัฐ (เคารพความศักดิ์สิทธิ์ของสัญญาการค้า)
- ความเถรตรงของระบบกฎหมายซึ่งเปิดโอกาสให้มีการจัดตั้งบรรษัทมหาชน
- แนวคิดการค้าเสรี (เศรษฐกิจทุนนิยม)
กระบวนการเริ่มต้นขึ้นในช่วงปลายของคริสต์ศตวรรษที่ 18 ด้วยการเปลี่ยนผ่านซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการเปลี่ยนจากเศรษฐกิจแบบพึ่งพาแรง งานคนและสัตว์เป็นหลักไปเป็นเศรษฐกิจแบบพึ่งพาเครื่องจักรเป็นหลักของสหราช อาณาจักร โดยเริ่มในอุตสาหกรรมสิ่งทอเป็นอุตสาหกรรมแรก อันเป็นผลมาจากการพัฒนากรรมวิธีการหลอมเหล็กและความนิยมในการใช้ถ่านหินโค้ก ที่แพร่หลายขึ้นการขยายตัวของการค้าขายเป็นผลมาจากการพัฒนาคลอง, ถนน และทางรถไฟด้วยการเปลี่ยนแปลงจากเศรษฐกิจแบบพึ่งพาเกษตรกรรมไปเป็นเศรษฐกิจแบบพึ่งพา อุตสาหกรรมการผลิต ทำให้เกิดการไหลบ่าของประชากรจากชนบทเข้าสู่เมืองขนานใหญ่ และก่อให้เกิดการขยายตัวของจำนวนประชากร
การเปลี่ยนแปลงการผลิตครั้งสำคัญในการปฏิวัติอุตสาหกรรมคือการผลิตชิ้นส่วนซึ่งสามารถสับเปลี่ยนกันได้ เครื่องกลึงและเครื่องกลอื่นๆ ในการปฏิวัติอุตสาหกรรมทำให้การผลิตสินค้ามีความละเอียดแม่นยำสูงและสามารถผลิตซ้ำเช่นเดิมได้เป็นจำนวนมาก ตัวอย่างเช่น การผลิตปืนซึ่งในอดีตผลิตได้ทีละกระบอกด้วยการนำชิ้นส่วนเข้าประกอบกันอย่างพอดีจนได้ออกมาเป็นหนึ่งกระบอก หากแต่ชิ้นส่วนในการประกอบปืนครั้งนั้นไม่สามารถใช้แทนกันกับชิ้นส่วนจากปืนกระบอกอื่นได้ ด้วยความละเอียดแม่นยำในการผลิตซ้ำจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมนี้เอง ทำให้ชิ้นส่วนต่างๆ ของปืนสามารถแลกเปลี่ยนทดแทนกันได้ และยังก่อให้เกิดการผลิตแบบจำนวนมากๆ จนส่งผลให้ราคาสินค้าจากการผลิตแบบนี้ลดลงไปอย่างมาก
การกำเนิดขึ้นของเครื่องจักรไอน้ำซึ่งใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงหลัก, ความนิยมในอรรถประโยชน์ของกังหันน้ำ และเครื่องจักรที่ใช้พลังงานขับเคลื่อน (โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมสิ่งทอ) เป็นตัวสนับสนุนให้กำลังการผลิตขยายตัวอย่างมากการพัฒนาเครื่องมือโลหะในช่วงสองทศวรรษแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 19 อำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการมีเครื่องจักรการผลิตที่มากขึ้นแลบะนำไปใช้ได้กับอุตสาหกรรมอื่นๆ ผลกระทบเกิดขึ้นแพร่ขยายออกไปทั่วยุโรปตะวันตกและอเมริกาเหนือในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 จนในที่สุดก็ได้แพร่หลายไปทั่วโลก กระบวนการที่ดำเนินไปนี้เรียกว่าการทำให้เป็นอุตสาหกรรม และทำให้เกิดผลกระทบอย่างมโหฬารต่อสังคม
การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งแรกซึ่งเริ่มในคริสต์ศตวรรษที่ 18 ถูกรวมเข้ากับการปฏิวัติครั้งที่สองในราวปี ค.ศ. 1850 เมื่อความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีได้รับแรงขับเคลื่อนจากการพัฒนาเรือกลไฟ, ทางรถไฟ และต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ด้วยเครื่องยนต์สันดาปภายในและเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ช่วงของเวลาที่ถูกครอบคลุมด้วยการปฏิวัติอุตสาหกรรมนั้นหลากหลายและแตกต่างกันออกไปในนักประวัติศาสตร์แต่ละคน อีริก ฮอบส์บอว์ม กล่าวว่ามันเกินขึ้นในสหราชอาณาจักรในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1780 และไม่ได้ส่งผลกระทบอย่างจริงจังจนกระทั่งทศวรรษที่ 1830 หรือ 1840 ขณะที่ ที. เอส. แอชตัน กล่าวว่ามันเกิดขึ้นอย่างฉาบฉวยระหว่างคริสต์ทศวรรษที่ 1760 และ 1830
ที่มา : //th.wikipedia.org/wiki/การปฏิวัติอุตสาหกรรม